[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อาเดรียน่า บทที่ 1-2 http://ppantip.com/topic/31108562
อาเดรียน่า บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/31115301
ภายในห้องทรงพระอักษรซึ่งลายล้อมไปด้วยหนังสือและเอกสารมากมาย มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่จัดเข้าชุดไว้กับโต๊ะรับรองที่กึ่งกลางห้อง ผมของเขาเป็นสีขาวยาวจนเลยเอวเล็กกิ่ว แต่น่าแปลกที่คิ้วดกหนานั้นยังคงดำขลับ นัยต์สีน้ำตาลจ้องมองพื้นที่ปูด้วยพรมลายวิจิตรชั้นดี สองมือผอมเรียวราวประสานไว้บนตัก เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต ใบหน้าซึ่งบ่งบอกว่าผ่านชีวิตมาเนิ่นนานไม่สื่ออารมณ์ใด จนกระทั่งเสียงเอ่ยของอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วยดังขึ้น
“จะให้สรุปผลงานครั้งนี้ของท่านเช่นไรดี ราชครูของข้า”
กษัตริย์แห่งแคว้นกอรินธ์วัยห้าสิบชันษาตรัส ทั้งๆ ที่ยังทรงหลับพระเนตร พระวรกายแข็งแกร่งเฉกเช่นชายหนุ่มผิงอยู่กับเก้าอี้ไม้สักทองหลังโต๊ะทรงอักษรตัวใหญ่ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ทุกแคว้นบนคาบสมุทรนี้ต่างยำเกรง และไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางอันอาจจะก่อให้เกิดสงคราม จะยกเว้นก็แต่เพียงแคว้นเซเพรัสที่มีกองกำลังทหารอันแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่านั้น ที่กล้าพอจะงัดข้อด้วย
“ล้มเหลว แต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า”ราชครูตอบ น้ำเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันได้พรากผลึกเทพธิดามาจากอ้อมอกของแพรัสได้สำเร็จ”
กอรินธ์ลืมพระเนตรสีมรกตขึ้น ทรงทอดพระเนตรไปยังร่างของราชครูของพระองค์ที่ยังนั่งจ้องมองพรมอยู่เช่นเดิม
“ท่านเล่ามาให้ละเอียดสิ”
“ทูลฝ่าบาท”ราชครูเกริ่น หันมาค้อมศรีษะลงอย่างช้าๆ “ระหว่างการสู้รบ หญิงสาวคนหนึ่งได้ทำผลึกแตก พลังทั้งหมดจึงพุ่งเข้าสู่ร่างหม่อมฉันที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ทว่าดวงจิตเทพธิดานั้นสถิตอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นั้น”
“และอะไรเล่าที่ท่านว่าล้มเหลว”กอรินธ์ตรัสถามอย่างฉงนพระทัย “เพราะเท่าที่เราต้องการคือพลัง ซึ่งตอนนี้ก็อยู่กับตัวท่านแล้ว”
“สำคัญตรงที่ว่าพลังนั้นไม่สามารถสำแดงพลานุภาพใดๆ ได้ หากขาดดวงจิต ทั้งสองต้องอยู่คู่กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้”ราชครูบอก
กอรินธ์ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนรับสั่งบอก “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องไปนำตัวนางผู้นั้นมา ซึ่งท่านคงรู้ดีอยู่แล้ว -- ฆ่านางและดึงดวงจิตมา”
หากแต่ราชครูปฎิเสธ “ทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะดวงจิตที่ขาดพลังต้องอาศัยร่างในการดำรงอยู่ หากผู้เป็นเจ้าของร่างกายนั้นตาย ดวงจิตจะไม่สามารถทนรับการสูญสิ้นนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง และจะสลายไป พลังที่อยู่ในร่างของหม่อมฉันก็จะไม่มีค่าอะไรอีกเลย”
“แล้วท่านล่ะ เหมือนนางหรือเปล่า”
“ตรงอย่างข้ามอย่างสิ้นเชิง”ราชครูตอบด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “หากหม่อมฉันตาย พลังจะเคลื่อนย้ายไปยังร่างของมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใดที่ดวงจิตยังไม่สูญสลายหรือถูกทำพิธีให้สถิตอยู่ในอัญมณีที่มีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง เพราะพลังขึ้นอยู่กับดวงจิตเท่านั้น”
องค์ประมุขทรงสบถอย่างขุ่นเคืองพระทัยเป็นอย่างยิ่ง “ถูกอย่างที่ท่านพูด เราล้มเหลวแต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า – แล้วท่านคิดว่าพวกเซเพรัสรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“กระหม่อมมั่นใจว่าราชครูไบอัสต้องทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“ซึ่งเขาต้องให้เสนาบดีกลาโหมคอยควบคุมตัวแม่ผู้หญิงนั่นราวกับเงาตามตัวเป็นแน่ – คราวนี้งานของท่านก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”
“คิดเร็ว ลงมือไว อ่านแผนการของศัตรูขาด -- หากทำได้ ไม่ว่าหนักหนาเท่าไรก็ไม่ใช่ปัญหา”
“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถทำดั่งที่พูดได้ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังอดกังวลเกี่ยวกับข้ารับใช้ฝีมือดีของกษัตริย์ เซเพรัสไม่ได้”
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “ทรงหมายถึง?”
“คนหนึ่งคือศัตรูคู่ปรับของท่าน และสองคือบุรุษที่ทำให้กองกำลังทหารของเซเพรัสทรงอำนาจเหนือแคว้นต่างๆ บนคาบสมุทรแห่งนี้”กอรินธ์รับสั่ง “ข้ายอมรับและชื่นชมในฝีมือของพวกเขา แต่ในเมื่ออยู่คนละฝ่ายก็ต้องกำจัดทิ้ง”
“ถึงไม่มีรับสั่งหม่อมฉันก็ต้องฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะหากปล่อยไว้จะไม่ส่งผลดีกับแคว้นของเราเลย”ราชครูบอก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันขุ่นเคือง “ไบอัสฉลาด เล่ห์เหลี่ยมจัด ส่วนเทเลอัสนั้นหนักยิ่งกว่า นิ่งเฉยเสียจนอ่านทางไม่ออก คาดเดาเอาอะไรจากเขาไม่ได้เลยสักนิด ที่สำคัญ...ฝีมือเขาไม่ธรรมดา”
พระเนตรขององค์กษัตริย์หรี่เล็กลงขณะเอ่ยรับสั่ง “แสดงว่าข่าวที่ร่ำลือกันก็เป็นเรื่องจริง”
“พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูยอมรับ ค้อมศรีษะลงเล็กน้อย “เทเลอัสเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์”
“หากเทียบกับท่าน”
“แม้ไม่เคยปะทะกันรุนแรง แต่คาดว่าฝีมือคงใกล้เคียงกับหม่อมฉัน”
“แบบนี้ยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้”ทรงใช้พระกรซ้ายทุบลงบนโต๊ะหนักๆ หนึ่งครั้ง พระสุรเสียงคัดเคืองพระทัย “รีบหาทางกำจัดเทเลอัสโดยเร็ว และชิงตัวผู้หญิงคนนั้นมา แต่ว่า...”กอรินธ์รับสั่งเหมือนเพิ่งทรงนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
คิ้วของราชครูขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะตอบ “หม่อมฉันไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนในวังหลวง เพราะตอนที่หม่อมฉันพยายามพาตัวกลับมาด้วย เสนาฯกลาโหมเข้ามาขัดขวางไว้และพานางไปทั้งๆ ที่สลบไม่ได้สติ”
“พระธิดาพระองค์เล็กของเซเพรัสหรือเปล่า”กอรินธ์ทรงสันนิฐาน
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน”ราชครูบอก พลางนึกย้อนไปถึงใบหน้าของหญิงสาว “ไม่เหมือนเลยสักนิด”
การหาคำตอบว่าหญิงสาวรายนั้นเป็นใครไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนในตอนนี้ – กษัตริย์กอรินธ์ทรงคิด แต่เรื่องการดึงดวงจิตเทพธิดามานั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ข้าต้องการให้ท่านนำตัวหญิงสาวคนนั้นมา และหาทางดึงดวงจิตมารวมกับพลังในร่างกายท่านให้เร็วที่สุด ข้าไม่ต้องการให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ข้าเกลียดการรอคอย”
ทรงเน้นรับสั่งสุดท้าย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ราชครูรู้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มอธิบายแผนการต่อไปของตนต่อกษัตริย์อย่างละเอียดลออ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“เป็นอย่างไรบ้างอาเดรียน่า วันนี้เหนื่อยไหม เห็นตรวจคนไข้เสียหลายคน”
ฟาลซีล หนึ่งในคณะแทพย์หลวงที่อายุไล่เลี่ยกับอาเดรียน่าเอ่ยถามอย่างชวนคุย เขาเป็นคนตระกลูขุนนางที่ไม่ใหญ่โตหนักหากนับตามการถือครองที่ดินและข้าทาสบริวาน แต่ด้วยอัธยาศัยที่ดีจึงทำให้ได้รับการนับถืออย่างค่อนข้างกว้างขวาง และฟาลซีลก็เป็นดั่งเช่นบรรพบุรุษของเขา ทั้งการพูดจา สีหน้า และการแสดงน้ำใจไมตรี ทำให้เขาเป็นที่ที่ชื่นชอบของทุกคน รวมทั้งอาเดรียน่าด้วย
“แค่สี่ห้ารายเท่านั้น อาการก็ไม่หนักหนามากแล้ว เหลือแค่มั่นทำความสะอาดบาดแผลกับกินยาเท่านั้นเอง เจ้าสิที่น่าเหนื่อ มาให้รักษาแต่ละรายอาการหนักทั้งนั้น”
“อาการไม่ถึงกับน่าเป็นห่วงหรอก แต่ข้าเป็นจักษุแพทย์ รักษาเฉพาะทาง เลยดูเหมือนงานเยอะ” ฟาลซีลตอบ พลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหญิงสาวซึ่งกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำแผล “เจ้าอยากเรียนจักษุแพทย์บ้างไหมล่ะ ข้าจะสอนให้”เขาเสนอ
อาเดรียน่าส่ายหน้า “แค่วิชาแพทย์พื้นฐานทั่วไปข้ายังต้องเรียนอีกเป็นหอบ แล้วจักษุแพทย์น่ะเป็นวิชาเฉพาะทาง เวลาปฏิบัติก็ต้องช่างสังเกตละเอียดรอบคอบ คนหัวทึบแถมใจร้อนอย่างข้าไปไม่รอดหรอก”
“อย่าพูดบั่นทอนคุณค่าตัวเองอย่างนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าหัวทึบ แต่เก่งมากเลยเชียวล่ะ”
หญิงสาวชี้หน้าตัวเองแล้วหัวเราะ “ข้าน่ะเหรอเก่ง!”นางพูด แต่ยังไม่ทันปฏิเสธต่อ อีกฝ่ายก็เสริมขึ้นว่า
“ใช่ เจ้าเก่ง จากที่ข้างสังเกตมาสามอาทิตย์ คนอื่นก็ชื่นชมเจ้า โดยเฉพาะท่านโอโดวาคาร์”
“ก็คงจะมีแต่บรรดาคณะแทพย์หลวงนี่ล่ะที่ชื่นชมข้า”
ฟาลซีสทำสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมพูดเช่นนั้น”
“ลองไปถามพวกทหารดูสิ หรือเจ้ายักษ์สองคนที่คอยตามข้าทุกฝีก้าวนั่นก็ได้ เจ้าจะได้รับคำตอบที่ตรงกันข้ามกับคำว่านิยมชมชอบกลับมาแน่ๆ”อาเดรียน่าพูดอย่างขมขื่น
ฟาลซีสเหลือบมองทหารสองนายที่ยืนทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ที่สุดมุมห้อง ซึ่งดูเหมือนจะพลักเวรกับชุดเมื่อบ่ายวานนี้ ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ทำหน้าสลด
“หากบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำผิดดั่งที่ถูกกล่าวหาก็อย่าได้คิดใส่ใจไปเลย สักวันความจริงจะต้องปรารกฏ และคนพวกนั้นก็จะต้องอับอายตัวเอง”ฟาลซีสว่า “บอกตามตรงนะอาเดรียน่า ในความรู้สึกข้า เจ้าไม่เหมือนสายลับเลยสักนิด”
“หากเสนาฯกลาโหมคิดเหมือนเจ้า ข้าคงไม่ต้องมาติดแหงกอยู่อย่างนี้ ซ้ำร้ายยังต้องทนแบกความอัปยศที่ข้าไม่ได้ก่ออีกต่างหาก -- ข้าล่ะเกลียดเขานัก”อาเดรียน่าพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แตอีกฝ่ายกลับทำสีหน้ายุ่งยากใจเอ่ยอ้อมแอ้ม “ความจริง ท่านเสนาฯ กลาโหมน่ะ ท่าน --”
“เป็นคนดี! สุภาพบุรุษ -- นั่นมันสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับข้า!”อาเดรียน่าเอ่ยแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสายตาทถึงของทหารสองนายที่ส่งมาให้เลยสักนิด “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ข้าไม่อยากเสียสุขภาพจิตก่อนมื้อเที่ยง จะพาลกินอาหารไม่ลงเสียเปล่าๆ”
ฟาลซีสได้แต่ยิ้มรับ
“ฟาลซีล ข้าขอถามท่านสักเรื่องหนึ่งจะได้ไหม”จู่ๆ อาเดรียน่าก็เอ่ยขึ้น หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่
“ได้สิ หากตอบได้ ข้าจะบอกทันที”
“ท่านรู้จักนางข้าหลวงที่ชื่อว่าไดร์ซีบ้างหรือเปล่า”
คิ้วหนาสีทรายของชายหนุ่มขมวดมุ่น ขณะพยายามคิดทบทวนความทรงจำของตนอย่างหนัก
“ไดร์ซี...อืม...ไม่นะ ไม่เคยได้ยินเลย -- คนสำคัญรึ”เขาถาม เมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดของหญิงสาว
“ไม่ใช่ญาติกันหรอก”อาเดรียน่าตอบ “ไดร์ซีน่ะเป็นกำพร้า อยู่ตัวคนเดียว -- ข้ารู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก ไดร์ซีเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง ปกป้องข้ามาตลอด ข้าจึงรักนางเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ตอนอายุสิบสองนางเดินทางมาเมืองหลวงกับพวกพ่อค้า หลังจากนั้นสามปีนางกลับไปหาข้าแล้วบอกว่าได้ทำงานเป็นนางข้าหลวงอยู่ในวัง แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เจอนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็ส่งข่าวมาบอก แต่สองปีหลังที่ผ่านมาไม่มีแม้แต่จดหมายหรือข่าวใดๆ เกี่ยวกับนางเลย ข้าเป็นห่วงจึงเข้ามาตามหา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คืบหน้าเลยสักนิด หนำซ้ำยังลากตัวเองเข้ามาเจอเรื่องยุ่งสุดๆ อีก”
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตามหาจากนางข้าหลวงด้วยกัน เจ้าเคยถามพวกนางบ้างหรือเปล่า”
อาเดรียน่าถอนหายใจ ละมือจากงานที่ยังทำค้างอยู่ สีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยลำบากใจ
“เคยถามคนสองคน กับมิลันโธ หรือท่านโอโดวาคาร์ก็ถามมาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก -- ข้ารู้ว่าการตามหาคนๆ เดียวที่ตัวเล็กกระจ้อยร่อยไม่ได้ยิ่งใหญ่โด่งดังนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่เมื่อไรล่ะที่จะได้เจอ ข้าเกรงว่านางจะเป็นอันตราย!”หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง พลางหันมองนายทหารทั้งสองซึ่งยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับประชดชะตาชีวิตตัวเอง “ข้าอุตสาห์หาเรื่องใส่ตัวเพื่อจะได้มีชื่อเสียงโด่งดัง เดินผ่านไปที่ไหนก็มีแต่คนชะเง้อคอตาม ตานี่ค้างเชียว! -- หวังว่าสักวันหนึ่งไดร์ซีคงจะได้ยินเรื่องราวของข้านะ จะได้ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรง!”
“ที่ตาค้างน่ะ เพราะความงามของเจ้าต่างหาก”
เสียงผู้มาใหม่เอ่ยแทรกขึ้น พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมเข้มแย้มรอยยิ้มทักทาย เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ดูเป็นมิตร หากแต่บุคคลที่สองซึ่งเดินตามหลังมาด้วยทำให้รอยยิ้มที่กำลังส่งไปทักทายตอบมลายหายไปจากใบหน้าของอาเดรียน่าในทันที
โรแมนติกแฟนตาซี : อาเดรียน่า บทที่ 4
ภายในห้องทรงพระอักษรซึ่งลายล้อมไปด้วยหนังสือและเอกสารมากมาย มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่จัดเข้าชุดไว้กับโต๊ะรับรองที่กึ่งกลางห้อง ผมของเขาเป็นสีขาวยาวจนเลยเอวเล็กกิ่ว แต่น่าแปลกที่คิ้วดกหนานั้นยังคงดำขลับ นัยต์สีน้ำตาลจ้องมองพื้นที่ปูด้วยพรมลายวิจิตรชั้นดี สองมือผอมเรียวราวประสานไว้บนตัก เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต ใบหน้าซึ่งบ่งบอกว่าผ่านชีวิตมาเนิ่นนานไม่สื่ออารมณ์ใด จนกระทั่งเสียงเอ่ยของอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วยดังขึ้น
“จะให้สรุปผลงานครั้งนี้ของท่านเช่นไรดี ราชครูของข้า”
กษัตริย์แห่งแคว้นกอรินธ์วัยห้าสิบชันษาตรัส ทั้งๆ ที่ยังทรงหลับพระเนตร พระวรกายแข็งแกร่งเฉกเช่นชายหนุ่มผิงอยู่กับเก้าอี้ไม้สักทองหลังโต๊ะทรงอักษรตัวใหญ่ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ทุกแคว้นบนคาบสมุทรนี้ต่างยำเกรง และไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางอันอาจจะก่อให้เกิดสงคราม จะยกเว้นก็แต่เพียงแคว้นเซเพรัสที่มีกองกำลังทหารอันแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่านั้น ที่กล้าพอจะงัดข้อด้วย
“ล้มเหลว แต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า”ราชครูตอบ น้ำเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันได้พรากผลึกเทพธิดามาจากอ้อมอกของแพรัสได้สำเร็จ”
กอรินธ์ลืมพระเนตรสีมรกตขึ้น ทรงทอดพระเนตรไปยังร่างของราชครูของพระองค์ที่ยังนั่งจ้องมองพรมอยู่เช่นเดิม
“ท่านเล่ามาให้ละเอียดสิ”
“ทูลฝ่าบาท”ราชครูเกริ่น หันมาค้อมศรีษะลงอย่างช้าๆ “ระหว่างการสู้รบ หญิงสาวคนหนึ่งได้ทำผลึกแตก พลังทั้งหมดจึงพุ่งเข้าสู่ร่างหม่อมฉันที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ทว่าดวงจิตเทพธิดานั้นสถิตอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นั้น”
“และอะไรเล่าที่ท่านว่าล้มเหลว”กอรินธ์ตรัสถามอย่างฉงนพระทัย “เพราะเท่าที่เราต้องการคือพลัง ซึ่งตอนนี้ก็อยู่กับตัวท่านแล้ว”
“สำคัญตรงที่ว่าพลังนั้นไม่สามารถสำแดงพลานุภาพใดๆ ได้ หากขาดดวงจิต ทั้งสองต้องอยู่คู่กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้”ราชครูบอก
กอรินธ์ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนรับสั่งบอก “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องไปนำตัวนางผู้นั้นมา ซึ่งท่านคงรู้ดีอยู่แล้ว -- ฆ่านางและดึงดวงจิตมา”
หากแต่ราชครูปฎิเสธ “ทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะดวงจิตที่ขาดพลังต้องอาศัยร่างในการดำรงอยู่ หากผู้เป็นเจ้าของร่างกายนั้นตาย ดวงจิตจะไม่สามารถทนรับการสูญสิ้นนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง และจะสลายไป พลังที่อยู่ในร่างของหม่อมฉันก็จะไม่มีค่าอะไรอีกเลย”
“แล้วท่านล่ะ เหมือนนางหรือเปล่า”
“ตรงอย่างข้ามอย่างสิ้นเชิง”ราชครูตอบด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “หากหม่อมฉันตาย พลังจะเคลื่อนย้ายไปยังร่างของมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใดที่ดวงจิตยังไม่สูญสลายหรือถูกทำพิธีให้สถิตอยู่ในอัญมณีที่มีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง เพราะพลังขึ้นอยู่กับดวงจิตเท่านั้น”
องค์ประมุขทรงสบถอย่างขุ่นเคืองพระทัยเป็นอย่างยิ่ง “ถูกอย่างที่ท่านพูด เราล้มเหลวแต่ไม่ถึงกับไม่เป็นท่า – แล้วท่านคิดว่าพวกเซเพรัสรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“กระหม่อมมั่นใจว่าราชครูไบอัสต้องทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“ซึ่งเขาต้องให้เสนาบดีกลาโหมคอยควบคุมตัวแม่ผู้หญิงนั่นราวกับเงาตามตัวเป็นแน่ – คราวนี้งานของท่านก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”
“คิดเร็ว ลงมือไว อ่านแผนการของศัตรูขาด -- หากทำได้ ไม่ว่าหนักหนาเท่าไรก็ไม่ใช่ปัญหา”
“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถทำดั่งที่พูดได้ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังอดกังวลเกี่ยวกับข้ารับใช้ฝีมือดีของกษัตริย์ เซเพรัสไม่ได้”
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “ทรงหมายถึง?”
“คนหนึ่งคือศัตรูคู่ปรับของท่าน และสองคือบุรุษที่ทำให้กองกำลังทหารของเซเพรัสทรงอำนาจเหนือแคว้นต่างๆ บนคาบสมุทรแห่งนี้”กอรินธ์รับสั่ง “ข้ายอมรับและชื่นชมในฝีมือของพวกเขา แต่ในเมื่ออยู่คนละฝ่ายก็ต้องกำจัดทิ้ง”
“ถึงไม่มีรับสั่งหม่อมฉันก็ต้องฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะหากปล่อยไว้จะไม่ส่งผลดีกับแคว้นของเราเลย”ราชครูบอก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันขุ่นเคือง “ไบอัสฉลาด เล่ห์เหลี่ยมจัด ส่วนเทเลอัสนั้นหนักยิ่งกว่า นิ่งเฉยเสียจนอ่านทางไม่ออก คาดเดาเอาอะไรจากเขาไม่ได้เลยสักนิด ที่สำคัญ...ฝีมือเขาไม่ธรรมดา”
พระเนตรขององค์กษัตริย์หรี่เล็กลงขณะเอ่ยรับสั่ง “แสดงว่าข่าวที่ร่ำลือกันก็เป็นเรื่องจริง”
“พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูยอมรับ ค้อมศรีษะลงเล็กน้อย “เทเลอัสเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์”
“หากเทียบกับท่าน”
“แม้ไม่เคยปะทะกันรุนแรง แต่คาดว่าฝีมือคงใกล้เคียงกับหม่อมฉัน”
“แบบนี้ยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้”ทรงใช้พระกรซ้ายทุบลงบนโต๊ะหนักๆ หนึ่งครั้ง พระสุรเสียงคัดเคืองพระทัย “รีบหาทางกำจัดเทเลอัสโดยเร็ว และชิงตัวผู้หญิงคนนั้นมา แต่ว่า...”กอรินธ์รับสั่งเหมือนเพิ่งทรงนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
คิ้วของราชครูขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะตอบ “หม่อมฉันไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนในวังหลวง เพราะตอนที่หม่อมฉันพยายามพาตัวกลับมาด้วย เสนาฯกลาโหมเข้ามาขัดขวางไว้และพานางไปทั้งๆ ที่สลบไม่ได้สติ”
“พระธิดาพระองค์เล็กของเซเพรัสหรือเปล่า”กอรินธ์ทรงสันนิฐาน
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน”ราชครูบอก พลางนึกย้อนไปถึงใบหน้าของหญิงสาว “ไม่เหมือนเลยสักนิด”
การหาคำตอบว่าหญิงสาวรายนั้นเป็นใครไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนในตอนนี้ – กษัตริย์กอรินธ์ทรงคิด แต่เรื่องการดึงดวงจิตเทพธิดามานั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ข้าต้องการให้ท่านนำตัวหญิงสาวคนนั้นมา และหาทางดึงดวงจิตมารวมกับพลังในร่างกายท่านให้เร็วที่สุด ข้าไม่ต้องการให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ข้าเกลียดการรอคอย”
ทรงเน้นรับสั่งสุดท้าย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ราชครูรู้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มอธิบายแผนการต่อไปของตนต่อกษัตริย์อย่างละเอียดลออ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“เป็นอย่างไรบ้างอาเดรียน่า วันนี้เหนื่อยไหม เห็นตรวจคนไข้เสียหลายคน”
ฟาลซีล หนึ่งในคณะแทพย์หลวงที่อายุไล่เลี่ยกับอาเดรียน่าเอ่ยถามอย่างชวนคุย เขาเป็นคนตระกลูขุนนางที่ไม่ใหญ่โตหนักหากนับตามการถือครองที่ดินและข้าทาสบริวาน แต่ด้วยอัธยาศัยที่ดีจึงทำให้ได้รับการนับถืออย่างค่อนข้างกว้างขวาง และฟาลซีลก็เป็นดั่งเช่นบรรพบุรุษของเขา ทั้งการพูดจา สีหน้า และการแสดงน้ำใจไมตรี ทำให้เขาเป็นที่ที่ชื่นชอบของทุกคน รวมทั้งอาเดรียน่าด้วย
“แค่สี่ห้ารายเท่านั้น อาการก็ไม่หนักหนามากแล้ว เหลือแค่มั่นทำความสะอาดบาดแผลกับกินยาเท่านั้นเอง เจ้าสิที่น่าเหนื่อ มาให้รักษาแต่ละรายอาการหนักทั้งนั้น”
“อาการไม่ถึงกับน่าเป็นห่วงหรอก แต่ข้าเป็นจักษุแพทย์ รักษาเฉพาะทาง เลยดูเหมือนงานเยอะ” ฟาลซีลตอบ พลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหญิงสาวซึ่งกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำแผล “เจ้าอยากเรียนจักษุแพทย์บ้างไหมล่ะ ข้าจะสอนให้”เขาเสนอ
อาเดรียน่าส่ายหน้า “แค่วิชาแพทย์พื้นฐานทั่วไปข้ายังต้องเรียนอีกเป็นหอบ แล้วจักษุแพทย์น่ะเป็นวิชาเฉพาะทาง เวลาปฏิบัติก็ต้องช่างสังเกตละเอียดรอบคอบ คนหัวทึบแถมใจร้อนอย่างข้าไปไม่รอดหรอก”
“อย่าพูดบั่นทอนคุณค่าตัวเองอย่างนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าหัวทึบ แต่เก่งมากเลยเชียวล่ะ”
หญิงสาวชี้หน้าตัวเองแล้วหัวเราะ “ข้าน่ะเหรอเก่ง!”นางพูด แต่ยังไม่ทันปฏิเสธต่อ อีกฝ่ายก็เสริมขึ้นว่า
“ใช่ เจ้าเก่ง จากที่ข้างสังเกตมาสามอาทิตย์ คนอื่นก็ชื่นชมเจ้า โดยเฉพาะท่านโอโดวาคาร์”
“ก็คงจะมีแต่บรรดาคณะแทพย์หลวงนี่ล่ะที่ชื่นชมข้า”
ฟาลซีสทำสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมพูดเช่นนั้น”
“ลองไปถามพวกทหารดูสิ หรือเจ้ายักษ์สองคนที่คอยตามข้าทุกฝีก้าวนั่นก็ได้ เจ้าจะได้รับคำตอบที่ตรงกันข้ามกับคำว่านิยมชมชอบกลับมาแน่ๆ”อาเดรียน่าพูดอย่างขมขื่น
ฟาลซีสเหลือบมองทหารสองนายที่ยืนทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ที่สุดมุมห้อง ซึ่งดูเหมือนจะพลักเวรกับชุดเมื่อบ่ายวานนี้ ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ทำหน้าสลด
“หากบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำผิดดั่งที่ถูกกล่าวหาก็อย่าได้คิดใส่ใจไปเลย สักวันความจริงจะต้องปรารกฏ และคนพวกนั้นก็จะต้องอับอายตัวเอง”ฟาลซีสว่า “บอกตามตรงนะอาเดรียน่า ในความรู้สึกข้า เจ้าไม่เหมือนสายลับเลยสักนิด”
“หากเสนาฯกลาโหมคิดเหมือนเจ้า ข้าคงไม่ต้องมาติดแหงกอยู่อย่างนี้ ซ้ำร้ายยังต้องทนแบกความอัปยศที่ข้าไม่ได้ก่ออีกต่างหาก -- ข้าล่ะเกลียดเขานัก”อาเดรียน่าพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แตอีกฝ่ายกลับทำสีหน้ายุ่งยากใจเอ่ยอ้อมแอ้ม “ความจริง ท่านเสนาฯ กลาโหมน่ะ ท่าน --”
“เป็นคนดี! สุภาพบุรุษ -- นั่นมันสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับข้า!”อาเดรียน่าเอ่ยแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสายตาทถึงของทหารสองนายที่ส่งมาให้เลยสักนิด “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ข้าไม่อยากเสียสุขภาพจิตก่อนมื้อเที่ยง จะพาลกินอาหารไม่ลงเสียเปล่าๆ”
ฟาลซีสได้แต่ยิ้มรับ
“ฟาลซีล ข้าขอถามท่านสักเรื่องหนึ่งจะได้ไหม”จู่ๆ อาเดรียน่าก็เอ่ยขึ้น หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่
“ได้สิ หากตอบได้ ข้าจะบอกทันที”
“ท่านรู้จักนางข้าหลวงที่ชื่อว่าไดร์ซีบ้างหรือเปล่า”
คิ้วหนาสีทรายของชายหนุ่มขมวดมุ่น ขณะพยายามคิดทบทวนความทรงจำของตนอย่างหนัก
“ไดร์ซี...อืม...ไม่นะ ไม่เคยได้ยินเลย -- คนสำคัญรึ”เขาถาม เมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดของหญิงสาว
“ไม่ใช่ญาติกันหรอก”อาเดรียน่าตอบ “ไดร์ซีน่ะเป็นกำพร้า อยู่ตัวคนเดียว -- ข้ารู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก ไดร์ซีเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง ปกป้องข้ามาตลอด ข้าจึงรักนางเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ตอนอายุสิบสองนางเดินทางมาเมืองหลวงกับพวกพ่อค้า หลังจากนั้นสามปีนางกลับไปหาข้าแล้วบอกว่าได้ทำงานเป็นนางข้าหลวงอยู่ในวัง แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เจอนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็ส่งข่าวมาบอก แต่สองปีหลังที่ผ่านมาไม่มีแม้แต่จดหมายหรือข่าวใดๆ เกี่ยวกับนางเลย ข้าเป็นห่วงจึงเข้ามาตามหา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คืบหน้าเลยสักนิด หนำซ้ำยังลากตัวเองเข้ามาเจอเรื่องยุ่งสุดๆ อีก”
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตามหาจากนางข้าหลวงด้วยกัน เจ้าเคยถามพวกนางบ้างหรือเปล่า”
อาเดรียน่าถอนหายใจ ละมือจากงานที่ยังทำค้างอยู่ สีหน้าท่าทางเศร้าสร้อยลำบากใจ
“เคยถามคนสองคน กับมิลันโธ หรือท่านโอโดวาคาร์ก็ถามมาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก -- ข้ารู้ว่าการตามหาคนๆ เดียวที่ตัวเล็กกระจ้อยร่อยไม่ได้ยิ่งใหญ่โด่งดังนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา แต่เมื่อไรล่ะที่จะได้เจอ ข้าเกรงว่านางจะเป็นอันตราย!”หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง พลางหันมองนายทหารทั้งสองซึ่งยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับประชดชะตาชีวิตตัวเอง “ข้าอุตสาห์หาเรื่องใส่ตัวเพื่อจะได้มีชื่อเสียงโด่งดัง เดินผ่านไปที่ไหนก็มีแต่คนชะเง้อคอตาม ตานี่ค้างเชียว! -- หวังว่าสักวันหนึ่งไดร์ซีคงจะได้ยินเรื่องราวของข้านะ จะได้ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรง!”
“ที่ตาค้างน่ะ เพราะความงามของเจ้าต่างหาก”
เสียงผู้มาใหม่เอ่ยแทรกขึ้น พร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมเข้มแย้มรอยยิ้มทักทาย เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ดูเป็นมิตร หากแต่บุคคลที่สองซึ่งเดินตามหลังมาด้วยทำให้รอยยิ้มที่กำลังส่งไปทักทายตอบมลายหายไปจากใบหน้าของอาเดรียน่าในทันที