บทที่ 1
ภายในห้องกว้างที่เนืองแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือและม้วนกระดาษที่สูงท่วมศีรษะ มีชายสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักทอง ใบหน้าเหยี่ยวย่นอย่างบ่งชัดว่าได้ผ่านโลกมามากของชายคนแรกนั้นเต็มไปด้วยความเร่งเครียด เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน ดวงตาคู่สีเทาอ่อนจางจับจ้องอยู่เพียงแต่โต๊ะไม้ตรงหน้า ไม่มีทีท่าสนใจใยดีต่อสายตาของชายอีกคน ซึ่งอายุอานามอ่อนกว่าร่วมสิบปี และพยายามอย่างยิ่งยวดที่เปล่งเสียงเอ่ยคำถาม แต่จนแล้วจนรอดก็มีแต่ความเงียบงัน จนเขาต้องยกมือหยาบขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก เลยขึ้นไปจนถึงศีรษะซึ่งพื้นที่ส่วนกลางโล่งเลี่ยนเป็นมันเงาปราศจากเส้นผม เขาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่มพลังให้ตน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยเสียงแผ่ว
“ราชครู...ราชครู”
ความเงียบคือคำตอบ ผู้ถูกเรียกยังคงนิ่งเฉย ไม่มีแม้วี่แววสักเล็กน้อยที่จะตอบสนอง ความพยายามครั้งต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ท่านราชครู”
แต่จนแล้วจนรอด ท่านราชครูก็ยังเอาแต่นั่งหน้าเคร่ง เคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่รั่วลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ จนผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในความเงียบเพียงลำพัง ตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ไบอัส!”
ได้ผลทันตาเห็น ท่านราชครูผู้มีนามว่าไบอัสสะดุ้งหลุดจากห้วงความคิด สะบัดใบหน้ากลับมาหา พร้อมทั้งนัยน์ตาสีเทาที่บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“มีอะไร! ท่านมหาเสนาบดี”เขาเอ่ยถามเสียงแข็ง
มหาเสนาบดียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะถามกลับ “เห็นนั่งเงียบไปเสียนาน ได้ความว่าอย่างไรบ้าง บอกข้าด้วยเถอะ”
ราชครูถอนหายใจ พลางเอนหลังพิงพักพนักเก้าอี้ “ไม่มากเท่าที่ท่านหวังไหวหรอก ลาร์โก้ -- หากวิเคราะห์จากข้อมูลตามที่ท่านบอกมา ข้ามั่นใจว่าราชครูแห่งกอรินธ์ไม่ได้หนีหายไปพร้อมกับผลึกเทพธิดา ซึ่งคนที่น่าจะรู้ข้อมูลอันแหว่งวิ้นนี้ ก็คงหนีไม่พ้นนักโทษสาวที่จับมาได้”
ลาร์โก้พยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงของท่าน ไม่เช่นนั้น ราชครูแห่งกอรินธ์จะพยายามพาแม่สาวคนนั้น ที่สลบไม่ได้สติหลบหนีไปด้วยกันทำไม”
“แล้ว...”ราชครูเปล่งเสียงเกริ่นนำประโยค “ได้ความคืบหน้าไปถึงไหน”
หน้าผากของมหาเสนาบดียับย่นทันที “เท่าที่ได้ยินมา ล่าสุดยังคงเป็นเช่นเดิม นางยืนยันอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ดูเหมือนจะอ้างว่ามาตามหาเพื่อนที่อยู่ในวัง มิหนำซ้ำยังอ้างว่าตัวเองเป็นหมออีกด้วย”
“ข้าล่ะเกลียดพวกสายลับจริงๆ”ราชครูบ่นพึมพำ ส่ายหน้าไปมา
“คงไม่มากเท่าเสนาบดีกลาโหมกระมัง”ลาร์โก้พูดยิ้มๆ
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความขบขัน “แน่นอน -- สายลับพวกนี้ทำเอาบรรดาทหารปั่นป่วน ครั้งล่าสุดแฝงตัวเข้ามาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระราชีนี จนเกือบทำให้พระองค์ตกอยู่ในอันตราย คราวนี้ก็เข้ามาก่อความวุ่นวายไปทั่ววัง แล้วยังฉกผลึกเทพธิดา สมบัติของแผ่นดินติดมือไปเสียอีก เป็นข้าๆ ก็เกลียดเข้าไส้เหมือนกัน”
“แต่แม่สายลับคนนี้หน้าตาสละสวยใช่เล่นอยู่นา...”
“ความงามไม่ใช่สิ่งอันตรายสำหรับเสนาบดีกลาโหม ซึ่งยึดมั่นต่อหน้าที่หนือทุกสิ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ จนหลายครั้งข้าล่ะอยากจะหักเขาให้แหลกคามือ เถรตรงจนน่าโมโห -- มีอะไร!”ราชครูหยุดวิพากวิจารณ์ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากหน้าห้อง
“ทหารในสังกัดของท่านหัวหน้าทหารราชองครักษ์มาขอเข้าพบท่านขอรับ”
เสียงเด็กรับใช้หน้าห้องรายงานกลับมาอย่างเคารพนอบน้อม
“ให้เข้ามาได้”
นายทหารอ่อนวัยที่ดูปุบก็รู้ได้ทันที่ว่าเพิ่งเข้ามาบรรจุในสังกัดใหม่ ก้มตัวลงคำนับหนึ่งครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยื่นมือทั้งสองข้างออกมาด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยในสิ่งที่ตนได้รับคำสั่งมา
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ให้นำของสิ่งนี้มาให้ท่านขอรับ ท่านหัวหน้าฯ บอกว่าได้มาจากบริเวณใกล้ๆ กับที่จับสายลับของกอรินธ์ได้เมื่อสี่วันก่อน”
ราชครูรับกล่องไม้ใบเล็กจิ๋วราวกับตลับแป้งมาจากมือของนายทหารหนุ่ม “ขอบใจมาก” เขากล่าว ก่อนจะเปิดออกและจ้องมองสิ่งของภายในหีบนั้นอย่างพินิจพิจารณา
“อะไรน่ะ”ลาร์โก้ซึ่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอ่ยถาม คิ้วขมวดมุ่น “คุ้นตาอย่างไรชอบกล ข้าต้องเคยเห็นที่ไหนแน่ๆ เสียแต่ว่านึกไม่ออก”
นิ้วแห้งเรียวยาวของราชครูหยิบเศษแก้วเนื้อเนียนเรียบสีชมพู ขนาดเท่ากรวดก้อนเล็กๆ ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วยกส่องกับแสงสว่างที่ผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง เขาหรี่นัยน์ตาลงจนแทบจะปิด ก่อนจะเบิกโพลงด้วยอาการตื่นตะลึง ทำให้ลาร์โก้ที่เฝ้ามองตามเกิดความสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอท่าน”
ราชครูยังไม่ยอมตอบในทันที เขากำของสิ่งนั้นไว้ในมือ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ เป็นเวลานานนับนาที ก่อนจะเอ่ยถามกลับช้าๆ
“พวกเขาขังนักโทษหญิงคนนั้นไว้ที่ไหน”
ลาร์โก้ที่ดูเหมือนจะมึนงงกับการถูกตั้งคำถามกลับตอบว่า “ในคุกหลวง แต่ถ้าหากนางยังดึงดันปากแข็งต่อไปอีก คงถูกสั่งย้ายไปขังยังคุกใต้ปราสาทเก่า แทนวิธีทรมานด้วยการงดข้าวงดน้ำอย่างที่โดนอยู่ตอนนี้”
“สั่งงดข้าวงดน้ำ!”ราชครูอุทาน ดวงตาเบิกกว้างมากกว่าเดิมเป็นเท่าตั้ว “ข้าจะไปพาตัวนางออกมา”
“ช้าก่อน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”ลาร์โก้รีบห้าม วิ่งไปขวางหน้าประตูทางออก “ไม่ได้เด็ดขาด อำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมนักโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จับนักโทษรายนั้นมาได้”
ราชครูยืดกายขึ้น ท่าทางราวกับกำลังขยายร่างกายให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม
“หากข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าทหารผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านข้าได้!”
ลาร์โก้ส่งเสียงละเหี่ยใจ ก่อนตอบกลับเนือยๆ “ประโยคเมื่อครู่ ไม่น่าจะใช้ได้กับเสนาบดีกลาโหมหรอกนะท่าน”
ใบหน้าของราชครูซีดเผือดลงในทันที “นี่หมายความว่า...”เขาพูดเสียงอ่อน ราวกับหมดแรงเรี่ยว “ข้าต้องออกแรงปะทะคารมกับเขาอีกแล้วหรือนี่!”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โรแมนติกแฟนตาซี : อาเดรียน่า บทที่ 1-2
ภายในห้องกว้างที่เนืองแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือและม้วนกระดาษที่สูงท่วมศีรษะ มีชายสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักทอง ใบหน้าเหยี่ยวย่นอย่างบ่งชัดว่าได้ผ่านโลกมามากของชายคนแรกนั้นเต็มไปด้วยความเร่งเครียด เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน ดวงตาคู่สีเทาอ่อนจางจับจ้องอยู่เพียงแต่โต๊ะไม้ตรงหน้า ไม่มีทีท่าสนใจใยดีต่อสายตาของชายอีกคน ซึ่งอายุอานามอ่อนกว่าร่วมสิบปี และพยายามอย่างยิ่งยวดที่เปล่งเสียงเอ่ยคำถาม แต่จนแล้วจนรอดก็มีแต่ความเงียบงัน จนเขาต้องยกมือหยาบขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก เลยขึ้นไปจนถึงศีรษะซึ่งพื้นที่ส่วนกลางโล่งเลี่ยนเป็นมันเงาปราศจากเส้นผม เขาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่มพลังให้ตน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยเสียงแผ่ว
“ราชครู...ราชครู”
ความเงียบคือคำตอบ ผู้ถูกเรียกยังคงนิ่งเฉย ไม่มีแม้วี่แววสักเล็กน้อยที่จะตอบสนอง ความพยายามครั้งต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“ท่านราชครู”
แต่จนแล้วจนรอด ท่านราชครูก็ยังเอาแต่นั่งหน้าเคร่ง เคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่รั่วลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ จนผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในความเงียบเพียงลำพัง ตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ไบอัส!”
ได้ผลทันตาเห็น ท่านราชครูผู้มีนามว่าไบอัสสะดุ้งหลุดจากห้วงความคิด สะบัดใบหน้ากลับมาหา พร้อมทั้งนัยน์ตาสีเทาที่บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“มีอะไร! ท่านมหาเสนาบดี”เขาเอ่ยถามเสียงแข็ง
มหาเสนาบดียิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะถามกลับ “เห็นนั่งเงียบไปเสียนาน ได้ความว่าอย่างไรบ้าง บอกข้าด้วยเถอะ”
ราชครูถอนหายใจ พลางเอนหลังพิงพักพนักเก้าอี้ “ไม่มากเท่าที่ท่านหวังไหวหรอก ลาร์โก้ -- หากวิเคราะห์จากข้อมูลตามที่ท่านบอกมา ข้ามั่นใจว่าราชครูแห่งกอรินธ์ไม่ได้หนีหายไปพร้อมกับผลึกเทพธิดา ซึ่งคนที่น่าจะรู้ข้อมูลอันแหว่งวิ้นนี้ ก็คงหนีไม่พ้นนักโทษสาวที่จับมาได้”
ลาร์โก้พยักหน้ารับช้าๆ อย่างเห็นด้วย “จริงของท่าน ไม่เช่นนั้น ราชครูแห่งกอรินธ์จะพยายามพาแม่สาวคนนั้น ที่สลบไม่ได้สติหลบหนีไปด้วยกันทำไม”
“แล้ว...”ราชครูเปล่งเสียงเกริ่นนำประโยค “ได้ความคืบหน้าไปถึงไหน”
หน้าผากของมหาเสนาบดียับย่นทันที “เท่าที่ได้ยินมา ล่าสุดยังคงเป็นเช่นเดิม นางยืนยันอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ดูเหมือนจะอ้างว่ามาตามหาเพื่อนที่อยู่ในวัง มิหนำซ้ำยังอ้างว่าตัวเองเป็นหมออีกด้วย”
“ข้าล่ะเกลียดพวกสายลับจริงๆ”ราชครูบ่นพึมพำ ส่ายหน้าไปมา
“คงไม่มากเท่าเสนาบดีกลาโหมกระมัง”ลาร์โก้พูดยิ้มๆ
ราชครูเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความขบขัน “แน่นอน -- สายลับพวกนี้ทำเอาบรรดาทหารปั่นป่วน ครั้งล่าสุดแฝงตัวเข้ามาเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของพระราชีนี จนเกือบทำให้พระองค์ตกอยู่ในอันตราย คราวนี้ก็เข้ามาก่อความวุ่นวายไปทั่ววัง แล้วยังฉกผลึกเทพธิดา สมบัติของแผ่นดินติดมือไปเสียอีก เป็นข้าๆ ก็เกลียดเข้าไส้เหมือนกัน”
“แต่แม่สายลับคนนี้หน้าตาสละสวยใช่เล่นอยู่นา...”
“ความงามไม่ใช่สิ่งอันตรายสำหรับเสนาบดีกลาโหม ซึ่งยึดมั่นต่อหน้าที่หนือทุกสิ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ จนหลายครั้งข้าล่ะอยากจะหักเขาให้แหลกคามือ เถรตรงจนน่าโมโห -- มีอะไร!”ราชครูหยุดวิพากวิจารณ์ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากหน้าห้อง
“ทหารในสังกัดของท่านหัวหน้าทหารราชองครักษ์มาขอเข้าพบท่านขอรับ”
เสียงเด็กรับใช้หน้าห้องรายงานกลับมาอย่างเคารพนอบน้อม
“ให้เข้ามาได้”
นายทหารอ่อนวัยที่ดูปุบก็รู้ได้ทันที่ว่าเพิ่งเข้ามาบรรจุในสังกัดใหม่ ก้มตัวลงคำนับหนึ่งครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยื่นมือทั้งสองข้างออกมาด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยในสิ่งที่ตนได้รับคำสั่งมา
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ให้นำของสิ่งนี้มาให้ท่านขอรับ ท่านหัวหน้าฯ บอกว่าได้มาจากบริเวณใกล้ๆ กับที่จับสายลับของกอรินธ์ได้เมื่อสี่วันก่อน”
ราชครูรับกล่องไม้ใบเล็กจิ๋วราวกับตลับแป้งมาจากมือของนายทหารหนุ่ม “ขอบใจมาก” เขากล่าว ก่อนจะเปิดออกและจ้องมองสิ่งของภายในหีบนั้นอย่างพินิจพิจารณา
“อะไรน่ะ”ลาร์โก้ซึ่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอ่ยถาม คิ้วขมวดมุ่น “คุ้นตาอย่างไรชอบกล ข้าต้องเคยเห็นที่ไหนแน่ๆ เสียแต่ว่านึกไม่ออก”
นิ้วแห้งเรียวยาวของราชครูหยิบเศษแก้วเนื้อเนียนเรียบสีชมพู ขนาดเท่ากรวดก้อนเล็กๆ ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วยกส่องกับแสงสว่างที่ผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง เขาหรี่นัยน์ตาลงจนแทบจะปิด ก่อนจะเบิกโพลงด้วยอาการตื่นตะลึง ทำให้ลาร์โก้ที่เฝ้ามองตามเกิดความสงสัยจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอท่าน”
ราชครูยังไม่ยอมตอบในทันที เขากำของสิ่งนั้นไว้ในมือ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ เป็นเวลานานนับนาที ก่อนจะเอ่ยถามกลับช้าๆ
“พวกเขาขังนักโทษหญิงคนนั้นไว้ที่ไหน”
ลาร์โก้ที่ดูเหมือนจะมึนงงกับการถูกตั้งคำถามกลับตอบว่า “ในคุกหลวง แต่ถ้าหากนางยังดึงดันปากแข็งต่อไปอีก คงถูกสั่งย้ายไปขังยังคุกใต้ปราสาทเก่า แทนวิธีทรมานด้วยการงดข้าวงดน้ำอย่างที่โดนอยู่ตอนนี้”
“สั่งงดข้าวงดน้ำ!”ราชครูอุทาน ดวงตาเบิกกว้างมากกว่าเดิมเป็นเท่าตั้ว “ข้าจะไปพาตัวนางออกมา”
“ช้าก่อน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”ลาร์โก้รีบห้าม วิ่งไปขวางหน้าประตูทางออก “ไม่ได้เด็ดขาด อำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมนักโทษขึ้นอยู่กับผู้ที่จับนักโทษรายนั้นมาได้”
ราชครูยืดกายขึ้น ท่าทางราวกับกำลังขยายร่างกายให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม
“หากข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าทหารผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านข้าได้!”
ลาร์โก้ส่งเสียงละเหี่ยใจ ก่อนตอบกลับเนือยๆ “ประโยคเมื่อครู่ ไม่น่าจะใช้ได้กับเสนาบดีกลาโหมหรอกนะท่าน”
ใบหน้าของราชครูซีดเผือดลงในทันที “นี่หมายความว่า...”เขาพูดเสียงอ่อน ราวกับหมดแรงเรี่ยว “ข้าต้องออกแรงปะทะคารมกับเขาอีกแล้วหรือนี่!”