.
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36518377
บทที่ 2
แสงจันทร์สาดส่อง สายลมพัดโชยเย็นเยียบ ต้นไผ่สั่นไหวตามแรงลม ใบไผ่ร่วงลงพื้นดิน ค่ำคืนวิกาลดงไผ่ไร้ผู้คน ทว่าปรากฏบุรุษสามคนยืนประจัญหน้ากัน
สองคนยืนเคียงคู่กันคือคนของพรรคมารห่านฟ้า คนผู้หนึ่งสูงใหญ่อวบอ้วนตัวดำ ดวงตาเล็กรี่เรียวถือดาบใหญ่สองเล่ม คนผู้หนึ่งรูปร่างผอมสูงโปร่งผมดำขลับยาวประบ่าดวงตากลมโตเกือบโปนออกมา อีกคนคือสมุหราชองครักษ์จางเฟยอวี่
“เจ้าฆ่าสหายข้า คืนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปยมโลก” คนรูปร่างใหญ่อวบอ้วนเป็นผู้กล่าวขึ้น มือทั้งสองกระชับดาบมั่น เตรียมพร้อมโจมตีคู่ต่อสู้
“ข้าเกรงว่าจักเป็นพวกท่านที่ต้องไปพบยมโลกก่อนข้ากระมัง” จางเฟยอวี่กล่าวขึ้น
พลันจบวาจา คนของพรรคมารห่านฟ้าวิ่งกรูแกว่งตวัดดาบฟาดฟันใส่จางเฟยอวี่ ฝ่ายสมุหราชองครักษ์มิเพียงไม่ชักดาบขึ้นมาต่อสู้ หนำซ้ำยังไม่โต้ตอบคนทั้งสอง เขาเพียงเบี่ยงกายหลบหลีกอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
ด้วยพลังวรยุทธ์แข็งกล้าที่ฝึกปรือมาหลายสิบปี จางเฟยอวี่รับรู้ได้ว่าสองคนนี้ฝีมืออ่อนด้อยกว่าตนอยู่หลายส่วนนัก แม้ไม่ชักดาบออกมาก็สามารถสังหารพวกเขาด้วยกระบวนท่าไม่กี่ท่า
จางเฟยอวี่ไม่คิดฆ่าใครโดยง่าย และยิ่งไม่เคยมีเรื่องราวแค้นเคืองอะไรกันยิ่งไม่ต้องการจะฆ่าฟัน แต่คนของพรรคมารห่านฟ้าคือคำสั่งจากทางการให้จับตายและเขาคือทหารแห่งวังหลวง มีหน้าที่ผดุงความยุติธรรมและปกป้องราษฎรจากภัยคุกคามของคนพรรคมารห่านฟ้าหากแม้สองคนนี้เป็นนักเลงไร้สังกัด คงได้ปลดปล่อยพวกมันไป ไม่คิดเข่นฆ่าให้ถึงแก่ชีวิต ทว่าเมื่อพวกมันมีสังกัดแน่นอนเด่นชัดเยี่ยงนี้ ยากนักที่จะปล่อยให้ลอยนวลออกไปสร้างความเดือดร้อนให้คนผู้อื่น
ดาบใหญ่สองเล่มในมือชายร่างอวบอ้วนฟันฉับผ่านหน้าจางเฟยอวี่ไปอย่างหวุดหวิดหวาดเสียว สมุหราชองครักษ์ถลันกายหลบหลีก ด้วยการพุ่งถาโถมขึ้นฟ้า ฉับพลันดิ่งตัวลงมาราวคลื่นพายุ กระแทกพลังฝ่ามือเข้าใส่ชายร่างอวบอ้วนส่งร่างใหญ่ลอยกระเด็นกระดอนไปไกลหลายวา กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ สิ้นใจตายข้างก่อไผ่อ่อนที่เพิ่งแตกหน่อผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
ด้านชายร่างผอมสูงเมื่อเห็นเพื่อนตายอนาจเยี่ยงนี้ พลันเกิดอาการหวาดกลัว มือถือดาบสั่นระริก จางเฟยอวี่ย่างสามขุมเข้ามาหามัน ครุ่นคิดคำนวณในใจแล้วว่าหากมันผู้นี้คิดวิ่งหนีจักปล่อยมันไป หากมันคิดต่อสู้คงได้ตายเช่นเดียวกับเพื่อนมัน
แล้วความคิดแรกของจางเฟยอวี่พลันปรากฏเป็นจริง เมื่อคนของพรรคมารห่านฟ้าหนีหายเข้าไปในความมืดของป่าไผ่
จางเฟยอวี่ยืนทอดถอนหายใจไม่คิดจะตามไปเข่นฆ่าให้เสียเวลา เพราะมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ คือตามหาองค์ชายที่หายสาบสูญ จึงรีบรุดกลับมาหอสุราอีกครั้ง
ลูกค้าในร้านสองโต๊ะยังอยู่ที่เดิม ส่วนโต๊ะที่เขาเคยนั่งมีของกินวางอยู่ในสภาพเดิม มีไหสุราใบใหม่มาตั้งไว้บนโต๊ะเรียบร้อย พื้นถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยดังเดิมและศพข้างโต๊ะหายไปอย่างไร้ร่องลอย จางเฟยอวี่ยิ้มในใจนึกชื่นชมเจ้าของร้าน ทำงานได้รวดเร็วทันใจจนอดคิดไม่ได้ว่า คงเชี่ยวชาญการเก็บกวาดสิ่งไม่พึงประสงค์ภายในร้านเป็นอย่างดี
“นายท่าน นายท่าน เชิญ ข้าเปลี่ยนสุราไหใหม่มาให้ท่านแล้ว เชิญนั่งรับประทานต่อได้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อวัยค่อยคนรีบวิ่งมาต้อนรับจางเฟยอวี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เสี่ยวเอ้อย่อมไม่ทราบได้ว่าจะเป็นใครกันแน่ที่เดินเข้ามาให้ร้าน แต่ก็เตรียมการไว้ต้อนรับ และเมื่อเห็นว่าเป็นบุรุษชุดเทาที่เดินกลับเข้ามาในร้านยิ่งสร้างปิติยินดีให้แก่ตนยิ่งนัก เนื่องเพราะคนของพรรคมารห่านฟ้าสั่งของมากินแล้วไม่เคยจะจ่ายเงินสักที นึกแล้วเจ็บแค้นใจนัก คิดสาปแช่งพวกมันอยู่หลายครั้งหลายครา ทีนี้คำสาปแช่งคงเป็นจริงเสียแล้ว ก็แสนดีใจ
จางเฟยอวี่เมื่อเดินเข้ามาในร้านกลับไม่เดินไปนั่งที่โต๊ะเดิม เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบุรุษสูงวัยชุดดำสวมหมวกฟาง ยกมือประสานคารวะ
“ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโส แม้เราไม่รู้จักกัน ผู้อาวุโสยังยื่นมือมาช่วยเป็นพระคุณยิ่งนัก”
จางเฟยอวี่แม้อยู่ในจังหวะฉุกละหุก ถูกสามนักเลงรุดเข้าจู่โจมพร้อมกัน ทว่าสายตาเฉียดแหลมนัก มองเห็นคนผู้หนึ่งเข้ามาช่วยตนไว้ และเป็นบุรุษสูงวัยที่สวมหมวกฟางใบใหญ่ ดีดเมล็ดถั่วใส่ดาบใหญ่ของคนพรรคมารห่านฟ้าจนเบี่ยงเสเปลี่ยนทิศทางไม่พุ่งตรงมาที่ตน
ความรวดเร็วรุนแรงแม่นยำของเมล็ดถั่วนั้นทำให้สมุหราชองครักษ์ ตื่นตระหนกตกใจอยู่ไม่น้อย พลันรับรู้ได้เลยว่าบุคคลผู้นี้ย่อมต้องมีพลังวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก แม้แต่สามนักเลงยังมิทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนถูกขัดขวางด้วยอาวุธลับเล็กจิ๋วไร้พิษสงอย่างเมล็ดถั่ว
“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ” บุรุษสูงวัยสวมหมวกฟางกล่าวคำว่าประเสริฐติดกันสามครั้ง ก่อนกรอกสุราลงคอ นึกชมเชยบุรุษชุดเทามากขึ้นแม้เมล็ดถั่วเม็ดเล็กเพียงน้อยนิดยังมิอาจหลบหลีกสายตาคนผู้นี้ได้ นับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา
จางเฟยอวี่แย้มยิ้มเข้าใจความหมาย และกล่าวขึ้นต่อว่า
“ผู้น้อยขอเลี้ยงสุรา ผู้อาวุโสสักคราเพื่อตอบแทนบุญคุณครั้งนี้”
“บุรุษดื่มสุราร่วมโต๊ะ ย่อมเป็นการผูกมิตรสานสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง เชิญๆ” บุรุษสูงวัยผายมือเชื้อเชิญให้ผู้น้อยวัยนั่งลง
จางเฟยอวี่ประสานมือคารวะอีกครา
เสี่ยวเอ้อที่ยืนรอดูสถานการณ์อยู่ด้วยนั่น ยิ้มหน้าบาน ลุกลีลุกลนขนย้ายอาหารจากอีกโต๊ะมาไว้อีกโต๊ะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงผละถอยล้าหายเข้าครัวอย่างรวดเร็ว
“มิทราบผู้อาวุโสมีนามว่ากระไร ผู้น้อยจะขอจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไม่ลืมเลือน แลหากผู้อาวุโสต้องการความช่วยผู้น้อยจะไม่ขัดข้อง ขอเพียงบอกมา”
ผู้สูงวัยโบกไม้โบกมือ ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ช่วยเหลือผู้คน หาได้หวังผลตอบแทนไม่ คนของพรรคมารห่านฟ้าต่ำช้าเลวทรามนัก รังแกระรานผู้คนไปทั่วโดยไร้เหตุผล ข้าเห็นแล้วก็อดยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ พวกมันควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง”
“เป็นเช่นนั้น ทว่าผู้น้อยไม่มิได้ชื่นชอบการเข่นฆ่าคนนัก ทุกอย่างล้วนทำตามหน้าที่”
“ประเสริฐ..” ผู้สูงวัยกล่าวคำว่าประเสริฐอีกครั้ง นัยต์ตาลุ่มลึกจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สนทนา เห็นแววตาแห่งความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว สุภาพทว่าแฝงเร้นความมีเมตตา ยากนักที่จะพบพานบุรุษหนุ่มผู้มีบุคลิกเยี่ยงนี้ในยุทธภพ
“ผู้น้อยนามว่า จางเฟยอวี่ ขอคารวะผู้อาวุโส” สมุหราชองครักษ์รินสุราใส่จอกแล้วยื่นให้ผู้สูงวัย ก่อนจะยกจอกสุราตัวเองขึ้น ค้อมศีรษะทำความเคารพแล้วกรอกสุราลงคอ
“เรียกข้าว่ากระบี่ไร้เงา” ผู้สูงวัยกล่าว
จางเฟยอวี่เบิกตาโต ตื่นเต้นดีใจระคนนึกไม่ถึงจะได้พบพานจอมยุทธ์ผู้มีฝีมือเก่งฉกาจและลูกค้าสามคนนั่งอยู่โต๊ะถัดไปล้วนมีอาการเช่นเดียวกับสมุหราชองครักษ์
“ท่านอาวุโสคือ เป้าหย่งจี๋ ฉายากระบี่ไร้เงา ชอบช่วยเหลือผู้ยากไร้แลผดุงความยุติธรรมติ โดยไม่หวังสิ่งได้ตอบแทน ใครเดือดร้อนล้วนเป็นท่านที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เป็นวาสนาของผู้น้อยยิ่งนักที่ได้พบพานผู้อาวุโสในวันนี้”
จางเฟยอวี่กล่าวขึ้นสุ้มเสียงแสดงความนอบน้อมเลื่อมใส ก่อนยกมือประสานคารวะอีกครา
“มิขนาดนั้น ข้าเพียงเห็นคนไร้ทางต่อสู้ถูกรังแก ก็อดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้ มิได้มีอะไรน่ายกย่องนัก” ผู้สูงวัยถ่อมตน ก่อนกล่าวขึ้นถามต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวชื่นชมตนอีก
“เหตุใดเดินทางมายังบ้านป่าบ้านเถื่อนเยี่ยงนี้ ดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้วล้วนบ่งบอกว่าเป็นผู้ดี มิน่าจะย่างกรายมาในที่ไม่น่ารื่นรมย์เช่นที่นี่ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ หากแม้มิอาจบอกกล่าวก็มิเป็นไร เพียงสอบถามให้หายข้องใจเท่านั้น”
กระบี่ไร้เงากล่าวด้วยความเกรงใจ
“เรื่องของข้ามิได้เป็นความลับอะไร หากผู้อาวุโสเอ่ยถามไถ่ ข้าน้อยย่อมตอบตามความจริง ที่ข้าพเจ้าเดินร่อนเร่ไปทั่วยุทธภพเพื่อออกตามหาสตรีผู้หนึ่งนามเจียวเหมย มิทราบท่านอาวุโสเคยได้ยินชื่อนางบ้างหรือไม่”
“มิเคยได้ยินมาก่อน” กระบี่ไร้เงากล่าวตอบ
คำถามที่จางเฟยอวี่เอ่ยถามเป้าหย่งจี๋ สามคนซึ่งอยู่โต๊ะถัดไปได้ยินถนัดชัดเจน ต่างพากันประสานสบตากัน ความหวาดระแวงสงสัยใคร่รู้ในตัวบุรุษชุดเทาก่อตัวท่วมท้น เนื่องเพราะเจียวเหมยคือบุคคลที่คนทั้งสามรู้จักดี
“คนผู้นั้นถามหาแม่ข้า” เด็กหนุ่มหน้ามอมแมมกระซิบบอกเยว่ฉี
“เงียบ ฟังมันก่อน หากมาเพื่อเข่นฆ่านาง ข้าจะหาทางสังหารมันก่อนที่มันจะหาตัวนางเจอ” ผู้เฒ่านามซือเซินกระซิบตอบกลับ เลื่อนมือไปกำทวนไว้มั่น
“นางเป็นใครไยเจ้ามาตามหานาง” กระบี่ไร้เงากล่าวถาม
“เป็นสตรีผู้หนึ่งที่สำคัญกับข้านัก หากหานางไม่พบบ้านเมืองคงไม่มีทางสงบสุขร่มเย็น แลหากข้าหานางไม่พบคงไม่มีหน้ากับไปใช้ชีวิตปกติที่บ้านเกิดได้ดังเดิม”
จางเฟยอวี่มิอาจเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้สูงวัยทราบได้ เล่าเพียงเท่านี้เพื่อป้องกันมิให้เรื่องราวถึงหูทหารกษัตริย์ซงซื่อ หากเป็นเช่นนั้นพวกทหารคงหาทางฆ่าเจียวเหมยและโอรสของกษัตริย์ซงอวี้เป็นแน่
“นางคงสำคัญมาก”
“ในเวลานี้เห็นเป็นนางที่สำคัญกับเมืองบ้านนัก” จางเฟยอวี่กล่าว มิได้ขยายความถึงบุตรของนางที่ตนต้องการตัว เพราะทราบแน่ว่าหากหาเจียวเหมยเจอย่อมเจอโอรสของกษัตริย์ซงอวี้ด้วยเช่นกัน
“หากข้าพอมีเบาะแสจะส่งข่าวบอกเจ้าให้ทราบ”
“ผู้น้อยขอขอบคุณผู้อาวุโสล่วงหน้า”
จางเฟยอวี่แยกตัวจากกระบี่ไร้เงาในเวลาดึกสงัดมากแล้ว เสวนากับผู้สูงวัยติดพันเพราะคุยกันถูกคอนัก จนหลงลืมไปว่าตนยังไม่มีที่พักหลับนอน สอบถามจากเสี่ยวเอ้อจึงทราบว่าเดินมาไปไม่ไกลก็จะมีโรงเตี๊ยมให้เช่าพัก
เส้นทางไปยังโรงเตี๊ยมเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ดวงจันทร์ส่องแสงกระจ่างพอช่วยให้มองเห็นทางเดิน บ้านช่องแต่ละหลังล้วนปิดสนิท ลมเย็นเยียบพัดผ่านสมุหราชองครักษ์แผ่วเบา
เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องดังระงม ชายหนุ่มเดินผ่านต้นใหญ่ริมทาง นกเค้าแมวที่เกาะอยู่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องดังขึ้น ราวกับเป็นการขับไล่ตนให้ไปที่อื่น จึงเร่งฝีเท้าเดินรวดเร็วบวกกับลมหนาวยามค่ำคืนรบเร้าให้ตนอยากล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มเต็มที
ก้าวเดินพ้นต้นไม้มาเพียงสามก้าวเท่านั้น สายตาพลันเหลือบมองเห็นแสงสีเงินวับๆอยู่บนหลังคาบ้านเบื้องหน้า เป็นเช่นนี้ดูแล้วท่าจะไม่ดีแน่ต้องมีอะไรแปลกปลอมอยู่บนนั่นเป็น จางเฟยอวี่ครุ่นคิดและยังไม่ทันได้คิดอ่านการใด เสียงหวืดดังขึ้น วัตถุเหล็กแหลมขนาดเท่านิ้วมือพุ่งผ่านสมุหราชองครักษ์อย่างหวุดหวิดไปปักที่โคนต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
.
องครักษ์พ่ายรัก .... บทที่ 2
บทที่ 1 https://ppantip.com/topic/36518377
บทที่ 2
แสงจันทร์สาดส่อง สายลมพัดโชยเย็นเยียบ ต้นไผ่สั่นไหวตามแรงลม ใบไผ่ร่วงลงพื้นดิน ค่ำคืนวิกาลดงไผ่ไร้ผู้คน ทว่าปรากฏบุรุษสามคนยืนประจัญหน้ากัน
สองคนยืนเคียงคู่กันคือคนของพรรคมารห่านฟ้า คนผู้หนึ่งสูงใหญ่อวบอ้วนตัวดำ ดวงตาเล็กรี่เรียวถือดาบใหญ่สองเล่ม คนผู้หนึ่งรูปร่างผอมสูงโปร่งผมดำขลับยาวประบ่าดวงตากลมโตเกือบโปนออกมา อีกคนคือสมุหราชองครักษ์จางเฟยอวี่
“เจ้าฆ่าสหายข้า คืนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปยมโลก” คนรูปร่างใหญ่อวบอ้วนเป็นผู้กล่าวขึ้น มือทั้งสองกระชับดาบมั่น เตรียมพร้อมโจมตีคู่ต่อสู้
“ข้าเกรงว่าจักเป็นพวกท่านที่ต้องไปพบยมโลกก่อนข้ากระมัง” จางเฟยอวี่กล่าวขึ้น
พลันจบวาจา คนของพรรคมารห่านฟ้าวิ่งกรูแกว่งตวัดดาบฟาดฟันใส่จางเฟยอวี่ ฝ่ายสมุหราชองครักษ์มิเพียงไม่ชักดาบขึ้นมาต่อสู้ หนำซ้ำยังไม่โต้ตอบคนทั้งสอง เขาเพียงเบี่ยงกายหลบหลีกอาวุธจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
ด้วยพลังวรยุทธ์แข็งกล้าที่ฝึกปรือมาหลายสิบปี จางเฟยอวี่รับรู้ได้ว่าสองคนนี้ฝีมืออ่อนด้อยกว่าตนอยู่หลายส่วนนัก แม้ไม่ชักดาบออกมาก็สามารถสังหารพวกเขาด้วยกระบวนท่าไม่กี่ท่า
จางเฟยอวี่ไม่คิดฆ่าใครโดยง่าย และยิ่งไม่เคยมีเรื่องราวแค้นเคืองอะไรกันยิ่งไม่ต้องการจะฆ่าฟัน แต่คนของพรรคมารห่านฟ้าคือคำสั่งจากทางการให้จับตายและเขาคือทหารแห่งวังหลวง มีหน้าที่ผดุงความยุติธรรมและปกป้องราษฎรจากภัยคุกคามของคนพรรคมารห่านฟ้าหากแม้สองคนนี้เป็นนักเลงไร้สังกัด คงได้ปลดปล่อยพวกมันไป ไม่คิดเข่นฆ่าให้ถึงแก่ชีวิต ทว่าเมื่อพวกมันมีสังกัดแน่นอนเด่นชัดเยี่ยงนี้ ยากนักที่จะปล่อยให้ลอยนวลออกไปสร้างความเดือดร้อนให้คนผู้อื่น
ดาบใหญ่สองเล่มในมือชายร่างอวบอ้วนฟันฉับผ่านหน้าจางเฟยอวี่ไปอย่างหวุดหวิดหวาดเสียว สมุหราชองครักษ์ถลันกายหลบหลีก ด้วยการพุ่งถาโถมขึ้นฟ้า ฉับพลันดิ่งตัวลงมาราวคลื่นพายุ กระแทกพลังฝ่ามือเข้าใส่ชายร่างอวบอ้วนส่งร่างใหญ่ลอยกระเด็นกระดอนไปไกลหลายวา กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ สิ้นใจตายข้างก่อไผ่อ่อนที่เพิ่งแตกหน่อผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
ด้านชายร่างผอมสูงเมื่อเห็นเพื่อนตายอนาจเยี่ยงนี้ พลันเกิดอาการหวาดกลัว มือถือดาบสั่นระริก จางเฟยอวี่ย่างสามขุมเข้ามาหามัน ครุ่นคิดคำนวณในใจแล้วว่าหากมันผู้นี้คิดวิ่งหนีจักปล่อยมันไป หากมันคิดต่อสู้คงได้ตายเช่นเดียวกับเพื่อนมัน
แล้วความคิดแรกของจางเฟยอวี่พลันปรากฏเป็นจริง เมื่อคนของพรรคมารห่านฟ้าหนีหายเข้าไปในความมืดของป่าไผ่
จางเฟยอวี่ยืนทอดถอนหายใจไม่คิดจะตามไปเข่นฆ่าให้เสียเวลา เพราะมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ คือตามหาองค์ชายที่หายสาบสูญ จึงรีบรุดกลับมาหอสุราอีกครั้ง
ลูกค้าในร้านสองโต๊ะยังอยู่ที่เดิม ส่วนโต๊ะที่เขาเคยนั่งมีของกินวางอยู่ในสภาพเดิม มีไหสุราใบใหม่มาตั้งไว้บนโต๊ะเรียบร้อย พื้นถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยดังเดิมและศพข้างโต๊ะหายไปอย่างไร้ร่องลอย จางเฟยอวี่ยิ้มในใจนึกชื่นชมเจ้าของร้าน ทำงานได้รวดเร็วทันใจจนอดคิดไม่ได้ว่า คงเชี่ยวชาญการเก็บกวาดสิ่งไม่พึงประสงค์ภายในร้านเป็นอย่างดี
“นายท่าน นายท่าน เชิญ ข้าเปลี่ยนสุราไหใหม่มาให้ท่านแล้ว เชิญนั่งรับประทานต่อได้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อวัยค่อยคนรีบวิ่งมาต้อนรับจางเฟยอวี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เสี่ยวเอ้อย่อมไม่ทราบได้ว่าจะเป็นใครกันแน่ที่เดินเข้ามาให้ร้าน แต่ก็เตรียมการไว้ต้อนรับ และเมื่อเห็นว่าเป็นบุรุษชุดเทาที่เดินกลับเข้ามาในร้านยิ่งสร้างปิติยินดีให้แก่ตนยิ่งนัก เนื่องเพราะคนของพรรคมารห่านฟ้าสั่งของมากินแล้วไม่เคยจะจ่ายเงินสักที นึกแล้วเจ็บแค้นใจนัก คิดสาปแช่งพวกมันอยู่หลายครั้งหลายครา ทีนี้คำสาปแช่งคงเป็นจริงเสียแล้ว ก็แสนดีใจ
จางเฟยอวี่เมื่อเดินเข้ามาในร้านกลับไม่เดินไปนั่งที่โต๊ะเดิม เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบุรุษสูงวัยชุดดำสวมหมวกฟาง ยกมือประสานคารวะ
“ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโส แม้เราไม่รู้จักกัน ผู้อาวุโสยังยื่นมือมาช่วยเป็นพระคุณยิ่งนัก”
จางเฟยอวี่แม้อยู่ในจังหวะฉุกละหุก ถูกสามนักเลงรุดเข้าจู่โจมพร้อมกัน ทว่าสายตาเฉียดแหลมนัก มองเห็นคนผู้หนึ่งเข้ามาช่วยตนไว้ และเป็นบุรุษสูงวัยที่สวมหมวกฟางใบใหญ่ ดีดเมล็ดถั่วใส่ดาบใหญ่ของคนพรรคมารห่านฟ้าจนเบี่ยงเสเปลี่ยนทิศทางไม่พุ่งตรงมาที่ตน
ความรวดเร็วรุนแรงแม่นยำของเมล็ดถั่วนั้นทำให้สมุหราชองครักษ์ ตื่นตระหนกตกใจอยู่ไม่น้อย พลันรับรู้ได้เลยว่าบุคคลผู้นี้ย่อมต้องมีพลังวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก แม้แต่สามนักเลงยังมิทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนถูกขัดขวางด้วยอาวุธลับเล็กจิ๋วไร้พิษสงอย่างเมล็ดถั่ว
“ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ” บุรุษสูงวัยสวมหมวกฟางกล่าวคำว่าประเสริฐติดกันสามครั้ง ก่อนกรอกสุราลงคอ นึกชมเชยบุรุษชุดเทามากขึ้นแม้เมล็ดถั่วเม็ดเล็กเพียงน้อยนิดยังมิอาจหลบหลีกสายตาคนผู้นี้ได้ นับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา
จางเฟยอวี่แย้มยิ้มเข้าใจความหมาย และกล่าวขึ้นต่อว่า
“ผู้น้อยขอเลี้ยงสุรา ผู้อาวุโสสักคราเพื่อตอบแทนบุญคุณครั้งนี้”
“บุรุษดื่มสุราร่วมโต๊ะ ย่อมเป็นการผูกมิตรสานสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง เชิญๆ” บุรุษสูงวัยผายมือเชื้อเชิญให้ผู้น้อยวัยนั่งลง
จางเฟยอวี่ประสานมือคารวะอีกครา
เสี่ยวเอ้อที่ยืนรอดูสถานการณ์อยู่ด้วยนั่น ยิ้มหน้าบาน ลุกลีลุกลนขนย้ายอาหารจากอีกโต๊ะมาไว้อีกโต๊ะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงผละถอยล้าหายเข้าครัวอย่างรวดเร็ว
“มิทราบผู้อาวุโสมีนามว่ากระไร ผู้น้อยจะขอจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไม่ลืมเลือน แลหากผู้อาวุโสต้องการความช่วยผู้น้อยจะไม่ขัดข้อง ขอเพียงบอกมา”
ผู้สูงวัยโบกไม้โบกมือ ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ช่วยเหลือผู้คน หาได้หวังผลตอบแทนไม่ คนของพรรคมารห่านฟ้าต่ำช้าเลวทรามนัก รังแกระรานผู้คนไปทั่วโดยไร้เหตุผล ข้าเห็นแล้วก็อดยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ พวกมันควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง”
“เป็นเช่นนั้น ทว่าผู้น้อยไม่มิได้ชื่นชอบการเข่นฆ่าคนนัก ทุกอย่างล้วนทำตามหน้าที่”
“ประเสริฐ..” ผู้สูงวัยกล่าวคำว่าประเสริฐอีกครั้ง นัยต์ตาลุ่มลึกจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สนทนา เห็นแววตาแห่งความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว สุภาพทว่าแฝงเร้นความมีเมตตา ยากนักที่จะพบพานบุรุษหนุ่มผู้มีบุคลิกเยี่ยงนี้ในยุทธภพ
“ผู้น้อยนามว่า จางเฟยอวี่ ขอคารวะผู้อาวุโส” สมุหราชองครักษ์รินสุราใส่จอกแล้วยื่นให้ผู้สูงวัย ก่อนจะยกจอกสุราตัวเองขึ้น ค้อมศีรษะทำความเคารพแล้วกรอกสุราลงคอ
“เรียกข้าว่ากระบี่ไร้เงา” ผู้สูงวัยกล่าว
จางเฟยอวี่เบิกตาโต ตื่นเต้นดีใจระคนนึกไม่ถึงจะได้พบพานจอมยุทธ์ผู้มีฝีมือเก่งฉกาจและลูกค้าสามคนนั่งอยู่โต๊ะถัดไปล้วนมีอาการเช่นเดียวกับสมุหราชองครักษ์
“ท่านอาวุโสคือ เป้าหย่งจี๋ ฉายากระบี่ไร้เงา ชอบช่วยเหลือผู้ยากไร้แลผดุงความยุติธรรมติ โดยไม่หวังสิ่งได้ตอบแทน ใครเดือดร้อนล้วนเป็นท่านที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เป็นวาสนาของผู้น้อยยิ่งนักที่ได้พบพานผู้อาวุโสในวันนี้”
จางเฟยอวี่กล่าวขึ้นสุ้มเสียงแสดงความนอบน้อมเลื่อมใส ก่อนยกมือประสานคารวะอีกครา
“มิขนาดนั้น ข้าเพียงเห็นคนไร้ทางต่อสู้ถูกรังแก ก็อดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้ มิได้มีอะไรน่ายกย่องนัก” ผู้สูงวัยถ่อมตน ก่อนกล่าวขึ้นถามต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวชื่นชมตนอีก
“เหตุใดเดินทางมายังบ้านป่าบ้านเถื่อนเยี่ยงนี้ ดูจากการแต่งตัวของเจ้าแล้วล้วนบ่งบอกว่าเป็นผู้ดี มิน่าจะย่างกรายมาในที่ไม่น่ารื่นรมย์เช่นที่นี่ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ หากแม้มิอาจบอกกล่าวก็มิเป็นไร เพียงสอบถามให้หายข้องใจเท่านั้น”
กระบี่ไร้เงากล่าวด้วยความเกรงใจ
“เรื่องของข้ามิได้เป็นความลับอะไร หากผู้อาวุโสเอ่ยถามไถ่ ข้าน้อยย่อมตอบตามความจริง ที่ข้าพเจ้าเดินร่อนเร่ไปทั่วยุทธภพเพื่อออกตามหาสตรีผู้หนึ่งนามเจียวเหมย มิทราบท่านอาวุโสเคยได้ยินชื่อนางบ้างหรือไม่”
“มิเคยได้ยินมาก่อน” กระบี่ไร้เงากล่าวตอบ
คำถามที่จางเฟยอวี่เอ่ยถามเป้าหย่งจี๋ สามคนซึ่งอยู่โต๊ะถัดไปได้ยินถนัดชัดเจน ต่างพากันประสานสบตากัน ความหวาดระแวงสงสัยใคร่รู้ในตัวบุรุษชุดเทาก่อตัวท่วมท้น เนื่องเพราะเจียวเหมยคือบุคคลที่คนทั้งสามรู้จักดี
“คนผู้นั้นถามหาแม่ข้า” เด็กหนุ่มหน้ามอมแมมกระซิบบอกเยว่ฉี
“เงียบ ฟังมันก่อน หากมาเพื่อเข่นฆ่านาง ข้าจะหาทางสังหารมันก่อนที่มันจะหาตัวนางเจอ” ผู้เฒ่านามซือเซินกระซิบตอบกลับ เลื่อนมือไปกำทวนไว้มั่น
“นางเป็นใครไยเจ้ามาตามหานาง” กระบี่ไร้เงากล่าวถาม
“เป็นสตรีผู้หนึ่งที่สำคัญกับข้านัก หากหานางไม่พบบ้านเมืองคงไม่มีทางสงบสุขร่มเย็น แลหากข้าหานางไม่พบคงไม่มีหน้ากับไปใช้ชีวิตปกติที่บ้านเกิดได้ดังเดิม”
จางเฟยอวี่มิอาจเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้สูงวัยทราบได้ เล่าเพียงเท่านี้เพื่อป้องกันมิให้เรื่องราวถึงหูทหารกษัตริย์ซงซื่อ หากเป็นเช่นนั้นพวกทหารคงหาทางฆ่าเจียวเหมยและโอรสของกษัตริย์ซงอวี้เป็นแน่
“นางคงสำคัญมาก”
“ในเวลานี้เห็นเป็นนางที่สำคัญกับเมืองบ้านนัก” จางเฟยอวี่กล่าว มิได้ขยายความถึงบุตรของนางที่ตนต้องการตัว เพราะทราบแน่ว่าหากหาเจียวเหมยเจอย่อมเจอโอรสของกษัตริย์ซงอวี้ด้วยเช่นกัน
“หากข้าพอมีเบาะแสจะส่งข่าวบอกเจ้าให้ทราบ”
“ผู้น้อยขอขอบคุณผู้อาวุโสล่วงหน้า”
จางเฟยอวี่แยกตัวจากกระบี่ไร้เงาในเวลาดึกสงัดมากแล้ว เสวนากับผู้สูงวัยติดพันเพราะคุยกันถูกคอนัก จนหลงลืมไปว่าตนยังไม่มีที่พักหลับนอน สอบถามจากเสี่ยวเอ้อจึงทราบว่าเดินมาไปไม่ไกลก็จะมีโรงเตี๊ยมให้เช่าพัก
เส้นทางไปยังโรงเตี๊ยมเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ดวงจันทร์ส่องแสงกระจ่างพอช่วยให้มองเห็นทางเดิน บ้านช่องแต่ละหลังล้วนปิดสนิท ลมเย็นเยียบพัดผ่านสมุหราชองครักษ์แผ่วเบา
เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องดังระงม ชายหนุ่มเดินผ่านต้นใหญ่ริมทาง นกเค้าแมวที่เกาะอยู่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องดังขึ้น ราวกับเป็นการขับไล่ตนให้ไปที่อื่น จึงเร่งฝีเท้าเดินรวดเร็วบวกกับลมหนาวยามค่ำคืนรบเร้าให้ตนอยากล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มเต็มที
ก้าวเดินพ้นต้นไม้มาเพียงสามก้าวเท่านั้น สายตาพลันเหลือบมองเห็นแสงสีเงินวับๆอยู่บนหลังคาบ้านเบื้องหน้า เป็นเช่นนี้ดูแล้วท่าจะไม่ดีแน่ต้องมีอะไรแปลกปลอมอยู่บนนั่นเป็น จางเฟยอวี่ครุ่นคิดและยังไม่ทันได้คิดอ่านการใด เสียงหวืดดังขึ้น วัตถุเหล็กแหลมขนาดเท่านิ้วมือพุ่งผ่านสมุหราชองครักษ์อย่างหวุดหวิดไปปักที่โคนต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
.