องครักษ์พ่ายรัก

กระทู้สนทนา
.

บทที่ 1



‘จางเฟยอวี่’บุรุษผู้สวมใส่ชุดผ้าแพรสีเทายาวกรุยกรายจนถึงตาตุ่ม ด้านหลังสะพายดาบคู่ใจ ใบหน้ายิ้มเย็นนิ่งเฉย ดวงตาคมกริบเด็ดเดี่ยวดังพญาอินทรี ทว่ากลับแฝ้นเร้นแววแห่งความเมตตาปรานี แลน่าเกรงขามในคราวเดียวกัน

อกผายไหล่ผึ่งแสดงให้ผู้ที่เฝ้ามองดูรับรู้ได้ว่าบุคคลผู้นี้มิได้เกรงกลัวต่อสิ่งใด นัยน์ตาคมกริบเปล่งประกายเจิดจรัสมุ่งมั่น คือแววตาแห่งผู้มีปัญญาอันปราดเปรื่องแหลมคม แลยังบอกได้ว่าบุคคลผู้นี้มีวิทยายุทธ์แกร่งกล้าจนยากที่ใครจะต่อกรได้ง่ายๆ เพราะเพียงมองดูทวงท่าการก้าวเดิน บุคลิกสง่าผ่าเผย ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อยดูแล้วย่อมมิใช่คนชั้นต่ำไร้ฝีมือเป็นแน่ เป็นบุคลิกที่ยากจะหยั่งถึง และคาดเดาบุคคลผู้นี้ได้ยากนัก

ชายฉกรรจ์สูงวัยผู้อยู่ในชุดคลุมดำสวมหมวกฟางใบใหญ่ ซึ่งนั่งร่ำสุราอยู่โต๊ะในสุดของหอสุรากลางป่า กำลังจับตามองดูลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยความสนอกใจสนลอบประเมินคนผู้นั่นอย่างรอบด้าน ยกมือลูบครางตนเองพินิจพิจารณา พลอยนึกขอบใจหมวกฟางที่ช่วยกำบังสายตาตนได้เป็นอย่างดี จนไม่เป็นที่ผิดสังเกตมากนัก

หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างใคร่รู้สงสัยในตัวบุรุษชุดเทาแลดูท่าทางจะเป็นผู้รากมากดีและมีการศึกษา เหตุใดถึงเดินทางมายังดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นจะรู้หรือไม่ หากไม่กลับไปแบบพิกลพิการก็มีหวังได้จบชีวิตลงที่นี่เป็นแน่ ที่แห่งนี้คือดินแดนความโหดร้ายป่าเถื่อนและไร้ปรานี

ดินแดนซึ่งไร้เหตุและผลมีเพียงการแก่งแย่ง ปล้น ฆ่า และทรมานผู้อ่อนแออย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน ดินแดนที่ได้ชื่อว่าหุบเขาแห่งความตาย ที่ที่ใครไม่กล้าย่างกรายเข้ามา

แม้แต่นกสักตัวยังไม่กล้าบินผ่าน น่าแปลกยิ่งนักที่ชายหนุ่มผู้ดูดีทุกประการจะมาปรากฏตัวในสถานที่เยี่ยงนี้ เมื่อครุ่นคิดจึงมิอาจจะละสายตาจากผู้มาใหม่ เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวเงียบๆ

ฝ่ายจางเฟยอวี่กลับมิได้สนใจสายตาของลูกค้าภายในร้านที่หันมามองตนด้วยแววแห่งความไม่เป็นมิตร แลยังแผ่รังสีคุกคามฆ่าฟันสื่อให้รู้ว่าพร้อมจะมีเรื่องกับตนได้ทุกเมื่อ

กลุ่มชายฉกรรจ์สามคนในชุดรัดกุมสีดำ บนหน้าผากมีผ้าแทบสีเดียวกับชุดตรงกลางเป็นรูปห่านขาวผูกมัดไว้ ท่าทางดุดันใบหน้าเหี้ยมเกรียม นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เลื่อนมือหยิบดาบขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ต้องคาดเดาให้เหนื่อยก็รู้ได้ทันทีว่าสามคนนี้คือคนของพรรคมารห่านฟ้า กลุ่มชนที่ได้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ชอบหาเรื่องละลานผู้อื่นอยู่ร่ำไป อยู่ในยุทธภพเพียงเพื่อสร้างความย่อยยับให้แก่ผู้ที่อ่อนแอไร้ทางสู้

และคนของพรรคมารห่านฟ้ายังเป็นนักฆ่ารับจ้างที่น่ากลัวยิ่งนัก ถูกทางการออกหมายจับเป็นและจับตายมากมาย แต่ก็ไม่สามารถกวาดล้างคนของพรรคมารห่านฟ้าได้หมดสิ้น

ยิ่งเมื่อเกิดศึกแย่งชิงราชบังลังก์ของเจ้าผู้ปกครองนคร กษัตริย์ซงอวี้และมเหสีฟางเหนียงถูกลอบปลงพระชนม์ในคืนวันเดียวกัน หลังพิธีศพผ่านสามเดือน ซงซื่อผู้เป็นอนุชาของซงอวี้ก็ขึ้นมาครองบังลังก์

ทว่าเหล่าขุนนางและเสนาบดีไม่ชื่นชมการปกครองบ้านเมืองของซงซื่อ เพราะต่างทราบดีว่าซงซื่อเป็นคนเจ้าสำราญ วันๆเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับสุรานารีจนไม่สนใจบ้านเมือง

แลบรรดาขุนนางก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ซงอวี้คือผู้เป็นอนุชาคนนี้ แต่จะให้ใครขึ้นมาปกครองนครนั่นก็หามีไม่ ในเมื่อกษัตริย์ซงอวี้ไม่บุตรสักคนให้สืบราชบังลังก์

ผ่านมาห้าเดือนหลังจากที่ซงซื่อครองบังลังก์ความจริงบางอย่างจึงเปิดเผย เมื่อทางหัวหน้าสมุหราชองครักษ์นามจางหยางชวี สืบรู้มาว่ากษัตริย์ซงอวี้มีภริยาอีกคน ซึ่งเป็นธิดาของสมุหราชองครักษ์ในหน่วยที่ตนปกครอง นางผู้นั่นชื่อเจียวเหมยได้ให้กำเนิดโอรสของซงอวี้ และเมื่อเรื่องนี้ถึงหูซงซื่อ จึงมีคำสั่งให้ทหารบุกมาฆ่าแม่ลูกผู้นี้ทิ้งเสีย บิดาของเจียวเหมยถูกสังหารในค่ำคืนที่พยายามปกป้องบุตรสาวและหลาน ส่วนเจียวเหมยหมอบลูกหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องราวของเจียวเหมยและลูกถูกนำมาขบคิดอีกครั้งโดยเหล่าขุนนางที่ภักดีต่อซงอวี้ประชุมลับหารือกันว่าต้องตามหาบุตรของซงอวี้มาขึ้นครองบังลังก์ให้ได้ หลังจากปล่อยให้ซงซื่อปกครองบ้านเมืองมานานถึงสิบหกปี

แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นหนำซ้ำทุกอย่างกลับแย่ลงเรื่อยๆ ชาวบ้านอดอยาก เงินในกองคลังร่อยหร่อย เพราะนำเงินมาเสพสุขสำราญโดยไม่สนในราษฎร์ที่ต่างพากันอดตายไปหลายคนในแต่ละปี

ข้อตกลงว่าจะปลงพระชนม์กษัตริย์ซงซื่อเป็นเอกฉันท์ แต่ทว่ายังไม่สามารถหาทางปลงพระชนม์กษัตริย์ซงซื่อได้สำเร็จเสียที ขุนนางบางส่วนยังคงจงรักภักดีต่อซงซื่อเพราะได้ประโยชน์จากกษัตริย์องค์นี้จึงหาทางขัดขวางอยู่เสมอ การจะสังหารจึงยากกว่าที่เหล่าขุนนางผู้ภักดีต่อซงอวี้คาดคิดไว้

แต่ถึงอย่างไรแผนการลับก็ยังคงดำเนินอยู่เงียบๆ โดยมีคำสั่งลับจากหน่วยสมุหราชองครักษ์รักษานครฝ่ายผู้ภักดีต่อกษัตริย์ซงอวี้ ได้ส่งทหารของตนออกตามหาองค์ชายที่หายสาบสูบไปให้กลับมาขึ้นครองบังลังก์ให้จงได้ เหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเป็นเยี่ยงนี้ หมายการออกล่าหัวคนของพรรคมารห่านฟ้าจึงเป็นอันหยุดชะงักไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้เองยิ่งทำให้สมัครพรรคพวกของมันเพิ่มทวีคูณและมีกำลังแกร่งกล้า ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองอีกต่อไป



โต๊ะอีกฟากฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มชายฉกรรจ์ มีชายชราผมขาวยาวเยียดตรงจนถึงกลางหลัง สตรีนางหนึ่งท่าทางเบื่อโลก ใบหน้าเรียบเฉย และไม่สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากอาหารตรงหน้า ซึ่งนางกำลังตั้งอกตั้งใจพิถีพิถันละเมียดละไมกินทุกสิ่งอย่างบนโต๊ะด้วยอากัปกิริยาเชื่องช้าอ่อนช้อย งดงาม

และอีกคนที่นั่งร่วมบนโต๊ะด้วยคือเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนโคลนตม ตัวเล็กผอมแห้งผมสั้นยุ่งเหยิง กำลังสวามปามตักข้าวเข้าปากอย่างรีบเร่งดูเหมือนคนที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน สตรีเบื่อโลกต้องคอยปรามให้กินช้าๆอยู่เป็นระยะ

จางเฟยอวี่แม้เพิ่งเดินเข้ามาในร้านแบบไม่หันไปมองใคร แต่สามารถเก็บรายละเอียดของผู้คนภายในหอสุรากลางป่าได้อย่างรวดเร็ว และรับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรที่โต๊ะริมหน้าต่าง ความไม่ไว้วางใจจากฝั่งโต๊ะชายชรา และสตรีท่าทางเบื่อโลก หากแม้ดูผ่านๆก็เป็นเพียงอิสตรีผู้หนึ่งที่ไม่มีอะไรน่ากลัว

ทว่าสายตาคนแหลมคมของเขา แลเห็นมีดสั้นหลายเล่มซกซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม จึงพอตระหนักได้ว่านางจงใจเปิดให้ผู้มาใหม่ได้เห็นอาวุธลับที่ซ่อนไว้ เป็นการขู่ที่สุภาพยิ่งพอคิดได้เช่นนี้จางเฟยอวี้ขยับริมฝีปากคล้ายจะยิ้มเมื่อรู้จุดประสงค์ของฝ่ายนั้นแต่ก็นิ่งเสีย ทำได้เพียงอมยิ้มในใจ

แลนึกไปว่ามีดเหล่านั้นอาจจะอาบยาพิษด้วย ท่าทางละเมียดละไมตักข้าวเข้าปาก บ่งบองถึงลักษณะของนักปรุงยาขั้นเทพที่มีความพิถีพิถันทุกขั้นตอนในการปรุงยา หรือนางผู้นี้จะเป็น ‘เยว่ฉี เทพธิดายามรณะ’ หากเป็นเช่นนั้นเฒ่าชราผู้นั่นคงเป็น ‘ซือเซิน จอมทวนเพชฌฆาต’ หางตาเหลือบไปเห็นทวนเงินปลายแหลมคมสามยอดวางอยู่ข้างผู้เฒ่า

ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมมไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว อาจเป็นเพียงเด็กผู้หิวโหยที่สองคนนี้นำมาเลี้ยงข้าว คาดคะเนอายุน่าจะสิบห้าสิบหกปี

จางเฟยอวี่เลือกมานั่งใกล้กับชายฉกรรจ์สูงวัยชุดดำสวมหมวกฟางที่ลอบสังเกตตนตั้งแต่เดินเข้ามา เขารับรู้ได้และพยายามคาดเดาว่าชายผู้นี้เป็นใคร ไม่มีรังสีเข่นฆ่าแผ่ออกมา

ทว่าตนกลับสามารถรับรู้ได้ถึงพลังวรยุทธ์ลึกล้ำน่าตระหนกอยู่ไม่น้อย แม้ลมหายใจยังสามารถสกัดกั้นมิให้คนอื่นรับรู้ถึงความรู้สึกใดๆทำได้ถึงเพียงนี้ ‘มิเบา มิเบา ..ต้องหาทางทำความรู้จักกับคนผู้นี้ให้จงได้’ เฟยอวี่ครุ่นคิดในใจก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้

จางเฟยอวี่เดินทางห้ามแม่น้ำ ภูเขา ทะเลมาหลายพันลี้เพื่อออกตาหาองค์ชายผู้สาบสูญ และอันที่จริงด้วยตำแหน่งหน้าที่ ที่เป็นถึงสมุหราชองครักษ์อย่างเขาไม่จำเป็นต้องออกมาลำบากลำบนตามหาองค์ชายก็ย่อมทำได้

หากจะเลือกใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครกล้าว่ากล่าวอะไร แต่เฟยอวี่อาสาสมัครออกตาหาเอง นั่นก็เพื่อหลบหนีฟั่นหนิงเจี้ยน บุตรธิดาคนเล็กในตระกูลฟั่น ตระกูลมหาเศรษฐีของเมืองหลวง

ฟั่นหนิงเจี้ยนมาสมัครรักใคร่เฟยอวี่ และยังคอยตามติดเขาไปทุกหนทุกแห่ง หนำซ้ำยังป่าวประกาศไปทั่วว่านางกับชายหนุ่มได้หมั้นหมายกันแล้ว นางทำเช่นนี้เพื่อกีดกันหญิงสาวคนอื่นไม่ให้ใครเข้ามายุ่งกับเฟยอวี่

แต่สิ่งนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มอึดอัดและอยากปลีกตัวออกห่างจากนาง จึงเลือกอาสาออกตามหาองค์ชายเพียงลำพัง โดยไม่ต้องการผู้ติดตามอย่างจิ้นป้านและมี่เค่อ ลูกน้องคนสนิทคู่ใจที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดสองคนนี้ต้องห้อยท้ายตามติดตลอด ทว่าครั้งนี้เฟยอวี่สั่งสองคนนี้อย่างเด็ดขาดว่าห้ามตามมา

จางเฟยอวี่  : ตำแหน่งสมุหราชองครักษ์รักษานคร บังคับบัญชาทหารสิบหมื่นนาย

อายุ : สามสิบปี เป็นบุตรชายคนเดียวของ จางหยางชวี

ลักษณะภายนอก : ร่างกายสูงใหญ่กำยำ บึกบึนแข็งแรง

จุดเด่น  : วิทยายุทธ์สูงล้ำ บรรลุวิชาดาบดับอัสนีแปดทิศขั้นสูงสุดไร้ผู้เทียมทาน

สิ่งที่รัก : จงรักภักดีต่อชาติ และปกป้องพระราชวังหลวง

หญิงสาวที่ชื่นชอบ(เป็นพิเศษ) : สวย น่ารักเรียบร้อย นิสัยดี พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน เก่งงานบ้านงานเรือน ใช้สอยง่าย

หมายเหตุ : อ่อนโยนต่อสัตว์โลก ทว่ากลัวหนูเป็นกรณีพิเศษแต่ไม่แสดงอาการหวาดกลัวให้ใครเห็นเพราะกลัวเสียบุคลิกที่สง่างามนี้ไป (จะรักษาบุคลิกนี้ไว้ยิ่งชีพ)


“สั่งอาหารหน่อย” จางเฟยอวี่โบกมือเรียกเจ้าของร้านผู้มีท่าทางหวาดระแวงและดูจะมีอาการตัวสั่นเทาร่วมด้วย

บริกรวัยค่อนคนรีบเดินมาหาลูกค้ารายใหม่ด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็วซึ่งผิดแผกจากท่าทางหวาดระแวงยิ่งนัก เท่านี้ก็พอรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์อยู่พอตัว

“จะรับอะไรดีขอรับนายท่าน”

“ร้านนี้มีอะไรอร่อย จัดมาให้หมดเลย ข้าหิวมาก และขอสุราแรงๆสักไหด้วย”

“ได้ขอรับ นายท่านโปรดรอสักประเดี๋ยว” บริกรโค้งตัวต่ำเมื่อรับคำจากลูกค้าก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว

รอเพียงไม่นานอาหารหลายอย่างก็ถูกยกมาตั้งบนโต๊ะ อันประกอบด้วย ไก่อบสมุนไพร เนื้อวัวตุ๋น บะหมี่ เป็ดย่างตัวใหญ่ และสุราไหใหญ่

จางเฟยอวี่กำลังใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่เข้าปากแต่ยังตักไม่ถึงปาก คนของพรรคมารห่านฟ้ากรูกันเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้  ทว่าเฟยอวี่ทำทีไม่สนใจ ไม่เหลียวมองคนทั้งสามเลยด้วยซ้ำ ยังคงตั้งอกตั้งใจกินอาหารบนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์

เอื้อมมือไปหยิบไหสุราเพื่อเทใส่จอก มือยังไม่ทันจับถึงไหสุราก็ถูกฝ่ายที่ยืนล้อมปัดไหทิ้งร่วงหล่นพื้นจนแตกกระเด็นกระจาย บรรยกาศในหอสุราเริ่มตึงเครียด ลูกค้าในร้านต่างไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง

เด็กหนุ่มหน้ามอมแมมจากที่เคยสวามปามกินอาหารเสียงดัง เหลือบหางตามองดูบุรุษชุดเทา แววตาฉายชัดว่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงแทนผู้ถูกกลั่นแกล้ง ก่อนจะค่อยๆวางถ้วยข้าวตัวเองลงเบาโต๊ะเบาๆ นั่งหลังคร่อมลงเล็กน้อย หากสามารถหดศีรษะซ่อนไว้ในตัวได้เหมือนเต่าคงได้ทำไปนานแล้ว

แต่ทำได้เพียงเหลียวมองสบตาสตรีเบื่อโลกและเฒ่าชราสลับกันไปมา เป็นเชิงถามไถ่ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านทั้งสองจะช่วยบุรุษผู้นั่นหรือไม่ ดูแล้วผู้มาใหม่จะเสียเปรียบอยู่มากทีเดียว เพราะคนของพรรคมารห่านฟ้าตัวโตสูงใหญ่กว่าบุรุษชุดเทาอยู่หลายส่วนนัก

สตรีเบื่อโลกหรือเยว่ฉี ส่ายหน้าเชื่องช้า ก่อนจะคีบเนื้อเป็ดวางใส่ถ้วยข้าวให้เด็กหนุ่ม กะพริบตาหนึ่งครั้งเป็นการบอกให้กินต่อไม่ต้องไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องของเรา

ฝ่ายบุรุษสูงวัยที่สวมหมวกฟางยกจอกสุรากรอกดื่มติดต่อกันสามครั้ง ในใจชื่นชมบุรุษผู้มาใหม่อยู่ไม่น้อย เจอคนของพรรคมารห่านฟ้าห้อมล้อมและตั้งใจมาเรื่องโดยตรงแบบนี้ยังไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด แสดงให้เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้ต้องมีวรยุทธย์เก่งกาจสามารถทีเดียว

“เสี่ยวเอ้อ ขอสุราเพิ่มอีกไห ตรงนี้แตกเสียแล้ว” จางเฟยอวี้ตะโกนบอกเจ้าของร้านก่อนจะใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ใส่ปาก เสี่ยวเอ้อกระวีดกระวาดลนลานมือไม้สั่นเทาไปหมด หยิบจับสิ่งใดก็ร่วงหลุดมือ

ลุกลี้ลุกลนทำทีจับสิ่งนั่นสิ่งนี้แต่ไม่ยอมยกไหสุรามาให้ลูกค้าที่โต๊ะ เนื่องเพราะกลัวไหสุราจะแตกไปอีกใบ และตนต้องทำหน้าที่เก็บกวาดจึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง เฝ้ารอดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆเสียก่อน หากทุกอย่างสงบลงด้วยดีค่อยยกมา

..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่