ลงกา นคราแห่งยักษ์
“คร่อก!!! ฟี้...”
เสียงกรนดังสนั่นปลุกอกิญจน์ให้รู้สึกตัว เขาฝืนเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นเพดานไม้เลือนลางในความมืดก็งุนงงนัก กลิ่นคาวเลือดซึ่งลอยอยู่ในอากาศทำเขาตื่นตระหนก ครั้นพยายามขยับร่างก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่มซึ่งทั้งชีวิตแทบไม่เคยสัมผัส คาดเดาไม่ได้เลยว่าตนตกอยู่ในสถานที่เช่นใด
ครั้นลองทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ณ กองหินกลางทะเลทรายซึ่งเขาและปณารีใช้หลบซ่อนตัว จู่ๆ ดั่งถูกทุบด้วยค้อนยักษ์จนร่างบี้แบนในคราวเดียว หลังเสียงกรีดร้องของหญิงสาวสติที่เคยแจ่มใสของตนก็ดับลง เมื่อนึกถึงนางผู้เป็นที่รักพลันรู้สึกเหมือนดวงใจถูกบีบจนเจ็บแปลบ ป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรหนอ จะถูกทำร้ายปางตายเหมือนตนหรือไม่
“คร่อก!!! ฟี้...”
เสียงกรนดึงสัมปชัญญะของผู้เฉียดตายกลับมาสู่ปัจจุบัน ท่ามกลางความมืดมัวยามค่ำ ที่มาของเสียงขนาดเท่าหมีควายนอนขดตัวอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกลนัก
“ตัวอันใด อันตรายหรือไม่นะ”
หลังพยายามเงี่ยหูฟังสรรพเสียงอื่นๆ ก็คาดเดาเอาว่านี่คงเป็นเวลาฟ้าสาง เสียงหรีดหริ่งเรไรหยุดแล้วรอการตื่นขึ้นของสกุณา เพื่อความปลอดภัย อกิญจน์ควานหาธำมรงค์ล่องหนมาใช้อำพรางกาย
“ไม่มีแหวน!”
ผู้มีเลือดยักษ์ครึ่งตัวร่ำร้องในใจหลังจากพบนิ้วมือว่างเปล่า แหวนล้ำค่าของบิดาหายไปแล้ว ความเสียใจใหญ่หลวงทำให้เขาสับสน คำถามมากมายเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นหาคำตอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือตนได้สูญเสียเลือดไปจนจะหมดกาย เมื่อกัดฟันลุกยืนได้ความร้าวระบมที่อกซ้ายก็พุ่งขึ้นกรีดร่าง จึงหน้ามืดล้มลงทันที
ตึง!!!
อกิญจน์หวาดกลัวจนลนลานแต่กลับขยับร่างลุกขึ้นไม่ได้ หวั่นใจเหลือเกินด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงได้อ่อนแอเช่นนี้ เมื่อล้วงมือผ่านเสื้อเข้าไปยังแผลที่หัวใจก็พบว่ามีแถบผ้าดิ้นทองพันอยู่...หากเขายังปลอดภัย แล้วปณารีเล่า
แล้วร่างใหญ่ดำมืดบนพื้นก็ขยับ มันทำท่าสะลึมสะลือเอ่ยถาม “นายน้อย...นั่นนายน้อยรึ”
ผ่านไปสักครู่จึงค่อยกลายเป็นเสียงตื่นเต้น “นายน้อยฟื้นแล้ว! นายน้อยฟื้นแล้ว!”
อกิญจน์มองผู้ที่ตนคิดว่าเป็นหมีควายร้องโวยวาย มันกระโดดไปจุดตะเกียงเสร็จก็รีบร้อนมาอุ้มเขาขึ้นเตียง กำชับด้วยกิริยานอบน้อม “นายน้อยนอนนิ่งๆ อย่าเพิ่งขยับไปไหนหนาเดี๋ยวแผลกระเทือน”
น่าประหลาดใจนักที่ได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเช่นนี้ เขายอมนอนลงตามมันว่า โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ตกอยู่ในมือศัตรู อยากถามเหลือเกินว่าปณารีเป็นเช่นไร พลันสายตาแลเห็นเขี้ยวโค้งทั้งสี่ที่โผล่ลอดมุมปากของชายผู้นั้นเสียก่อน
อกิญจน์ตะลึงงัน ช่างตลกแท้...ตั้งแต่จำความได้ใครๆ ก็ชี้หน้าด่าเขาว่าเป็นยักษ์ชั่วช้า แต่เขากลับไม่เคยเห็นยักษ์ตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง เขากัดฟันฝืนใจเปล่งเสียงถาม
“ท่าน...เป็นยักษ์รึ...”
“หือ...”
ผู้มีร่างเหมือนหมีทำหน้างุนงง “เหตุใดจึงถามดังนี้ ข้าก็เป็นยักษ์เหมือนท่านอย่างไรเล่า”
หลังมันจัดแจงคลุมผ้าห่มให้เขาเรียบร้อยก็ว่าต่อ “นายน้อยหิวไหม...เอาอย่างนี้ ข้าจะรีบไปตามนายท่านก่อนจะปลุกบ่าวไพร่ในครัวให้หุงหาอาหารด้วย เมื่อวานนายท่านสั่งให้ฆ่าหมูตัวหนึ่งเอาเลือดมากรอกปากท่าน วันนี้นายน้อยต้องได้กินต้มเลือดหมูใส่กระดูกอ่อนแน่แล้ว อืม...” ว่าแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากแผล็บ เลยไม่รู้ว่าผู้ใดดีใจที่จะได้กินกันแน่
อกิญจน์มองตามหลังยักษ์ผู้รีบเดินจากไป อสุราอัธยาศัยดีตนนี้เป็นผู้ช่วยตนมาหรือ แล้วเหตุใดจึงต้องเรียกเขาว่านายน้อยด้วย แล้วปณารีเล่า รีบกลับมาให้เขาได้ถามถึงนางเถิด
หลังจากนั้นไม่นานร่างสูงใหญ่อีกร่างก็ปรากฏ เมื่อหัวเราะชอบใจเสร็จก็กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ต้องได้เยี่ยงนี้ลูกชายข้า เจ้าเสียโลหิตมากถึงเพียงนี้ยังลุกได้ภายในสามวัน เลือดพ่อช่างแรงนัก!”
ประโยคนี้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้ที่นอนนิ่งอยู่อย่างใหญ่หลวง ดังร่างถูกสาปกลายเป็นหิน อกิญจน์เอาแต่จ้องเขม็งไปยังอสุราเขี้ยวโง้งผู้มาใหม่ คำว่า “ลูกชายข้า...เลือดพ่อช่างแรงนัก...” ก้องสะท้อนเต็มสองหู หากนี่เป็นความจริงก็เท่ากับว่าพญายักษ์ตรงหน้าคือบิดาของเขาใช่ไหม...บิดาผู้ซึ่งมารดามักจะกล่าวถึงด้วยรอยยิ้มแสนหวานเสมอว่า
“เพื่อแม่และลูกแล้ว พ่อของเจ้าถึงกับสละธำมรงค์ล่องหน ยอมปรากฏตนให้ถูกจับไป”
พญารากษสที่ถูกจ้องขยับเขี้ยวยิ้มแย้ม ร่างกำยำสง่างามนั้นเดินเข้ามานั่งลงยังหัวเตียง เอามือลูบศีรษะผู้ที่ตนเอ่ยเรียกว่าลูกชายไปมา พิจารณาอยู่สักครู่จึงกล่าวต่อ “เจ้าช่างเหมือนน้องนนทรียิ่งนัก ดูดวงตากวางคู่งามกับเส้นผมสีน้ำตาลทองนุ่มนิ่มนี้เถิด ไม่เหลือที่ให้ข้าผู้เป็นพ่อบ้างเลย”
สิ้นถ้อยคำยืนยันนั้นอกิญจน์ได้แต่โห่ร้องอยู่ในใจ “ท่านคือพ่อของข้าแน่แล้ว! ใช่แน่แล้ว!”
ดั่งดวงใจที่แห้งแล้งมาแสนนานถูกประพรมด้วยน้ำทิพย์ชุ่มชื่น จิตสำนึกส่วนลึกเหมือนกำลังกระโดดโลดเต้นยินดีอย่างสุดแสน ไม่อยากเชื่อเลยว่าความปรารถนาที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เล็กจะกลายเป็นจริง ในที่สุดเขาก็ได้พบพ่อที่เฝ้ารอมาชั่วชีวิต แล้วร่างผ่ายผอมไร้กำลังกายแต่มีกำลังใจเพิ่มขึ้นก็ยันกายลุกขึ้นนั่ง อยากเอ่ยเรียกท่านว่าพ่อใจจะขาดแต่ก็กลัวว่าน้ำตาที่กลั้นเอาไว้จะไหลทะลักแสดงความอ่อนแอให้ท่านเห็น
หลังจากอมยิ้มขำขันอยู่ครู่ใหญ่ พญาพรรณก็ยกมือข้างซึ่งประดับด้วยธำมรงค์ล่องหนขึ้นตบไหล่ลูกชายเบาๆ “เจ้าจะไม่เรียกข้าว่าพ่อสักหน่อยหรือ”
“พะ...พ่อ ท่านพ่อ” ในที่สุดก็มีเสียงเรียกออกมาจนได้ สิ้นคำทำนบน้ำตาก็พังลง เจ้าลูกครึ่งยักษ์ร้องไห้โฮ ก้มกราบบนตักบิดาด้วยร่างสั่นเทา
“อยากร้องไห้ก็ร้องเถิด ร้องออกมาให้พอ ใช้น้ำตาลบล้างความยากลำบากชั่วชีวิตของเจ้าออกไปให้สิ้น ต่อแต่นี้...พ่อจะไม่ยอมให้เจ้าต้องอยู่อย่างไร้เกียรติเช่นนั้นอีกแล้ว”
คำปลอบโยนของบิดาหาได้ทำให้ผู้ที่กำลังร้องไห้เป็นเผาเต่าสงบลงไม่ ตรงกันข้าม มันยิ่งกลับทำให้เขาตื้นตันจนสะอื้นไห้ขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าผู้เพิ่งได้พบบิดาเป็นครั้งแรกร้องไห้อยู่นานเท่าใด ครั้นสามารถสงบจิตสงบใจนิ่งลงได้ก็เห็นยักษีสองนางมานั่งรออยู่พร้อมอาหาร
“เจ้าเสียเลือดมากเพียงนี้ต้องกินเท่านั้นจึงจะช่วยได้” พญาพรรณว่าแล้วก็กวักมือเรียกนางทั้งสองให้ยกขันโตกใหญ่เข้ามาวางกลางเตียง “สามวันต่อจากนี้พ่อจะขอให้เจ้ากินอาหารและนอกพักอยู่บนเตียงเท่านั้น ไม่ต้องทำสิ่งใด เรี่ยวแรงจะได้ฟื้นฟู”
อกิญจน์หันไปมองอาหารคาวหวานจำนวนมากที่จัดมา หนึ่งชามใหญ่ในนั้นมีต้มเลือดหมูใส่กระดูกอ่อนจริง พลันน้ำลายก็สอท้องก็ร้องขึ้นมาทันใด นอกจากการสูญเสียโลหิตอย่างที่บิดาว่าแล้ว ก่อนถูกทำร้ายกลางทะเลทรายเขายัง อดอาหารมาหลายวันด้วย นึกได้ดังนี้ก็คิดถึงปณารีขึ้นจับใจ
“ท่านพ่อเป็นผู้ช่วยลูกมาใช่รึไม่ แล้วนางกินรีข้างกายลูกเล่า เกิดอันใดขึ้นหลังจากที่ลูกถูกศรยิงสิ้นสติ”
“อย่าได้กังวลใจเรื่องนี้ นางถูกส่งกลับเมืองกินรีโดยปลอดภัยแล้ว...กินข้าวก่อนเถิดแล้วพ่อจะเล่าให้ฟัง” บิดาว่าแล้วหันไปกล่าวแก่นางรับใช้ข้างเตียง “เห็นทีมื้อนี้ต้องให้พวกเจ้าตักข้าวป้อนลูกข้าก่อน”
ได้ยินว่าปณารีปลอดภัยความหนักอึ้งในดวงใจก็คลายลง อกิญจน์หันมองอสุรีทั้งสองที่ทำตาวาวกระวีกระวาดยกชามข้าวเข้ามาป้อนให้ถึงปากเจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวมารู้ทีหลังว่าท่ามกลางหมู่ยักษาแล้วเขาดูดียิ่ง แม้รูปร่างจะผอมเตี้ยกว่า อสุราทั่วไปก็ไม่ถือว่าเป็นข้อด้อย พวกนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยดีใจที่ได้รับใช้ใกล้ชิดโอรสรูปงามของพญาพรรณ
“โชคดีที่ครุฑซึ่งยิงศรใส่เจ้าโง่เขลาไม่รู้จักธำมรงค์ล่องหน ไม่เช่นนั้นเราคงต้องสูญเสียของวิเศษล้ำค่าให้ไอ้พวกนกวิปลาสเหล่านั้น เจ้าเองก็ผอมเหลือหลาย พ่อกลัวว่าตอนแบกเจ้ากลับมาแหวนจะหลุดหายจึงสวมเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อจะหาสร้อยให้เจ้าสักเส้น ร้อยแหวนสวมคอไว้จะดีกว่า”
“เป็นครุฑดอกรึที่ยิงศรใส่ข้า แล้วท่านพ่อกลับหิมพานต์ไปหาข้าพบได้อย่างไร” ผู้เสียเลือดถามทั้งที่ข้าวเต็มปาก
พญาพรรณคงเห็นว่าอกิญจน์กลืนอาหารหลายคำแล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตนให้ลูกชายฟัง
ปีกหิมพานต์...10 ลงกา นคราแห่งยักษ์
ลงกา นคราแห่งยักษ์
“คร่อก!!! ฟี้...”
เสียงกรนดังสนั่นปลุกอกิญจน์ให้รู้สึกตัว เขาฝืนเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นเพดานไม้เลือนลางในความมืดก็งุนงงนัก กลิ่นคาวเลือดซึ่งลอยอยู่ในอากาศทำเขาตื่นตระหนก ครั้นพยายามขยับร่างก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่มซึ่งทั้งชีวิตแทบไม่เคยสัมผัส คาดเดาไม่ได้เลยว่าตนตกอยู่ในสถานที่เช่นใด
ครั้นลองทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ณ กองหินกลางทะเลทรายซึ่งเขาและปณารีใช้หลบซ่อนตัว จู่ๆ ดั่งถูกทุบด้วยค้อนยักษ์จนร่างบี้แบนในคราวเดียว หลังเสียงกรีดร้องของหญิงสาวสติที่เคยแจ่มใสของตนก็ดับลง เมื่อนึกถึงนางผู้เป็นที่รักพลันรู้สึกเหมือนดวงใจถูกบีบจนเจ็บแปลบ ป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรหนอ จะถูกทำร้ายปางตายเหมือนตนหรือไม่
“คร่อก!!! ฟี้...”
เสียงกรนดึงสัมปชัญญะของผู้เฉียดตายกลับมาสู่ปัจจุบัน ท่ามกลางความมืดมัวยามค่ำ ที่มาของเสียงขนาดเท่าหมีควายนอนขดตัวอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกลนัก
“ตัวอันใด อันตรายหรือไม่นะ”
หลังพยายามเงี่ยหูฟังสรรพเสียงอื่นๆ ก็คาดเดาเอาว่านี่คงเป็นเวลาฟ้าสาง เสียงหรีดหริ่งเรไรหยุดแล้วรอการตื่นขึ้นของสกุณา เพื่อความปลอดภัย อกิญจน์ควานหาธำมรงค์ล่องหนมาใช้อำพรางกาย
“ไม่มีแหวน!”
ผู้มีเลือดยักษ์ครึ่งตัวร่ำร้องในใจหลังจากพบนิ้วมือว่างเปล่า แหวนล้ำค่าของบิดาหายไปแล้ว ความเสียใจใหญ่หลวงทำให้เขาสับสน คำถามมากมายเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นหาคำตอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือตนได้สูญเสียเลือดไปจนจะหมดกาย เมื่อกัดฟันลุกยืนได้ความร้าวระบมที่อกซ้ายก็พุ่งขึ้นกรีดร่าง จึงหน้ามืดล้มลงทันที
ตึง!!!
อกิญจน์หวาดกลัวจนลนลานแต่กลับขยับร่างลุกขึ้นไม่ได้ หวั่นใจเหลือเกินด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงได้อ่อนแอเช่นนี้ เมื่อล้วงมือผ่านเสื้อเข้าไปยังแผลที่หัวใจก็พบว่ามีแถบผ้าดิ้นทองพันอยู่...หากเขายังปลอดภัย แล้วปณารีเล่า
แล้วร่างใหญ่ดำมืดบนพื้นก็ขยับ มันทำท่าสะลึมสะลือเอ่ยถาม “นายน้อย...นั่นนายน้อยรึ”
ผ่านไปสักครู่จึงค่อยกลายเป็นเสียงตื่นเต้น “นายน้อยฟื้นแล้ว! นายน้อยฟื้นแล้ว!”
อกิญจน์มองผู้ที่ตนคิดว่าเป็นหมีควายร้องโวยวาย มันกระโดดไปจุดตะเกียงเสร็จก็รีบร้อนมาอุ้มเขาขึ้นเตียง กำชับด้วยกิริยานอบน้อม “นายน้อยนอนนิ่งๆ อย่าเพิ่งขยับไปไหนหนาเดี๋ยวแผลกระเทือน”
น่าประหลาดใจนักที่ได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเช่นนี้ เขายอมนอนลงตามมันว่า โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่อย่างน้อยก็ไม่ได้ตกอยู่ในมือศัตรู อยากถามเหลือเกินว่าปณารีเป็นเช่นไร พลันสายตาแลเห็นเขี้ยวโค้งทั้งสี่ที่โผล่ลอดมุมปากของชายผู้นั้นเสียก่อน
อกิญจน์ตะลึงงัน ช่างตลกแท้...ตั้งแต่จำความได้ใครๆ ก็ชี้หน้าด่าเขาว่าเป็นยักษ์ชั่วช้า แต่เขากลับไม่เคยเห็นยักษ์ตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง เขากัดฟันฝืนใจเปล่งเสียงถาม
“ท่าน...เป็นยักษ์รึ...”
“หือ...”
ผู้มีร่างเหมือนหมีทำหน้างุนงง “เหตุใดจึงถามดังนี้ ข้าก็เป็นยักษ์เหมือนท่านอย่างไรเล่า”
หลังมันจัดแจงคลุมผ้าห่มให้เขาเรียบร้อยก็ว่าต่อ “นายน้อยหิวไหม...เอาอย่างนี้ ข้าจะรีบไปตามนายท่านก่อนจะปลุกบ่าวไพร่ในครัวให้หุงหาอาหารด้วย เมื่อวานนายท่านสั่งให้ฆ่าหมูตัวหนึ่งเอาเลือดมากรอกปากท่าน วันนี้นายน้อยต้องได้กินต้มเลือดหมูใส่กระดูกอ่อนแน่แล้ว อืม...” ว่าแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากแผล็บ เลยไม่รู้ว่าผู้ใดดีใจที่จะได้กินกันแน่
อกิญจน์มองตามหลังยักษ์ผู้รีบเดินจากไป อสุราอัธยาศัยดีตนนี้เป็นผู้ช่วยตนมาหรือ แล้วเหตุใดจึงต้องเรียกเขาว่านายน้อยด้วย แล้วปณารีเล่า รีบกลับมาให้เขาได้ถามถึงนางเถิด
หลังจากนั้นไม่นานร่างสูงใหญ่อีกร่างก็ปรากฏ เมื่อหัวเราะชอบใจเสร็จก็กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ต้องได้เยี่ยงนี้ลูกชายข้า เจ้าเสียโลหิตมากถึงเพียงนี้ยังลุกได้ภายในสามวัน เลือดพ่อช่างแรงนัก!”
ประโยคนี้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้ที่นอนนิ่งอยู่อย่างใหญ่หลวง ดังร่างถูกสาปกลายเป็นหิน อกิญจน์เอาแต่จ้องเขม็งไปยังอสุราเขี้ยวโง้งผู้มาใหม่ คำว่า “ลูกชายข้า...เลือดพ่อช่างแรงนัก...” ก้องสะท้อนเต็มสองหู หากนี่เป็นความจริงก็เท่ากับว่าพญายักษ์ตรงหน้าคือบิดาของเขาใช่ไหม...บิดาผู้ซึ่งมารดามักจะกล่าวถึงด้วยรอยยิ้มแสนหวานเสมอว่า
“เพื่อแม่และลูกแล้ว พ่อของเจ้าถึงกับสละธำมรงค์ล่องหน ยอมปรากฏตนให้ถูกจับไป”
พญารากษสที่ถูกจ้องขยับเขี้ยวยิ้มแย้ม ร่างกำยำสง่างามนั้นเดินเข้ามานั่งลงยังหัวเตียง เอามือลูบศีรษะผู้ที่ตนเอ่ยเรียกว่าลูกชายไปมา พิจารณาอยู่สักครู่จึงกล่าวต่อ “เจ้าช่างเหมือนน้องนนทรียิ่งนัก ดูดวงตากวางคู่งามกับเส้นผมสีน้ำตาลทองนุ่มนิ่มนี้เถิด ไม่เหลือที่ให้ข้าผู้เป็นพ่อบ้างเลย”
สิ้นถ้อยคำยืนยันนั้นอกิญจน์ได้แต่โห่ร้องอยู่ในใจ “ท่านคือพ่อของข้าแน่แล้ว! ใช่แน่แล้ว!”
ดั่งดวงใจที่แห้งแล้งมาแสนนานถูกประพรมด้วยน้ำทิพย์ชุ่มชื่น จิตสำนึกส่วนลึกเหมือนกำลังกระโดดโลดเต้นยินดีอย่างสุดแสน ไม่อยากเชื่อเลยว่าความปรารถนาที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เล็กจะกลายเป็นจริง ในที่สุดเขาก็ได้พบพ่อที่เฝ้ารอมาชั่วชีวิต แล้วร่างผ่ายผอมไร้กำลังกายแต่มีกำลังใจเพิ่มขึ้นก็ยันกายลุกขึ้นนั่ง อยากเอ่ยเรียกท่านว่าพ่อใจจะขาดแต่ก็กลัวว่าน้ำตาที่กลั้นเอาไว้จะไหลทะลักแสดงความอ่อนแอให้ท่านเห็น
หลังจากอมยิ้มขำขันอยู่ครู่ใหญ่ พญาพรรณก็ยกมือข้างซึ่งประดับด้วยธำมรงค์ล่องหนขึ้นตบไหล่ลูกชายเบาๆ “เจ้าจะไม่เรียกข้าว่าพ่อสักหน่อยหรือ”
“พะ...พ่อ ท่านพ่อ” ในที่สุดก็มีเสียงเรียกออกมาจนได้ สิ้นคำทำนบน้ำตาก็พังลง เจ้าลูกครึ่งยักษ์ร้องไห้โฮ ก้มกราบบนตักบิดาด้วยร่างสั่นเทา
“อยากร้องไห้ก็ร้องเถิด ร้องออกมาให้พอ ใช้น้ำตาลบล้างความยากลำบากชั่วชีวิตของเจ้าออกไปให้สิ้น ต่อแต่นี้...พ่อจะไม่ยอมให้เจ้าต้องอยู่อย่างไร้เกียรติเช่นนั้นอีกแล้ว”
คำปลอบโยนของบิดาหาได้ทำให้ผู้ที่กำลังร้องไห้เป็นเผาเต่าสงบลงไม่ ตรงกันข้าม มันยิ่งกลับทำให้เขาตื้นตันจนสะอื้นไห้ขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าผู้เพิ่งได้พบบิดาเป็นครั้งแรกร้องไห้อยู่นานเท่าใด ครั้นสามารถสงบจิตสงบใจนิ่งลงได้ก็เห็นยักษีสองนางมานั่งรออยู่พร้อมอาหาร
“เจ้าเสียเลือดมากเพียงนี้ต้องกินเท่านั้นจึงจะช่วยได้” พญาพรรณว่าแล้วก็กวักมือเรียกนางทั้งสองให้ยกขันโตกใหญ่เข้ามาวางกลางเตียง “สามวันต่อจากนี้พ่อจะขอให้เจ้ากินอาหารและนอกพักอยู่บนเตียงเท่านั้น ไม่ต้องทำสิ่งใด เรี่ยวแรงจะได้ฟื้นฟู”
อกิญจน์หันไปมองอาหารคาวหวานจำนวนมากที่จัดมา หนึ่งชามใหญ่ในนั้นมีต้มเลือดหมูใส่กระดูกอ่อนจริง พลันน้ำลายก็สอท้องก็ร้องขึ้นมาทันใด นอกจากการสูญเสียโลหิตอย่างที่บิดาว่าแล้ว ก่อนถูกทำร้ายกลางทะเลทรายเขายัง อดอาหารมาหลายวันด้วย นึกได้ดังนี้ก็คิดถึงปณารีขึ้นจับใจ
“ท่านพ่อเป็นผู้ช่วยลูกมาใช่รึไม่ แล้วนางกินรีข้างกายลูกเล่า เกิดอันใดขึ้นหลังจากที่ลูกถูกศรยิงสิ้นสติ”
“อย่าได้กังวลใจเรื่องนี้ นางถูกส่งกลับเมืองกินรีโดยปลอดภัยแล้ว...กินข้าวก่อนเถิดแล้วพ่อจะเล่าให้ฟัง” บิดาว่าแล้วหันไปกล่าวแก่นางรับใช้ข้างเตียง “เห็นทีมื้อนี้ต้องให้พวกเจ้าตักข้าวป้อนลูกข้าก่อน”
ได้ยินว่าปณารีปลอดภัยความหนักอึ้งในดวงใจก็คลายลง อกิญจน์หันมองอสุรีทั้งสองที่ทำตาวาวกระวีกระวาดยกชามข้าวเข้ามาป้อนให้ถึงปากเจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวมารู้ทีหลังว่าท่ามกลางหมู่ยักษาแล้วเขาดูดียิ่ง แม้รูปร่างจะผอมเตี้ยกว่า อสุราทั่วไปก็ไม่ถือว่าเป็นข้อด้อย พวกนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยดีใจที่ได้รับใช้ใกล้ชิดโอรสรูปงามของพญาพรรณ
“โชคดีที่ครุฑซึ่งยิงศรใส่เจ้าโง่เขลาไม่รู้จักธำมรงค์ล่องหน ไม่เช่นนั้นเราคงต้องสูญเสียของวิเศษล้ำค่าให้ไอ้พวกนกวิปลาสเหล่านั้น เจ้าเองก็ผอมเหลือหลาย พ่อกลัวว่าตอนแบกเจ้ากลับมาแหวนจะหลุดหายจึงสวมเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อจะหาสร้อยให้เจ้าสักเส้น ร้อยแหวนสวมคอไว้จะดีกว่า”
“เป็นครุฑดอกรึที่ยิงศรใส่ข้า แล้วท่านพ่อกลับหิมพานต์ไปหาข้าพบได้อย่างไร” ผู้เสียเลือดถามทั้งที่ข้าวเต็มปาก
พญาพรรณคงเห็นว่าอกิญจน์กลืนอาหารหลายคำแล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตนให้ลูกชายฟัง