ปีกหิมพานต์...9 ถอดปีกกินรี


ถอดปีกกินรี

ควับ! ควับ! ควับ!

เสียงไม้เรียวหวดหลังร่างซึ่งหมอบอยู่บนพื้นสะท้อนดังทั่วห้องน้อย

ปณารีขบกรามแน่นไม่ยอมส่งเสียงหากน้ำตากลับนองหน้า เจ็บกายพอทานได้แต่เจ็บใจนั้นสุดจะทน นางนึกแค้นใจนักที่ถูกครุฑพวกนั้นจับกลับมาจนได้ เพราะนางสะเพร่าเองแท้ๆ เผลอลืมนึกถึงขดผมสังกะตังของ อกิญจน์ที่นางเป็นผู้สางให้ แล้วนี่เขาจะเป็นเช่นไรหนอ ถูกศรปักอกเจียนตายอยู่กลางทะเลทรายเช่นนั้น ได้โปรดเถิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยคุ้มครองเขาให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงด้วย อย่าให้เขาต้องสิ้นชีวิตลงเลย

ควับ!

เสียงหวดซ้ำอีกครั้งความเจ็บปวดเรียกสตินางน้อยคืนสู่ปัจจุบัน

“ปณารี! ถอดปีกออกเดี๋ยวนี้!” นางปาจารีย์ตวาดลั่น เงื้อไม้ขึ้นอีกหน เลือดไหลหยดลงบนพื้นเป็นสาย

“ท่านแม่! โปรดยั้งมือเถิด” ปรีดีรีบเข้ามาจับแขนมารดาไว้

นางปาจารีย์สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างขัดใจยิ่ง หากยังใช้ไม้ชี้ตรงไปยังใบหน้าเปื้อนน้ำด้วยมือสั่นเทา “นางลูกไม่รักดี! ถอดปีกออกมา!”

“มะ...ไม่ ข้าไม่ถอด” เสียงแหบแห้งสะอื้นไห้ต่อคำ

“เหตุใดเจ้าจึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้! ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหม หากไม่นึกถึงตนเองก็ให้นึกถึงพี่น้องของเจ้าบ้าง จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากพญาครุฑพิโรธ มิต้องสาบสูญทั้งคณะดอกรึ คิดแล้วน่าโมโหนัก! นี่โชคดีเท่าใดแล้วที่องครักษ์ของพญาอัศกัณฐ์ไปเจอเจ้าก่อนทหารส่วนพระองค์ของพระโอรสกัณฐ์กีรติ ไม่เช่นนั้นเจ้ามิถูกย่ำยีป่นปี้ไปแล้วรึ เหตุใดจะได้กลับมาแขนขาครบถ้วนเช่นนี้!”

ปณารีซบใบหน้าลงฝ่ามือ เช่นนี้ดอกหรือนางจึงยังมิถูกกระทำชำเรา

“เจ้าควรรู้ไว้ว่าน้ำหน้าอย่างเจ้า หากองค์กัณฐ์กีรติคิดจะหักหาญน้ำใจไว้รับใช้แต่แรกมิต้องเปลืองเวลาเช่นนี้ดอก ปณารี! ข้าจะให้เวลาเจ้าไตร่ตรอง หากยังไม่ยอมถอดปีกออกมา ข้าจะเป็นผู้เอามีดมาเฉือนมันเอง!” นางปาจารีย์ลากเสียงเหี้ยม ขว้างไม้เรียวทิ้ง หันหลังกระแทกเท้าเดินจากไปท่ามกลางเสียงถอนหายใจหลายเสียง

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง...” กินนรหนุ่มรีบพยุงร่างน้องสาวขึ้นมาพาดบ่า กินรีอีกนางก็รีบเข้ามาใส่ยาบนแผลให้ ไม่นานความเจ็บปวดที่แผ่นหลังก็ค่อยๆ บรรเทาลง

“ถอดปีกออกเถิดปณารี อย่าดื้ออีกเลย...เท่านี้ก็เจ็บพอแรงแล้ว” ปรีดีเกลี้ยกล่อม

ปณารีไม่เพียงไม่ทำตามหากกลับนิ่งเงียบ ปรีดีกระสับกระส่ายมองซ้ายแลขวาหาผู้ช่วยเหลือ หากหันไปทางใด ล้วนมีแต่ผู้หลบหน้า เขาจึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องเบาๆ กล่าวด้วยเสียงนิ่มนวล “ปณารี...ถอดปีกเถิดเจ้า อย่าทำให้ท่านแม่โกรธไปยิ่งกว่านี้เลย”

หากนางผู้ถูกเฆี่ยนกลับกัดฟันถามสิ่งที่ตนอยากรู้เป็นที่สุด “ผู้ที่...หนีไปกับข้า...เป็นเช่นไร...”

“ลูกครึ่งยักษ์ตนนั้นนะรึ”

นางน้องส่งเสียงครางในลำคอแทนคำตอบว่าใช่

“พระโอรสกัณฐ์กีรติแค้นใจนัก พาทหารของตนตามไปหมายทำลายศพแต่กลับหาไม่เจอ มิรู้ว่าหายไปยังหนใด”

คำบอกเล่านี้ดังแสงสว่างส่องเข้ามาในชีวิตที่สิ้นหวังของปณารี นางมีแรงกล่าวคำมากขึ้นกว่าเดิม “สวรรค์ทรงโปรด พี่ไม่ได้โกหกข้าดอกหนา นี่แปลว่าเขายังไม่ตาย...ใช่ไหม...”

“ไม่มีผู้ใดรู้ได้” ปรีดีว่า

“เขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน เขามีธำมรงค์ล่องหนที่ครุฑชั่วช้าพวกนั้นไม่รู้ เขาอาจรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วใช้แหวนหายตัวหลบหนีไป” คู่รักเจ้ายักษ์พยายามมองโลกในแง่ดี รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหมองคล้ำเพราะแดดเผา น้ำตา แห่งความดีใจหยดลงมาตามร่องแก้ม เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับนาง ขอเพียงมีความหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องกลับมาเจอกันก็ได้ นางจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นสาเหตุแห่งการทำร้ายเขาอีกแล้ว

แล้วปีกสีขาวคู่งาม ก็ถูกปลดออกจากร่างอย่างแผ่วเบา


แดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างปลุกนางกินรีไร้ปีกให้รู้สึกตัว ครั้นพยายามยันกายลุกขึ้น กลับเจ็บปวดแปลบ ที่กลางหลัง นางจึงทิ้งตัวนอนคว่ำลงดังเดิม

“ตื่นแล้วรึเจ้า” เสียงเปิดประตูตามด้วยคำกล่าวทักทาย “ข้าต้มยามาให้ พอมีแรงลุกขึ้นดื่มรึไม่ มันช่วยแก้ปวดได้ชะงัดนัก” พรนภาวางหม้อยาลง กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก

“ขอบใจเจ้ามาก นี่เจ้าก็ถูกท่านแม่เฆี่ยนเช่นกันใช่หรือไม่”

ไม่มีคำตอบใดกลับมา เท่านี้ก็รู้แล้วว่าพรนภาถูกลงโทษเช่นเดียวกัน นางผู้ยังนอนคว่ำอยู่จึงรู้สึกละอายใจไม่น้อย “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าลำบากเพราะข้า”

เมื่อผู้ต้มยามาให้ยังคงเงียบ ปณารีจึงถามต่อ “เป็นเจ้ารึที่บอกท่านแม่ว่าข้าหนีไปกับผู้ใด”

ได้ผล ครานี้มีเสียงตะกุกตะกักดังมา “แม่ครูว่า...หากทำให้พญาครุฑแค้นเคือง คณะนางรำของเราอาจได้รับอันตราย”

ร่างบนเตียงถอนใจ รู้สึกเจ็บปวดที่เพื่อนรักหักหลังตน แต่จะโทษพรนภาก็ไม่ได้ นางเองใช่จะมีทางเลือกมากนัก

พลัน มีเงาดำไหววูบวับผ่านหน้าต่าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการโบกปีกเช่นนี้เป็นของเผ่าพันธุ์ใด ปณารีขมวดคิ้วหันไปมอง ด้านนอกคงมีพวกครุฑเฝ้าอยู่ ส่วนหน้าต่างกลมซึ่งเคยเปิดกว้าง มาบัดนี้มีลูกกรงเหล็กขวางเหมือนคุกขังนักโทษ นางน้อยสะท้อนใจ นางไม่มีปีกแล้วยังจะมีปัญญาหนีไปที่ใดได้

“แข็งใจลุกขึ้นดื่มยาเถิด เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”

เสียงรินยาใส่ถ้วยใบน้อยเรียกนางที่ถูกเฆี่ยนให้หันมาหาเพื่อน เห็นอีกฝ่ายคะยั้นคะยอปณารีจึงพยายามฝืนยันกายลุกนั่ง หากสิ่งแรกที่นางทำคือปลดสร้อยคอทองเส้นน้อยส่งให้เพื่อน “สร้อยป้องกันเวทร้ายเส้นนี้ ข้าให้เจ้า”

พรนภาขมวดคิ้วมองดูสร้อย “เหตุ..เหตุใดจึงให้ข้า...ไม่เสียดายรึ ใช่จักหากันง่ายๆ”

“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกชีวิตข้าไร้ความหมายแล้วยังต้องการสิ่งเหล่านี้ไปไย” ปณารีกัดฟันกล่าวด้วยดวงตารื้นน้ำ นางรู้สึกดังนั้นจริงๆ ใช่เพราะต้องการประชดประชันไม่

หากพรนภาได้ยินคำแล้วกลับหลบตา นางทำท่ากระอักกระอ่วน “มีสิ่งหนึ่งที่เจ้า เออ...คงยังไม่รู้” รอผู้บาดเจ็บดื่มยาหมดถ้วยแล้วจึงกล่าวต่อไม่เต็มเสียงว่า “คือ...แม่ครูกลัวว่าพญาอัศกัณฐ์จะทรงกริ้วเรื่องที่เจ้าหนีไป จึง...จึงต้องบอกใครๆว่าเจ้าลูกครึ่งยักษ์ตนนั้น...เป็นผู้มาลักเจ้าไป”

“กระไรนะ!!!” คำบอกเล่านั้นดังสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงกลางศีรษะ ปณารีส่ายหน้าไปมาด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางรู้สึกแสบร้อนเหมือนร่างถูกเผา  ร่ำไห้สะอื้นขึ้นทันที เข้าใจกระจ่างแล้วว่าที่ครุฑพวกนั้นยิงศรใส่ อกิญจน์โดยไม่สอบความ...เป็นเพราะมารดาของนางนั่นเอง

“ปณารี แม่ครูจำเป็นต้อง...” นางผู้ต้มยาพยายามอธิบาย

“กรี๊ด!!! ไม่! ข้าไม่ฟัง! ข้าไม่ฟัง!” นางที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดกรีดร้องด้วยความคับแค้น ตีอกชกตัวกระชากผมบนศีรษะปานคนบ้า สะอื้นคร่ำครวญด้วยเสียงแหบแห้ง “เหตุใดจึงทำเช่นนี้ เขาไม่ผิด! เหตุใดจึงป้ายความผิดให้เขา! ข้าเป็นผู้ผิดเอง! ข้าต่างหากที่ผิด ข้าต่างหากที่หนีไป เหตุใดไม่ยิงศรใส่ข้า ไปยิงใส่เขาทำไม!”

“ปณารี!” พรนภาอ้าปากค้างทำสิ่งใดไม่ถูก กระนั้นยังพยายามยื่นมือเข้าไปลูบไหล่เพื่อน

“ออกไปนะ! ไปให้พ้น! อย่ามายุ่งกับข้า!” นางกินรีผู้ถูกเฆี่ยนปัดมือวุ่นวาย

เมื่อมือที่ยื่นมาด้วยถูกปัดกลับอย่างแรง พรนภาจึงเซเสียหลักไปปัดหม้อยาตกพื้น

เพล้ง! หม้อยาแตก น้ำร้อนหกกระจาย

“ท่านแม่ใจร้าย...เหตุใดจึงทำเช่นนี้...ท่านแม่ใจร้าย...” เสียงตัดพ้อดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีนางรำอื่นวิ่งเข้ามาดู พรนภาเห็นตนไม่สามารถทำสิ่งใดได้จึงก้มลงเก็บเศษกระเบื้องบนพื้นแล้วเดินจากไป

นางกินรีไร้ปีกหลับตาลงยกมือขึ้นปิดหู ปฏิเสธทุกคำถามรอบกาย เอาแต่พร่ำพูดกับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบาสั่นเครือ “อกิญจน์ เจ้าต้องปลอดภัยแน่...ข้ารู้ เจ้ายังไม่ตาย...ข้ารู้ เจ้ายังไม่ตาย...”

ปณารีกำลังตัดโลกแห่งความจริงออกจากใจ โลกภายนอกจะเป็นเช่นไรนางไม่อยากรับรู้อีก นึกถึงวันที่อกิญจน์พานางหนี แม้เขาไม่ได้กล่าวว่า“จะอย่างไรข้าก็ไม่ทิ้งเจ้า” แต่นางกลับเชื่อมั่นเหลือเกินว่าเขาไม่มีวันทิ้งนาง ด้วยความตื้นตันใจนางจึงโอบกอดเขาไว้แล้วบอกว่า

“ชั่วชีวิตต่อจากนี้ของข้า ข้าจะไปกับเจ้าเท่านั้น ”

เขาไม่ว่ากระไรเพียงแต่ส่งยิ้มอ่อนโยนโอบกอดตอบกลับมา

วันนั้นนางยังโง่ นางคิดว่ามีเพียงความรักก็เพียงพอแล้ว ความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ความรักคือน้ำอมฤตหล่อเลี้ยงหัวใจ

แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ ความรัก...ต่อให้มีพลังมากเพียงใดกลับไม่สามารถคัดง้างอำนาจยิ่งใหญ่ได้ ท้ายที่สุด อำนาจ...ก็ได้ทุกอย่าง เช่นนั้นอำนาจก็เอาแต่ร่างกายนางไปเถิดนางไม่ยอมยกหัวใจให้ดอก นางจะรอจนถึงวันตาย รอวันที่วิญญาณออกจากร่าง แล้วนางจะตามหาเขา ด้วยมั่นใจเหลือเกินว่าเขาจะยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ถึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่า  มีนางมาวนเวียนอยู่รอบกายก็ไม่เป็นไร

แล้วปณารีก็เอื้อนเอ่ย

“เจ้าเอย...ความฝัน ความหวัง     พังแล้ว    
ความสุข ไร้แวว         เสน่หา        
ความรัก ไร้เจ้า         คู่กายา    
สิ้นชีวา จักตามหา     มาเคียงกัน”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่