ราชนิกุลรากษส 2
วิ่งจนใกล้เที่ยงคืนก็ทะลุออกยังชายฝั่งสระอโนดาต นางที่นั่งเงียบบนไหล่มาตลอดทางก็เริ่มต้นชวนคุยแก้เบื่อ “อกิญจน์ ชื่อเจ้าแปลว่ากระไรรึ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“แปลว่าผู้ไม่มีกิเลส พ่อข้าเป็นผู้ตั้งให้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“เป็นความหมายที่ดียิ่ง” ใคร่ครวญสักครู่ก็ถามเรื่องใหม่ “อภัยด้วยเถิด แล้วตอนนี้พ่อเจ้าอยู่หนใด”
“เออ...” อกิญจน์ทำเสียงอึดอัด
“หากเจ้าไม่อยากเล่าข้าก็ไม่ตำหนิดอก” นางกินรีเห็นใจ บางทีบิดาเขาอาจเป็นยักษ์เลวร้ายจนไม่อยากเอ่ยถึง
“พ่อข้าเป็นรากษสหนีมาจากเกาะลงกา” เขากล่าวในที่สุด “แต่หลังจากข้าถือกำเนิดได้ไม่นาน ทหารของพญายักษ์ทศกัณฐ์ก็มาจับท่านกลับไป ข้าจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลย”
“พ่อเจ้าทำสิ่งใดผิดรึ เหตุใดจึงต้องถูกจับ”
“พ่อข้าไม่ต้องการช่วยทศกัณฐ์ทำสงครามกับพระราม พญาพิเภกจึงสั่งให้พ่อหนีออกจากลงกา”
“พญาพิเภก...ท้าวทศคิริวงษ์! ผู้ครองกรุงลงกาขณะนี้น่ะรึ”
“ข้าไม่รู้ดอกว่าพญาพิเภกคือท้าวทศคิริวงษ์หรือไม่ รู้เพียงท่านเป็นผู้ทำนายว่านางสีดาซึ่งทศกัณฐ์ลักมาแต่พระรามจะนำความหายนะมาสู่รากษส ทศกัณฐ์พิโรธจึงขับไล่ท่านออกจากเกาะลงกา”
“เรื่องนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมา” นางกินรีบอกสิ่งที่ตนรู้ “แต่เจ้ารู้ไหม ขณะนี้สงครามระหว่างทศกัณฐ์กับพระรามจบลงนานแล้ว บางทีพ่อของเจ้าอาจได้รับอิสรภาพแล้วก็เป็นได้”
“ข้าเองก็ภาวนาเช่นนั้น ขอเพียงรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ข้าก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องกลับมาหาแม่และข้าดอก” ลูกชายยักษ์กล่าวเสียงเศร้า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ากับแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หากพ่อกลับมาคงหาพวกเราไม่พบง่ายๆ โชคร้ายอาจถูกผู้ปกครองเขตแห่งใดแห่งหนึ่งจับกุมตัวอีก”
“จริงซินะ...” นางบนไหล่ยักษ์เออออ หากนางยังมีข้อสงสัยอื่นอีก “ตามที่เจ้ากล่าวมา แปลว่าพ่อของเจ้ารู้จักกับ พญาพิเภกกระนั้นรึ”
“แม่บอกว่า ท่านพ่อเป็นบุตรของพญากุมภกรรณ เชษฐาพญาพิเภก หากพญาพิเภกรับเลี้ยงท่านพ่อไว้เป็นบุตรบุญธรรม” เขาตอบตามซื่อ
“กุมภกรรณ! พระอนุชาแห่งทศกัณฐ์ นี่แปลว่าเจ้าสืบเชื้อสายมาแต่ราชนิกุลรากษส” ปณารีทำเสียงตื่นเต้น
“ราชนิกุลรึ...”
“ถูกต้อง ขณะนี้พญาพิเภกเป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกา พ่อของเจ้าก็ไม่เท่ากับเป็นพระโอรสบุญธรรมดอกรึ”
“สืบเชื้อสายมาแต่ราชนิกุลรากษสแล้วอย่างไรเล่า” อกิญจน์แกล้งขำกลบความขื่นขม “มันช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากการตามล่าได้ไหม”
“อกิญจน์...” นางปีกขาวพูดสิ่งใดต่อไม่ออก ได้แต่กดมือลงบนไหล่อีกข้างของเขาเพื่อปลอบใจ หวังอยากให้เขามีชีวิตที่ปกติสุขเหมือนชาวหิมพานต์ทั่วไปบ้าง
สายลมซึ่งพัดขึ้นมาจากสระอโนดาตไม่แรงนักคืนนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงได้ยินเสียงปีกสีขาวของนางที่นั่งอยู่บนไหล่ยักษ์ขยับปีกปรับสมดุล
เงียบกันไปสักครู่ ในที่สุดปณารีก็เอ่ยขึ้น “ข้าขอโทษด้วยที่ถามเจ้าไปเช่นนั้น”
“ไม่เป็นไรดอก” เขาตอบเบาๆ
วิ่งเลียบริมฝั่งสระอโนดาตไปสักพักก็เจอดงหินกลางทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง อกิญจน์เห็นว่าทุ่งแห่งนี้ช่างงดงามและอยู่ไม่ไกลจากป่าใหญ่จึงขอหยุดสำรวจ เขาบอกว่าอาจพามารดาย้ายมาพักอาศัย ปณารีจึงกระโดดขึ้นไปยืนรออยู่บนศิลาใหญ่ก้อนหนึ่ง ในคืนไร้จันทร์เช่นนี้ยังสามารถมองเห็นปีกสีขาวของนางเรืองแสงอ่อนๆ อยู่กลางความมืด
เมื่อเจ้ายักษ์วิ่งวนมารับ เห็นว่านางกำลังยืนนิ่ง ใช้ปีกห่อร่างด้านหน้าของตนเองไว้จึงเอ่ยเรียก “ปณารี!”
ไร้คำตอบ นางกินรีบนก้อนหินไม่ยอมขยับ
“ปณารี ไปกันเถิด” ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับมา อกิญจน์คงสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงกระโดดขึ้นไปยืนใกล้ๆ “ปณารี! เจ้าเป็นอันใดไปรึ”
ได้ผล...นางกินรีขยับปีกที่ปกใบหน้าออก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหาที่มาของเสียง “อ้าว...นี่ข้าเผลอหลับไปรึ”
ฝ่ายมาเรียกหัวเราะ เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าหลับนกเป็นอย่างไร “อภัยให้ข้าด้วยเถิดที่มาปลุก ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าเจ้าหลับอยู่”
นางผู้สามารถยืนหลับได้ส่ายหน้าเป็นทำนองว่าอย่าได้ใส่ใจไปเลย
“ดูท่าเจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ให้ข้าแบกเจ้าไปดีไหม หากง่วงนักก็หลับได้”
“เฮ้อ...” นางปีกขาวถอนหายใจ เป็นสาวเป็นนางจะให้หนุ่มแบกขึ้นหลัง ใครรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่ให้นั่งไหล่ไปก็คงไม่ได้แล้ว หลับร่วงตกลงมาแน่ หรือจะบินกลับเองยิ่งไม่รอด
“หากเห็นข้าเป็นเพื่อนก็อย่าได้เกรงใจ”
นางกินรีเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้ายักษ์ ทำสีหน้าคิดหนักเพื่อตัดสินใจ “ก็ได้ ดีกว่ากลับไปไม่ถึงแล้วถูกท่านแม่เฆี่ยน”
อกิญจน์ได้ยินคำตอบรับจึงคลี่ผ้าที่ถือมาออก ให้นางเกาะหลังตนไว้แล้วพาดผ้าผ่านเอวดึงมาไขว้กากบาทด้านหน้ารอบหนึ่งด้านหลังปีกนางรอบหนึ่ง “ขอโทษเถิด เจ้ายกขาขึ้นสักนิดจะได้หรือไม่”
สาวเจ้าอับอายสุดขีด นางทำท่าอึดอัดสักครู่แต่ก็ยอมยกขาขึ้นจนได้ “คอยดูเถิด ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าพูดเรื่องนี้ออกไปให้ผู้ใดรู้ ข้าฆ่าเจ้าแน่” นางกินรีขู่ พยายามหาคำพูดเพื่อทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น
ฝ่ายคนแบกลอดชายผ้าผ่านใต้ขานางกินรีทั้งสองข้างแล้วดึงมาผูกไว้ที่ท้อง กระโดดขึ้นลงเพื่อทดสอบความกระชับของเงื่อนเป็นอันเสร็จ “เจ้านั่งพิงผ้าที่ด้านหลังเถิด เช่นนี้ตัวก็ไม่ติดกันแล้ว”
นางทำตามทันที ทั้งยื่นมือน้อยออกไปผลักหลังเขา
เมื่อทุกอย่างพร้อม ผู้เสนอตัวเป็นพาหนะกระโดดลงจากก้อนหินได้ก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ รักษาระดับความเร็วเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทกมากนัก เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกว่ามีศีรษะน้อย ตกซบลงบนไหล่ข้างหนึ่ง
รุ่งสางวันใหม่ ปณารีรู้สึกตัวตื่นขึ้นที่ชายป่าแห่งหนึ่ง บนพื้นที่นางนอนปูไว้ด้วยใบไม้ใหญ่ทับซ้อนกันจนนิ่ม คลุมด้วยผ้าผืนบางที่ อกิญจน์ใช้แบกนางมา นางรีบกางปีกเหินขึ้นฟ้าทรงตัวลอยนิ่ง ขับไล่ความง่วงงุนสักครู่ก็จำสถานที่ได้
“ถึงพิมพ์พิมานแล้วหรือนี่!”
นางอุทานขึ้นด้วยไม่อยากเชื่อว่าตนได้บินอยู่เหนือทุ่งหญ้าแห่งเมืองกินรีแล้ว “นี่เขาทำได้อย่างไรกัน” นางถามตนเอง แปลว่าระหว่างที่นางเผลอหลับไปนั้นเขาวิ่งตลอดคืนไม่ยอมหยุดพักเลยหรือ
“ตื่นแล้วหรือปณารี”
นางปีกขาวมองไปตามเสียงเรียก เห็นอกิญจน์เดินออกมาจากชายป่า สังเกตดูจากใบหน้าและท่าทางของนักวิ่งทนแล้วเขายังดูแข็งแรงสดชื่นดีไม่มีเหนื่อยอ่อน นางเชื่อแล้วว่าเขาได้ความทรหดอดทนมาจากสายเลือดยักษ์จริง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้คือเมืองกินรี” นางอดถามไม่ได้
“ข้ามาถึงก่อนฟ้าสาง เห็นควันไฟหุงอาหารยามเช้าที่บริเวณหน้าผา พอวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบกินนรกินรีบินไปมา จึงคิดว่าใช่ที่นี่แน่แล้ว”
“ขอบใจเจ้านักที่อุตส่าห์วิ่งมาส่งข้าตั้งไกล...”
อกิญจน์ยังคงยืนจ้องมองนางนิ่ง
“ว่าแต่เจ้าเถิด เหนื่อยไหม”
คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า
“ข้าต้องรีบกลับบ้านแล้ว ป่านนี้แม่คงเตรียมไม้เรียวไว้รอเฆี่ยนข้าอยู่” นางกล่าวติดตลกแต่ในใจก็นึกกลัวตามนั้น “ข้า...คงต้องขอลาเจ้าไปก่อน” ปณารีกล่าวลาไม่เต็มเสียงด้วยรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาฉุดดึงนางไว้ ยิ่งเห็นอาการนิ่งเงียบของเขา นางยิ่งใจเสีย
“ข้า...ต้องไปแล้วหนา” ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก็ตัดใจกางปีกบินจนได้ หากไม่วายหันหลังกลับมามองเขาอีกครั้ง
ณ ช่วงเวลานั้น เหมือนนางจะเห็นคลื่นแห่งความคับแค้นใจไหลเวียนอยู่รอบชายหนุ่ม เขากำมือแน่น เม้มริมฝีปากเป็นแนวตรงก่อนหลับตาลงคล้ายไม่อยากเห็นนางอีก แล้วร่างผอมก็หุนหันกระโจนหายไปในราวป่า
“อกิญจน์...” นางรำพึงกับตนเองเบาๆ
ปีกหิมพานต์...6 ราชนิกุลรากษส 2
ราชนิกุลรากษส 2
วิ่งจนใกล้เที่ยงคืนก็ทะลุออกยังชายฝั่งสระอโนดาต นางที่นั่งเงียบบนไหล่มาตลอดทางก็เริ่มต้นชวนคุยแก้เบื่อ “อกิญจน์ ชื่อเจ้าแปลว่ากระไรรึ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“แปลว่าผู้ไม่มีกิเลส พ่อข้าเป็นผู้ตั้งให้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“เป็นความหมายที่ดียิ่ง” ใคร่ครวญสักครู่ก็ถามเรื่องใหม่ “อภัยด้วยเถิด แล้วตอนนี้พ่อเจ้าอยู่หนใด”
“เออ...” อกิญจน์ทำเสียงอึดอัด
“หากเจ้าไม่อยากเล่าข้าก็ไม่ตำหนิดอก” นางกินรีเห็นใจ บางทีบิดาเขาอาจเป็นยักษ์เลวร้ายจนไม่อยากเอ่ยถึง
“พ่อข้าเป็นรากษสหนีมาจากเกาะลงกา” เขากล่าวในที่สุด “แต่หลังจากข้าถือกำเนิดได้ไม่นาน ทหารของพญายักษ์ทศกัณฐ์ก็มาจับท่านกลับไป ข้าจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลย”
“พ่อเจ้าทำสิ่งใดผิดรึ เหตุใดจึงต้องถูกจับ”
“พ่อข้าไม่ต้องการช่วยทศกัณฐ์ทำสงครามกับพระราม พญาพิเภกจึงสั่งให้พ่อหนีออกจากลงกา”
“พญาพิเภก...ท้าวทศคิริวงษ์! ผู้ครองกรุงลงกาขณะนี้น่ะรึ”
“ข้าไม่รู้ดอกว่าพญาพิเภกคือท้าวทศคิริวงษ์หรือไม่ รู้เพียงท่านเป็นผู้ทำนายว่านางสีดาซึ่งทศกัณฐ์ลักมาแต่พระรามจะนำความหายนะมาสู่รากษส ทศกัณฐ์พิโรธจึงขับไล่ท่านออกจากเกาะลงกา”
“เรื่องนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมา” นางกินรีบอกสิ่งที่ตนรู้ “แต่เจ้ารู้ไหม ขณะนี้สงครามระหว่างทศกัณฐ์กับพระรามจบลงนานแล้ว บางทีพ่อของเจ้าอาจได้รับอิสรภาพแล้วก็เป็นได้”
“ข้าเองก็ภาวนาเช่นนั้น ขอเพียงรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ข้าก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องกลับมาหาแม่และข้าดอก” ลูกชายยักษ์กล่าวเสียงเศร้า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ากับแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หากพ่อกลับมาคงหาพวกเราไม่พบง่ายๆ โชคร้ายอาจถูกผู้ปกครองเขตแห่งใดแห่งหนึ่งจับกุมตัวอีก”
“จริงซินะ...” นางบนไหล่ยักษ์เออออ หากนางยังมีข้อสงสัยอื่นอีก “ตามที่เจ้ากล่าวมา แปลว่าพ่อของเจ้ารู้จักกับ พญาพิเภกกระนั้นรึ”
“แม่บอกว่า ท่านพ่อเป็นบุตรของพญากุมภกรรณ เชษฐาพญาพิเภก หากพญาพิเภกรับเลี้ยงท่านพ่อไว้เป็นบุตรบุญธรรม” เขาตอบตามซื่อ
“กุมภกรรณ! พระอนุชาแห่งทศกัณฐ์ นี่แปลว่าเจ้าสืบเชื้อสายมาแต่ราชนิกุลรากษส” ปณารีทำเสียงตื่นเต้น
“ราชนิกุลรึ...”
“ถูกต้อง ขณะนี้พญาพิเภกเป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกา พ่อของเจ้าก็ไม่เท่ากับเป็นพระโอรสบุญธรรมดอกรึ”
“สืบเชื้อสายมาแต่ราชนิกุลรากษสแล้วอย่างไรเล่า” อกิญจน์แกล้งขำกลบความขื่นขม “มันช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากการตามล่าได้ไหม”
“อกิญจน์...” นางปีกขาวพูดสิ่งใดต่อไม่ออก ได้แต่กดมือลงบนไหล่อีกข้างของเขาเพื่อปลอบใจ หวังอยากให้เขามีชีวิตที่ปกติสุขเหมือนชาวหิมพานต์ทั่วไปบ้าง
สายลมซึ่งพัดขึ้นมาจากสระอโนดาตไม่แรงนักคืนนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงได้ยินเสียงปีกสีขาวของนางที่นั่งอยู่บนไหล่ยักษ์ขยับปีกปรับสมดุล
เงียบกันไปสักครู่ ในที่สุดปณารีก็เอ่ยขึ้น “ข้าขอโทษด้วยที่ถามเจ้าไปเช่นนั้น”
“ไม่เป็นไรดอก” เขาตอบเบาๆ
วิ่งเลียบริมฝั่งสระอโนดาตไปสักพักก็เจอดงหินกลางทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง อกิญจน์เห็นว่าทุ่งแห่งนี้ช่างงดงามและอยู่ไม่ไกลจากป่าใหญ่จึงขอหยุดสำรวจ เขาบอกว่าอาจพามารดาย้ายมาพักอาศัย ปณารีจึงกระโดดขึ้นไปยืนรออยู่บนศิลาใหญ่ก้อนหนึ่ง ในคืนไร้จันทร์เช่นนี้ยังสามารถมองเห็นปีกสีขาวของนางเรืองแสงอ่อนๆ อยู่กลางความมืด
เมื่อเจ้ายักษ์วิ่งวนมารับ เห็นว่านางกำลังยืนนิ่ง ใช้ปีกห่อร่างด้านหน้าของตนเองไว้จึงเอ่ยเรียก “ปณารี!”
ไร้คำตอบ นางกินรีบนก้อนหินไม่ยอมขยับ
“ปณารี ไปกันเถิด” ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับมา อกิญจน์คงสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงกระโดดขึ้นไปยืนใกล้ๆ “ปณารี! เจ้าเป็นอันใดไปรึ”
ได้ผล...นางกินรีขยับปีกที่ปกใบหน้าออก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหาที่มาของเสียง “อ้าว...นี่ข้าเผลอหลับไปรึ”
ฝ่ายมาเรียกหัวเราะ เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าหลับนกเป็นอย่างไร “อภัยให้ข้าด้วยเถิดที่มาปลุก ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าเจ้าหลับอยู่”
นางผู้สามารถยืนหลับได้ส่ายหน้าเป็นทำนองว่าอย่าได้ใส่ใจไปเลย
“ดูท่าเจ้าคงเหนื่อยไม่น้อย ให้ข้าแบกเจ้าไปดีไหม หากง่วงนักก็หลับได้”
“เฮ้อ...” นางปีกขาวถอนหายใจ เป็นสาวเป็นนางจะให้หนุ่มแบกขึ้นหลัง ใครรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่ให้นั่งไหล่ไปก็คงไม่ได้แล้ว หลับร่วงตกลงมาแน่ หรือจะบินกลับเองยิ่งไม่รอด
“หากเห็นข้าเป็นเพื่อนก็อย่าได้เกรงใจ”
นางกินรีเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้ายักษ์ ทำสีหน้าคิดหนักเพื่อตัดสินใจ “ก็ได้ ดีกว่ากลับไปไม่ถึงแล้วถูกท่านแม่เฆี่ยน”
อกิญจน์ได้ยินคำตอบรับจึงคลี่ผ้าที่ถือมาออก ให้นางเกาะหลังตนไว้แล้วพาดผ้าผ่านเอวดึงมาไขว้กากบาทด้านหน้ารอบหนึ่งด้านหลังปีกนางรอบหนึ่ง “ขอโทษเถิด เจ้ายกขาขึ้นสักนิดจะได้หรือไม่”
สาวเจ้าอับอายสุดขีด นางทำท่าอึดอัดสักครู่แต่ก็ยอมยกขาขึ้นจนได้ “คอยดูเถิด ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าพูดเรื่องนี้ออกไปให้ผู้ใดรู้ ข้าฆ่าเจ้าแน่” นางกินรีขู่ พยายามหาคำพูดเพื่อทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น
ฝ่ายคนแบกลอดชายผ้าผ่านใต้ขานางกินรีทั้งสองข้างแล้วดึงมาผูกไว้ที่ท้อง กระโดดขึ้นลงเพื่อทดสอบความกระชับของเงื่อนเป็นอันเสร็จ “เจ้านั่งพิงผ้าที่ด้านหลังเถิด เช่นนี้ตัวก็ไม่ติดกันแล้ว”
นางทำตามทันที ทั้งยื่นมือน้อยออกไปผลักหลังเขา
เมื่อทุกอย่างพร้อม ผู้เสนอตัวเป็นพาหนะกระโดดลงจากก้อนหินได้ก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ รักษาระดับความเร็วเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทกมากนัก เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกว่ามีศีรษะน้อย ตกซบลงบนไหล่ข้างหนึ่ง
รุ่งสางวันใหม่ ปณารีรู้สึกตัวตื่นขึ้นที่ชายป่าแห่งหนึ่ง บนพื้นที่นางนอนปูไว้ด้วยใบไม้ใหญ่ทับซ้อนกันจนนิ่ม คลุมด้วยผ้าผืนบางที่ อกิญจน์ใช้แบกนางมา นางรีบกางปีกเหินขึ้นฟ้าทรงตัวลอยนิ่ง ขับไล่ความง่วงงุนสักครู่ก็จำสถานที่ได้
“ถึงพิมพ์พิมานแล้วหรือนี่!”
นางอุทานขึ้นด้วยไม่อยากเชื่อว่าตนได้บินอยู่เหนือทุ่งหญ้าแห่งเมืองกินรีแล้ว “นี่เขาทำได้อย่างไรกัน” นางถามตนเอง แปลว่าระหว่างที่นางเผลอหลับไปนั้นเขาวิ่งตลอดคืนไม่ยอมหยุดพักเลยหรือ
“ตื่นแล้วหรือปณารี”
นางปีกขาวมองไปตามเสียงเรียก เห็นอกิญจน์เดินออกมาจากชายป่า สังเกตดูจากใบหน้าและท่าทางของนักวิ่งทนแล้วเขายังดูแข็งแรงสดชื่นดีไม่มีเหนื่อยอ่อน นางเชื่อแล้วว่าเขาได้ความทรหดอดทนมาจากสายเลือดยักษ์จริง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้คือเมืองกินรี” นางอดถามไม่ได้
“ข้ามาถึงก่อนฟ้าสาง เห็นควันไฟหุงอาหารยามเช้าที่บริเวณหน้าผา พอวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบกินนรกินรีบินไปมา จึงคิดว่าใช่ที่นี่แน่แล้ว”
“ขอบใจเจ้านักที่อุตส่าห์วิ่งมาส่งข้าตั้งไกล...”
อกิญจน์ยังคงยืนจ้องมองนางนิ่ง
“ว่าแต่เจ้าเถิด เหนื่อยไหม”
คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า
“ข้าต้องรีบกลับบ้านแล้ว ป่านนี้แม่คงเตรียมไม้เรียวไว้รอเฆี่ยนข้าอยู่” นางกล่าวติดตลกแต่ในใจก็นึกกลัวตามนั้น “ข้า...คงต้องขอลาเจ้าไปก่อน” ปณารีกล่าวลาไม่เต็มเสียงด้วยรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาฉุดดึงนางไว้ ยิ่งเห็นอาการนิ่งเงียบของเขา นางยิ่งใจเสีย
“ข้า...ต้องไปแล้วหนา” ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก็ตัดใจกางปีกบินจนได้ หากไม่วายหันหลังกลับมามองเขาอีกครั้ง
ณ ช่วงเวลานั้น เหมือนนางจะเห็นคลื่นแห่งความคับแค้นใจไหลเวียนอยู่รอบชายหนุ่ม เขากำมือแน่น เม้มริมฝีปากเป็นแนวตรงก่อนหลับตาลงคล้ายไม่อยากเห็นนางอีก แล้วร่างผอมก็หุนหันกระโจนหายไปในราวป่า
“อกิญจน์...” นางรำพึงกับตนเองเบาๆ