คำมั่นสัญญา
นับแต่นั้นปณารีมักแวะมาเยี่ยมอกิญจน์และมารดาเสมอ ใกล้เที่ยงวันนี้นางก็หอบของฝากมามากมายเช่นเคย หากนางดูอ่อนล้าด้วยว่าซ้อมรำหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
“หากเหนื่อยนักก็ไม่ต้องมาดอก ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย”
อกิญจน์ กล่าวคำไม่ตรงกับใจขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ริมสระอโนดาต เฝ้ามองสายลมอ่อนพาระลอกคลื่นสีขาวเข้าซัดชายหาดครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่เป็นไรดอก มาที่นี่ก็ได้พักผ่อนเหมือนกัน”
ปณารีพูดแล้วเอนกายลงนอนบนพื้นทรายนุ่มนิ่ม “เจ้ารู้ไหม ที่ข้าชอบมาที่นี่ก็เพราะได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องแต่งหน้าทาปากแบกเครื่องอลังการให้เมื่อยตัว” แล้วนางก็อ้าปากกว้างหาวออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้ใด “อยู่ที่นี่ไม่งามก็ไม่เห็นเป็นไรแถมไม่มีผู้ใดมาคอยจับผิด จะทำอันโน้นก็ไม่ดีจะทำอันนี้ก็ไม่ได้ ข้าไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์สักนิด เหตุใดจึงต้องบังคับกันนักนะ” นางบ่นไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
“แต่เจ้าก็งามอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแต่งเพิ่มสิ่งใด”
“เฮอะ!” นางแค่นเสียงประชด “เจ้าจะไปรู้สิ่งใด กินรีก็หน้าตาเช่นนี้กันทั้งนั้น เจ้าไม่เคยได้ยินรึ แม้แต่พระสุธนยังจำนางมโนราห์ไม่ได้ครั้งนางอยู่รวมกับพี่น้อง จนพระอินทร์ต้องจำแลงกายเป็นแมลงวันทองมาช่วยเหลือ...อย่าพูดต่อเลย ข้าอยากนอน” ว่าแล้วนางก็ขยับตัวเอาหัวมาหนุนตักเจ้าลูกครึ่งยักษ์หน้าตาเฉย “อย่าเพิ่งกลายร่างเป็นยักษ์เอาตอนนี้ล่ะ”
อกิญจน์ไม่ว่ากระไรได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ หากนางกินรีกลับได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นแรง เดาว่าเขาคงเขินอาย จนแทบวิ่งหนี แบบนี้นางล่ะชอบนัก สนุกเหลือเกินที่ได้กลั่นแกล้ง
หากปณารีหลับตาลงได้ครู่เดียวก็ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าไม่สบายใจเลย...พรุ่งนี้ คณะปาจารีย์พิลาสต้องเดินทางไปทำการแสดงที่วิมานฉิมพลี” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลง เงียบไปครู่ใหญ่
สายลมยังคงพัดเย็นสบาย หากรอบหน้าผากนางกลับชื้นเหงื่อ
“อกิญจน์” จู่ๆ นางก็เรียกชื่อเขา “หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เจ้าจะยินดีช่วยเหลือข้าไหม”
“เกิดเรื่องใดรึ” ฝ่ายถูกถามขมวดคิ้ว
“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าอยากรู้เพียงว่าเจ้าจะยอมช่วยข้าไหม” นางยื่นใบหน้าเข้ามาคาดคั้น
อกิญจน์เงอะงะเอียงหลบ กระนั้นก็ยังตอบกลับ “ชะ...ช่วยแน่นอน หากเป็นเจ้า ข้ายินดีช่วยเหลือเสมอ”
คำตอบที่ได้ทำปณารียิ้มแก้มปริ “สัญญาแล้วหนา” นางถามอีกครั้ง ทั้งยังยื่นนิ้วก้อยมาขอเกี่ยว
“อืม...ข้าสัญญา” อีกฝ่ายรับคำ ถึงจะยังทำหลบหน้าหลบตากลับยื่นนิ้วของตนมาให้เกี่ยว
เสียงคลื่นยังคงซัดสาด กลิ่นบุปผชาติหอมรวยรินมาจากที่ไหนสักแห่ง ไหนเลยทั้งคู่จะล่วงรู้ว่าคำมั่นสัญญาในครั้งนี้ จะกลายเป็นพันธนาการผูกมัดจิตวิญญาณของเขาและนางไว้...ยาวนานเกินกว่าผู้ใดจะคาดได้
นางกินรีได้รับคำตอบที่พอใจแล้วก็คลายนิ้ว อมยิ้มหวานล้มตัวลงนอน
สักครู่ เสียงผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอก็บอกให้ผู้ที่อุทิศตัวเป็นหมอนรู้ว่านางหลับแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับ หากเมื่อเส้นผมดำขลับของนางปลิวระใบหน้าขาวผ่อง เจ้ายักษ์ก็ค่อยๆ ใช้มือหนาปัดมันออกจากแก้มนวล
“นางช่างงามนัก...” เจ้ายักษ์บอกตนเอง แต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่อาจเทียบกับจิตใจที่งามกว่า เพราะเมตตาสงสารเขาและมารดานางจึงได้กลับมาเยี่ยมเยือนบ่อยครั้ง เพียงเท่านี้เขาก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง หากมีสิ่งใดที่เขาสามารถตอบแทนนางได้ เขาก็ยินดีทำโดยไม่ลังเลใจ นางไม่จำเป็นต้องถามหาคำสัญญาใดดอก
บ่ายแก่ ในที่สุดปณารีก็ตื่นขึ้น
“เร็วเสียจริงได้เวลาต้องกลับแล้ว เฮ้อ...” นางถอนหายใจยาวก่อนยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจดุจเด็กน้อย “ไปคราวนี้คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาอีก” นางว่าเศร้าๆ
“ให้ข้าวิ่งไปส่งไหม” เพราะท่าทางซึมเซาของนางกระมังเจ้ายักษ์จึงอาสาตามไปส่ง
“เจ้าไม่กลัวผู้ใดเห็นรึ ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน”
“ถึงมีใครเห็นข้าตอนนี้ก็คงไม่คิดว่าเป็นยักษ์ดอก หากไม่โชคร้ายกลายร่างกลางทางเข้า”
“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
จริงอย่างที่เขาว่า หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ และมีรองเท้าที่นางเอามาฝากครั้งหลัง เจ้าลูกผสมสองเผ่าพันธุ์ก็เปลี่ยนโฉมกลายเป็นคนธรรพ์รูปงาม แม้จะเป็นห่วงแต่นางก็ยินดีที่จะมีเขาไปเป็นเพื่อนด้วยว่ายังอยากอยู่ใกล้ๆ
หลังจากบอกกล่าวให้นางนนทรีทราบแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินทางเพื่อไม่ให้ไปถึงที่หมายดึกนัก
“ครั้งก่อนบินตามเจ้าแทบไม่ทัน คราวนี้ลองมาแข่งขันกันดู ข้าไม่เชื่อดอกว่าอัปสรสีหะจะวิ่งได้ไวกว่ากินรี” ว่าแล้วนางก็กางปีกบินโดยไม่รออีกฝ่าย
จริงอยู่เผ่าพันธุ์กินรีนั้นแสนปราดเปรียวว่องไว แต่สิ่งที่นางลืมนึกถึงไปคืออกิญจน์มีสายเลือดกึ่งหนึ่งเป็นยักษ์ เผ่าพันธุ์ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ แข่งขันในระยะใกล้ผู้มีปีกได้เปรียบ แต่หากเป็นระยะไกลมีหรือยักษ์จะยอมแพ้
ใกล้ค่ำ นักเดินทางบนท้องฟ้าบินได้สักชั่วยามกว่าก็หมดแรง นึกว่าตนล่วงหน้ามาไกลแล้วจึงหยุดพักแอบสังเกตการณ์บนคาคบไม้ริมทาง ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็แว่วเสียงซอยเท้าสวบสาบผ่านป่ามาแต่ไกล
“ผู้ใดกัน คงไม่ใช่เจ้ายักษ์ลูกครึ่งนั่นดอกนะ”
ครู่เดียว ร่างผสมสองเผ่าพันธุ์ก็ผ่านดงไม้ออกมา ท่าทางวิ่งเรื่อยๆ แบบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยของคู่แข่งทำนางปีกขาวเห็นแล้วขัดใจนัก เป็นไปได้อย่างไรที่นางไม่สามารถบินได้ไกลกว่าเขา
“เก่งนักใช่ไหมเจ้า...” หลังจากนึกขุ่นเคืองไปแล้วก็เสาะหาวิธีกลั่นแกล้งอยู่บนยอดไม้ ปล่อยอกิญจน์วิ่งจากไปสักครู่นางก็พุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเงียบๆ บินตามไปเพื่อรอจังหวะ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายก้าวออกสู่ลานโล่ง นางกินรีก็หุบปีกทิ้งตัวดิ่งลงมาสุดแรง ยื่นมือทั้งสองหวังจะผลักกลางหลังเจ้ายักษ์ผอมให้ล้มหัวทิ่ม
หากชั่วพริบตาก่อนสองมือน้อยจะสัมผัสจุดหมาย ร่างที่วิ่งอยู่ก็หลบออกไปด้านข้างได้อย่างอัศจรรย์
“ว้าย!!!” ผู้ประสงค์ร้ายร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นปิดตาเพราะว่าศีรษะกำลังจะกระแทกพื้น
ชั่วเวลาคับขันนั้น อกิญจน์เอื้อมมือไปคว้าร่างนางปีกขาวไว้ได้ทัน แต่ไหนจะต้องเอียงหนีการจู่โจมไหนจะต้องหมุนตัวกลับมาช่วย เจ้าลูกครึ่งจึงเสียการทรงตัว หากด้วยกลัวนางจะเป็นอันตรายเขาจึงดึงนางมากอด พลิกร่างหันหลังลงฟาดพื้น
โชคร้ายนัก พื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินแหลมคม แรงเหวี่ยงทำเอาหลังเจ้ายักษ์ครูดไถไปกับพื้นเป็นทางยาว อกิญจน์กัดฟันสกัดกลั้นความเจ็บปวดไม่ยอมร้องออกมา
ทุกอย่างหยุดลงแล้ว เหตุการณ์เหนือความคาดหมายเมื่อครู่เหลือเพียงฝุ่นผงปลิวกระจายคละคลุ้ง อ้อมแขนของผู้ปกป้องคลายออกช้าๆ ก่อนตกลงสู่พื้น
ปณารีที่ยังงุนงงอยู่ค่อยๆ ยันกายลุกนั่ง เอ่ยเรียกร่างที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นเสียงสั่น “อะ...อกิญจน์...” นางกระพริบตาถี่ รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ นี่นางเป็นอันใดไปหนอถึงได้โง่เขลาถึงเพียงนี้ ไม่ควรล้อเล่นพิเรนทร์เลย
“อกิญจน์...ตอบข้า เจ้าต้องไม่เป็นอันใดนะ...อกิญจน์” ปากพร่ำเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาก็มีหยาดน้ำคลอหน่วย นางจับมือหยาบกร้านของรากษสหนุ่มขึ้นมาไว้แนบอก ได้โปรดเถิด...อย่าให้เขาเป็นอันใดไปเพราะนางเลย
และแล้วมือที่นางถือไว้ก็เริ่มขยับ “อกิญจน์!” คราวนี้ปณารีเริ่มยิ้มได้
“ข้า...ไม่เป็นอันใดมากดอก” เสียงอ่อนแรงตอบมา “เพียงแต่รู้สึกหน้ามืดไปเท่านั้น พักสักครู่คงดีขึ้น”
“ข้าขอโทษ...” นางกล่าวด้วยสำนึกผิด ช่วยดึงผู้นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มสำรวจบาดแผลตามร่างกาย “เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง”
เจ้ายักษ์ส่ายศีรษะ แต่มีหรือที่นางมีปีกจะเชื่อ “อย่าโกหกข้า”
“เหตุใดต้องโกหก ลืมแล้วหรือว่าข้าสืบเชื้อสายมาแต่รากษส เท่านี้ไม่หนักหนาดอก” เขายิ้มเยือน
ปณารีรีบสำรวจร่างกายอกิญจน์ หากไม่นับรวมรอยแผลเป็นเก่าๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ทั่วทั้งตัวก็มีเพียงแต่รอยถลอกเท่านั้น เมื่อจนด้วยเหตุผลนางจึงยอมรับ “เอาล่ะ ข้าเชื่อเจ้า”
สองหนุ่มสาวนั่งพักสักครู่ก็ค่ำ หรีดหริ่งเรไรเริ่มขับร้องประสานเสียง ไม่นานไฟกองน้อยก็ก่อขึ้นสร้างความอบอุ่น นางอยากให้อีกฝ่ายได้พักจึงบังคับให้เขานั่งอยู่นิ่งๆ ส่วนตัวเองเป็นผู้เดินไปเก็บฟืนและผลไม้
“กล้วยป่าหวีนี้สุกแล้ว ข้าเก็บมาให้เจ้า กินด้วยกันเถิด”
ฝ่ายที่นั่งอยู่พยักหน้า รับกล้วยมาพร้อมแววตาหม่นแสงเมื่อเห็นนางย่อกายนั่งลงข้างๆ
“เหตุใดเจ้าถึงชอบมองข้าแบบนี้นัก”
คำถามของนางกินรีทำเอาเจ้ายักษ์สะดุ้ง เขาหลบสายตานางก้มลงมองพื้น “แบบใดรึ”
“เออ...” นางครุ่นคิด “ก็เหมือนกับว่า...เจ้ากลัวจะไม่ได้พบข้าอีก...แบบนั้นกระมัง”
อกิญจน์ไม่ยอมตอบคำถาม ได้แต่ทำทีจะขยับออกห่าง
นางปีกขาวเห็นดังนั้นจึงรั้งแขนเขามาเกาะไว้ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลแบบนั้นดอก ดูเถิด...เจ้าดีกับข้าเพียงนี้ เจอข้ากลั่นแกล้งแล้วยังยอมช่วยเหลือจนต้องเจ็บตัว จะอย่างไร ข้าก็จะขอเป็นเพื่อนกับเจ้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์อยู่แล้ว”
“ชั่วกัปชั่วกัลป์นั้นไม่มีดอก” เขาแย้งแล้วหันมามองไปยังสองมือน้อยซึ่งโอบรอบแขนเขาไว้ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “อย่างไรเสียความตายก็ต้องเป็นเครื่องขัดขวาง”
ถ้อยคำดังกล่าวทำนางปีกขาวได้คิด ว่ากันว่าอายุขัยของยักษ์นั้นยาวนานเกินกว่ากินรีหลายเท่า นี่เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ “อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวข้าแก่ตายไปก่อน รอไว้ให้ข้าแก่ชราจนขนร่วงหมดปีกก่อนเถิด เจ้าจะเป็นฝ่ายทิ้งข้าไปเอง”
ส่วนหนึ่งจริงอย่างที่นางกินรีคิดหากหลายส่วนกลับไม่ใช่
อกิญจน์ยิ้มน้อยๆ มองท่าทางออดอ้อนนั้นแล้วปวดใจนัก ให้นางเข้าใจอย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่าให้นางล่วงรู้เลยว่าเขานั้นอยากอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องคุ้มครองนางเพียงใด แต่ลูกครึ่งยักษ์กับนางอัปสรสีหะต่ำศักดิ์อย่างเขา จะเอาเกียรติที่ไหนไปคู่ควรกับนางกินรีแสนงาม...อย่างปณารี
ปีกหิมพานต์...7 คำมั่นสัญญา
คำมั่นสัญญา
นับแต่นั้นปณารีมักแวะมาเยี่ยมอกิญจน์และมารดาเสมอ ใกล้เที่ยงวันนี้นางก็หอบของฝากมามากมายเช่นเคย หากนางดูอ่อนล้าด้วยว่าซ้อมรำหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
“หากเหนื่อยนักก็ไม่ต้องมาดอก ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย”
อกิญจน์ กล่าวคำไม่ตรงกับใจขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ริมสระอโนดาต เฝ้ามองสายลมอ่อนพาระลอกคลื่นสีขาวเข้าซัดชายหาดครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่เป็นไรดอก มาที่นี่ก็ได้พักผ่อนเหมือนกัน”
ปณารีพูดแล้วเอนกายลงนอนบนพื้นทรายนุ่มนิ่ม “เจ้ารู้ไหม ที่ข้าชอบมาที่นี่ก็เพราะได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องแต่งหน้าทาปากแบกเครื่องอลังการให้เมื่อยตัว” แล้วนางก็อ้าปากกว้างหาวออกมาอย่างไม่เกรงใจผู้ใด “อยู่ที่นี่ไม่งามก็ไม่เห็นเป็นไรแถมไม่มีผู้ใดมาคอยจับผิด จะทำอันโน้นก็ไม่ดีจะทำอันนี้ก็ไม่ได้ ข้าไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์สักนิด เหตุใดจึงต้องบังคับกันนักนะ” นางบ่นไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
“แต่เจ้าก็งามอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแต่งเพิ่มสิ่งใด”
“เฮอะ!” นางแค่นเสียงประชด “เจ้าจะไปรู้สิ่งใด กินรีก็หน้าตาเช่นนี้กันทั้งนั้น เจ้าไม่เคยได้ยินรึ แม้แต่พระสุธนยังจำนางมโนราห์ไม่ได้ครั้งนางอยู่รวมกับพี่น้อง จนพระอินทร์ต้องจำแลงกายเป็นแมลงวันทองมาช่วยเหลือ...อย่าพูดต่อเลย ข้าอยากนอน” ว่าแล้วนางก็ขยับตัวเอาหัวมาหนุนตักเจ้าลูกครึ่งยักษ์หน้าตาเฉย “อย่าเพิ่งกลายร่างเป็นยักษ์เอาตอนนี้ล่ะ”
อกิญจน์ไม่ว่ากระไรได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ หากนางกินรีกลับได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นแรง เดาว่าเขาคงเขินอาย จนแทบวิ่งหนี แบบนี้นางล่ะชอบนัก สนุกเหลือเกินที่ได้กลั่นแกล้ง
หากปณารีหลับตาลงได้ครู่เดียวก็ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าไม่สบายใจเลย...พรุ่งนี้ คณะปาจารีย์พิลาสต้องเดินทางไปทำการแสดงที่วิมานฉิมพลี” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลง เงียบไปครู่ใหญ่
สายลมยังคงพัดเย็นสบาย หากรอบหน้าผากนางกลับชื้นเหงื่อ
“อกิญจน์” จู่ๆ นางก็เรียกชื่อเขา “หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เจ้าจะยินดีช่วยเหลือข้าไหม”
“เกิดเรื่องใดรึ” ฝ่ายถูกถามขมวดคิ้ว
“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าอยากรู้เพียงว่าเจ้าจะยอมช่วยข้าไหม” นางยื่นใบหน้าเข้ามาคาดคั้น
อกิญจน์เงอะงะเอียงหลบ กระนั้นก็ยังตอบกลับ “ชะ...ช่วยแน่นอน หากเป็นเจ้า ข้ายินดีช่วยเหลือเสมอ”
คำตอบที่ได้ทำปณารียิ้มแก้มปริ “สัญญาแล้วหนา” นางถามอีกครั้ง ทั้งยังยื่นนิ้วก้อยมาขอเกี่ยว
“อืม...ข้าสัญญา” อีกฝ่ายรับคำ ถึงจะยังทำหลบหน้าหลบตากลับยื่นนิ้วของตนมาให้เกี่ยว
เสียงคลื่นยังคงซัดสาด กลิ่นบุปผชาติหอมรวยรินมาจากที่ไหนสักแห่ง ไหนเลยทั้งคู่จะล่วงรู้ว่าคำมั่นสัญญาในครั้งนี้ จะกลายเป็นพันธนาการผูกมัดจิตวิญญาณของเขาและนางไว้...ยาวนานเกินกว่าผู้ใดจะคาดได้
นางกินรีได้รับคำตอบที่พอใจแล้วก็คลายนิ้ว อมยิ้มหวานล้มตัวลงนอน
สักครู่ เสียงผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอก็บอกให้ผู้ที่อุทิศตัวเป็นหมอนรู้ว่านางหลับแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับ หากเมื่อเส้นผมดำขลับของนางปลิวระใบหน้าขาวผ่อง เจ้ายักษ์ก็ค่อยๆ ใช้มือหนาปัดมันออกจากแก้มนวล
“นางช่างงามนัก...” เจ้ายักษ์บอกตนเอง แต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่อาจเทียบกับจิตใจที่งามกว่า เพราะเมตตาสงสารเขาและมารดานางจึงได้กลับมาเยี่ยมเยือนบ่อยครั้ง เพียงเท่านี้เขาก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง หากมีสิ่งใดที่เขาสามารถตอบแทนนางได้ เขาก็ยินดีทำโดยไม่ลังเลใจ นางไม่จำเป็นต้องถามหาคำสัญญาใดดอก
บ่ายแก่ ในที่สุดปณารีก็ตื่นขึ้น
“เร็วเสียจริงได้เวลาต้องกลับแล้ว เฮ้อ...” นางถอนหายใจยาวก่อนยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจดุจเด็กน้อย “ไปคราวนี้คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาอีก” นางว่าเศร้าๆ
“ให้ข้าวิ่งไปส่งไหม” เพราะท่าทางซึมเซาของนางกระมังเจ้ายักษ์จึงอาสาตามไปส่ง
“เจ้าไม่กลัวผู้ใดเห็นรึ ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน”
“ถึงมีใครเห็นข้าตอนนี้ก็คงไม่คิดว่าเป็นยักษ์ดอก หากไม่โชคร้ายกลายร่างกลางทางเข้า”
“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
จริงอย่างที่เขาว่า หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ และมีรองเท้าที่นางเอามาฝากครั้งหลัง เจ้าลูกผสมสองเผ่าพันธุ์ก็เปลี่ยนโฉมกลายเป็นคนธรรพ์รูปงาม แม้จะเป็นห่วงแต่นางก็ยินดีที่จะมีเขาไปเป็นเพื่อนด้วยว่ายังอยากอยู่ใกล้ๆ
หลังจากบอกกล่าวให้นางนนทรีทราบแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินทางเพื่อไม่ให้ไปถึงที่หมายดึกนัก
“ครั้งก่อนบินตามเจ้าแทบไม่ทัน คราวนี้ลองมาแข่งขันกันดู ข้าไม่เชื่อดอกว่าอัปสรสีหะจะวิ่งได้ไวกว่ากินรี” ว่าแล้วนางก็กางปีกบินโดยไม่รออีกฝ่าย
จริงอยู่เผ่าพันธุ์กินรีนั้นแสนปราดเปรียวว่องไว แต่สิ่งที่นางลืมนึกถึงไปคืออกิญจน์มีสายเลือดกึ่งหนึ่งเป็นยักษ์ เผ่าพันธุ์ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ แข่งขันในระยะใกล้ผู้มีปีกได้เปรียบ แต่หากเป็นระยะไกลมีหรือยักษ์จะยอมแพ้
ใกล้ค่ำ นักเดินทางบนท้องฟ้าบินได้สักชั่วยามกว่าก็หมดแรง นึกว่าตนล่วงหน้ามาไกลแล้วจึงหยุดพักแอบสังเกตการณ์บนคาคบไม้ริมทาง ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็แว่วเสียงซอยเท้าสวบสาบผ่านป่ามาแต่ไกล
“ผู้ใดกัน คงไม่ใช่เจ้ายักษ์ลูกครึ่งนั่นดอกนะ”
ครู่เดียว ร่างผสมสองเผ่าพันธุ์ก็ผ่านดงไม้ออกมา ท่าทางวิ่งเรื่อยๆ แบบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยของคู่แข่งทำนางปีกขาวเห็นแล้วขัดใจนัก เป็นไปได้อย่างไรที่นางไม่สามารถบินได้ไกลกว่าเขา
“เก่งนักใช่ไหมเจ้า...” หลังจากนึกขุ่นเคืองไปแล้วก็เสาะหาวิธีกลั่นแกล้งอยู่บนยอดไม้ ปล่อยอกิญจน์วิ่งจากไปสักครู่นางก็พุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเงียบๆ บินตามไปเพื่อรอจังหวะ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายก้าวออกสู่ลานโล่ง นางกินรีก็หุบปีกทิ้งตัวดิ่งลงมาสุดแรง ยื่นมือทั้งสองหวังจะผลักกลางหลังเจ้ายักษ์ผอมให้ล้มหัวทิ่ม
หากชั่วพริบตาก่อนสองมือน้อยจะสัมผัสจุดหมาย ร่างที่วิ่งอยู่ก็หลบออกไปด้านข้างได้อย่างอัศจรรย์
“ว้าย!!!” ผู้ประสงค์ร้ายร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นปิดตาเพราะว่าศีรษะกำลังจะกระแทกพื้น
ชั่วเวลาคับขันนั้น อกิญจน์เอื้อมมือไปคว้าร่างนางปีกขาวไว้ได้ทัน แต่ไหนจะต้องเอียงหนีการจู่โจมไหนจะต้องหมุนตัวกลับมาช่วย เจ้าลูกครึ่งจึงเสียการทรงตัว หากด้วยกลัวนางจะเป็นอันตรายเขาจึงดึงนางมากอด พลิกร่างหันหลังลงฟาดพื้น
โชคร้ายนัก พื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินแหลมคม แรงเหวี่ยงทำเอาหลังเจ้ายักษ์ครูดไถไปกับพื้นเป็นทางยาว อกิญจน์กัดฟันสกัดกลั้นความเจ็บปวดไม่ยอมร้องออกมา
ทุกอย่างหยุดลงแล้ว เหตุการณ์เหนือความคาดหมายเมื่อครู่เหลือเพียงฝุ่นผงปลิวกระจายคละคลุ้ง อ้อมแขนของผู้ปกป้องคลายออกช้าๆ ก่อนตกลงสู่พื้น
ปณารีที่ยังงุนงงอยู่ค่อยๆ ยันกายลุกนั่ง เอ่ยเรียกร่างที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นเสียงสั่น “อะ...อกิญจน์...” นางกระพริบตาถี่ รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ นี่นางเป็นอันใดไปหนอถึงได้โง่เขลาถึงเพียงนี้ ไม่ควรล้อเล่นพิเรนทร์เลย
“อกิญจน์...ตอบข้า เจ้าต้องไม่เป็นอันใดนะ...อกิญจน์” ปากพร่ำเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาก็มีหยาดน้ำคลอหน่วย นางจับมือหยาบกร้านของรากษสหนุ่มขึ้นมาไว้แนบอก ได้โปรดเถิด...อย่าให้เขาเป็นอันใดไปเพราะนางเลย
และแล้วมือที่นางถือไว้ก็เริ่มขยับ “อกิญจน์!” คราวนี้ปณารีเริ่มยิ้มได้
“ข้า...ไม่เป็นอันใดมากดอก” เสียงอ่อนแรงตอบมา “เพียงแต่รู้สึกหน้ามืดไปเท่านั้น พักสักครู่คงดีขึ้น”
“ข้าขอโทษ...” นางกล่าวด้วยสำนึกผิด ช่วยดึงผู้นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มสำรวจบาดแผลตามร่างกาย “เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง”
เจ้ายักษ์ส่ายศีรษะ แต่มีหรือที่นางมีปีกจะเชื่อ “อย่าโกหกข้า”
“เหตุใดต้องโกหก ลืมแล้วหรือว่าข้าสืบเชื้อสายมาแต่รากษส เท่านี้ไม่หนักหนาดอก” เขายิ้มเยือน
ปณารีรีบสำรวจร่างกายอกิญจน์ หากไม่นับรวมรอยแผลเป็นเก่าๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ทั่วทั้งตัวก็มีเพียงแต่รอยถลอกเท่านั้น เมื่อจนด้วยเหตุผลนางจึงยอมรับ “เอาล่ะ ข้าเชื่อเจ้า”
สองหนุ่มสาวนั่งพักสักครู่ก็ค่ำ หรีดหริ่งเรไรเริ่มขับร้องประสานเสียง ไม่นานไฟกองน้อยก็ก่อขึ้นสร้างความอบอุ่น นางอยากให้อีกฝ่ายได้พักจึงบังคับให้เขานั่งอยู่นิ่งๆ ส่วนตัวเองเป็นผู้เดินไปเก็บฟืนและผลไม้
“กล้วยป่าหวีนี้สุกแล้ว ข้าเก็บมาให้เจ้า กินด้วยกันเถิด”
ฝ่ายที่นั่งอยู่พยักหน้า รับกล้วยมาพร้อมแววตาหม่นแสงเมื่อเห็นนางย่อกายนั่งลงข้างๆ
“เหตุใดเจ้าถึงชอบมองข้าแบบนี้นัก”
คำถามของนางกินรีทำเอาเจ้ายักษ์สะดุ้ง เขาหลบสายตานางก้มลงมองพื้น “แบบใดรึ”
“เออ...” นางครุ่นคิด “ก็เหมือนกับว่า...เจ้ากลัวจะไม่ได้พบข้าอีก...แบบนั้นกระมัง”
อกิญจน์ไม่ยอมตอบคำถาม ได้แต่ทำทีจะขยับออกห่าง
นางปีกขาวเห็นดังนั้นจึงรั้งแขนเขามาเกาะไว้ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลแบบนั้นดอก ดูเถิด...เจ้าดีกับข้าเพียงนี้ เจอข้ากลั่นแกล้งแล้วยังยอมช่วยเหลือจนต้องเจ็บตัว จะอย่างไร ข้าก็จะขอเป็นเพื่อนกับเจ้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์อยู่แล้ว”
“ชั่วกัปชั่วกัลป์นั้นไม่มีดอก” เขาแย้งแล้วหันมามองไปยังสองมือน้อยซึ่งโอบรอบแขนเขาไว้ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “อย่างไรเสียความตายก็ต้องเป็นเครื่องขัดขวาง”
ถ้อยคำดังกล่าวทำนางปีกขาวได้คิด ว่ากันว่าอายุขัยของยักษ์นั้นยาวนานเกินกว่ากินรีหลายเท่า นี่เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ “อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวข้าแก่ตายไปก่อน รอไว้ให้ข้าแก่ชราจนขนร่วงหมดปีกก่อนเถิด เจ้าจะเป็นฝ่ายทิ้งข้าไปเอง”
ส่วนหนึ่งจริงอย่างที่นางกินรีคิดหากหลายส่วนกลับไม่ใช่
อกิญจน์ยิ้มน้อยๆ มองท่าทางออดอ้อนนั้นแล้วปวดใจนัก ให้นางเข้าใจอย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่าให้นางล่วงรู้เลยว่าเขานั้นอยากอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องคุ้มครองนางเพียงใด แต่ลูกครึ่งยักษ์กับนางอัปสรสีหะต่ำศักดิ์อย่างเขา จะเอาเกียรติที่ไหนไปคู่ควรกับนางกินรีแสนงาม...อย่างปณารี