5 ราชนิกุลรากษส
“วู้ววว!!! ฮ่าๆๆ”
ท่ามกลางละอองน้ำอันพัดพวยพุ่งออกมาจากน้ำตกยักษ์กลางป่าหิมพานต์ เสียงตะโกนปนหัวเราะของนางกินรีดังแว่วมาเป็นระยะ ที่เห็นระยิบระยับล้อแสงแดดคือปีกสีขาวหลายคู่ เพราะพวกนางพากันบินฉวัดเฉวียนไปมาก่อนสลัดปีกออกจากร่างให้เพื่อนรับไว้ แข่งกันว่าผู้ใดจะสามารถทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าได้สูงที่สุด
ขวับ!
กินรีน้อยนางหนึ่งพุ่งดิ่งลงมาเร็วปานลูกศรหลุดจากแหล่ง นางหมุนตัวตีลังกาพาร่างตกลงสู่ฟองคลื่นด้วยลีลางดงาม
ดำผุดดำว่ายอยู่สักครู่ ผู้ที่ถือปีกไว้จากท้องฟ้าก็บินลงมาสมทบ
“ปณารี! ทางนี้!”
ปีกสีขาวโยนลงมาในจังหวะเดียวกับที่ร่างใต้น้ำพุ่งตัวขึ้นรับปีกเสียบหลัง
พรึบ! ปีกสีขาวกางออกทันใด ร่างน้อยเหินขึ้นฟ้าในทันที
“พรนภา! ถึงคราเจ้าแล้ว คราวนี้เจ้าต้องกระโดดให้สูงกว่าข้าให้ได้หนา”
แล้วสองนางกินรีก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกรอบ แต่ไม่ทันจะขึ้นไปได้สูงเท่าใดนัก ฝ่ายที่ต้องกระโดดน้ำก็ชิงถอดปีกให้เพื่อนรับเสียแล้ว ปณารีที่รับเอาปีกของพรนภาไว้จึงแอบถอนใจเบาๆ
ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งร้องถาม “เป็นอันใดไปรึ เหตุใดจึงทำหน้าหมดสนุกเช่นนี้เล่า...รีบเล่นเข้าเถิดเดี๋ยวก็ต้องเดินทางกลับกันแล้ว”
ได้ยินคำเตือน นางที่เอาแต่ใจลอยอยู่จึงไม่รอช้า รีบร่อนลงสู่เบื้องล่างคืนปีกให้คู่เล่นของตน
จริงอย่างที่เพื่อนนางบอก...น้ำตกปักษ์สิรินี้อยู่ไกลจากพิมพ์พิมานของนางมาก กว่าจะบินมาถึงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน ยิ่งสำหรับนางรำจากคณะโด่งดังเช่นนางแล้วยิ่งหาโอกาสมาได้ยากเย็นนักเพราะมีงานแสดงติดต่อกันตลอดปี วันไหนว่างยังต้องฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งยังต้องระดมสมองคิดค้นการแสดงใหม่เพิ่มเติม แต่ก็เพราะเหตุนี้คณะของนางจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวางทั่วทั้งหิมพานต์และสวรรค์ชั้นฟ้า
มาวันนี้ท่านแม่ของนางหรือเจ้าของคณะนางรำปาจารีย์พิลาสมีเหตุให้ต้องเดินทางไกลไปที่อื่น นางและพี่น้องจึงมีโอกาสหนีซ้อมมาเล่นน้ำยังน้ำตกยักษ์ฟองนุ่มแห่งนี้ได้ ต่อให้นางทิ้งตัวกระโจนลงมาจากตำแหน่งสูงเพียงใด เมื่อร่างกระทบน้ำก็ไม่เจ็บเลย รีบเล่นรีบกลับตามคำเพื่อนจะดีกว่า เพราะหากมารดากลับมาแล้วไม่เจอพวกนางคงได้พากันถูกเฆี่ยนหลังลายเป็นแน่
“แย่แล้ว!”
จู่ๆ กินรีนางหนึ่งก็บินตรงเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนก นางรีบป่าวร้องบอกเพื่อนๆ “มียักษ์ตนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ รีบหนีเร็วเข้า!”
“หา!”
“กระไรนะ!”
ฝูงนางกินรีพากันตกใจ รีบเกาะกลุ่มบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ตะโกนถามกันไปมา “เป็นไปได้อย่างไร! แถวนี้ไม่เคยมียักษ์นี่นา!”
บุตรีเจ้าของคณะนางรำที่เพิ่งบินตามมาร้องถามเพื่อนบ้าง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ!”
“ข้าเห็นยักษ์!”
ผู้มาแจ้งข่าวกล่าวหน้าตาตื่น “มันกำลังวิ่งมาทางนี้เร็วนัก แต่มันก็เหมือนเป็นบ้า บางทีวิ่งบางทีหยุด บางทีเอาหัวโขกต้นไม้จนหักล้ม น่ากลัวเหลือเกิน พวกเรารีบไปกันเถิด!”
“แต่ยักษ์บินไม่ได้ไม่ใช่รึ กลัวกันไปไย” ปณารีตั้งข้อสังเกต นางดูเหมือนจะใจเย็นที่สุด
“เจ้าแน่ใจรึ เกิดมันเป็นยักษ์มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้เล่าจะว่าอย่างไร เจ้าไม่หนีก็ช่างเถิด แต่ข้าจะไปแล้ว” พรนภาแย้งขึ้นก่อนรีบบินจากไปพร้อมเพื่อนกลุ่มหนึ่ง
ส่วนผู้ที่คิดว่ายักษ์บินไม่ได้ยังไม่ยอมขยับ
“ปณารี น้องไม่ไปรึ” กินรีอีกนางที่ยังรั้งอยู่เข้ามาฉุดแขนถาม
“น้องอยากเห็นยักษ์ตนนั้นว่ามีท่าทีเป็นเช่นไร เหตุใดมันจึงมาเกะกะระรานอยู่แถวนี้ได้น่าสงสัยนัก น้องว่ามันเหาะไม่ได้ดอก หากมันเหาะได้มันจะวิ่งรึ” ปณารีตอบคำถามหากเหมือนครุ่นคิดกับตนเอง
ต้องมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลแน่ สงครามระหว่างยักษ์กับพระรามจบลงนานแล้ว เผ่าพันธุ์รากษสถูกกักบริเวณให้อยู่แต่เฉพาะเกาะลงกา หากต้องการเข้ามาค้าขายหรือทำกิจธุระก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเขตนั้นๆ ก่อน หากมียักษ์ปรากฏกายที่นี่จริงก็ต้องรีบแจ้งให้ผู้รักษาความสงบทราบเพื่อหาทางจับหรือขับไล่ ด้วยหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายต่อชาวหิมพานต์ได้ กระนั้นนางจะต้องไปดูให้รู้แจ้ง
นึกดังนี้บุตรีนางปาจารีย์ก็ไม่รอช้า รีบบินไปในทางที่มีผู้มาแจ้งข่าว ปล่อยให้นางกินรีพี่เลี้ยงร้องตามเสียงหลง
“ปณารี! นั่นน้องจะไปหนใด! รีบกลับมาเถิด!”
ไม่ไกลจากน้ำตกนัก นางผู้กล้าบินโฉบต่ำลงมาเหนือยอดไม้ พบสัตว์ป่าวิ่งแตกตื่นสวนทางมาก็เดาได้ว่ายักษ์ตนนั้นต้องอยู่เบื้องหน้าแน่นอน
โครม!!!
เสียงต้นยางสูงชะลูดโค่นลงทับต้นไม้เล็กล้มระเนระนาด นกป่าฝูงใหญ่แตกตื่นกระพือปีกบินหนีไปคนละทิศละทาง ณ ช่องว่างที่เปิดออกของยอดไม้สูง เห็นมีร่างยักษ์สูงประมาณสี่วาตนหนึ่งกำลังโซเซลุกขึ้น มันคงล้มลงพร้อมต้นยางเมื่อครู่
“อ๊าก!!!”
เมื่อยืนขึ้นได้ก็ร้องโหยหวน ทำท่าตีอกชกตัวเสียงดังลั่น ทำเอานางที่บินอยู่บนฟ้าผวาสั่น แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่มีทีท่าจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ปณารีก็แอบบินตามมาห่างๆ
น่าประหลาดใจนัก...นางเองไม่เคยเห็นยักษ์ก็จริงอยู่ แต่ตามคำบอกเล่า ยักษ์ตัวโตสูงใหญ่กว่านี้ไม่ใช่รึ อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็เชื่องช้า แต่เหตุใดยักษ์ตรงหน้ากลับตัวไม่ใหญ่เท่าใดนัก ซ้ำยังวิ่งได้เร็วรี่ ดีที่มันหยุดเอาหัวชนต้นไม้อยู่บ่อยครั้งนางจึงบินตามทัน มีอยู่คราวหนึ่งมันยกหินก้อนใหญ่ขึ้นทุบศีรษะจนได้แผล เลือดสีแดงข้นกลิ่นคาวจัดไหลลงจากศีรษะเป็นสาย เปรอะเปื้อนใบหน้าดูบูดเบี้ยวชวนสังเวช
ในที่สุดมันก็วิ่งทะลุป่ามาถึงน้ำตก ปีนตะเกียกตะกายขึ้นไปจนถึงชั้นสูงสุดแล้วกระโดดลงไป
“อ๊าก!!!” เสียงตะโกนเหมือนคับแค้นใจถูกกลืนหายไปกับสายน้ำ
ปณารีบินวนเหนือน้ำตกอยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นร่างมันโผล่ขึ้นมาเสียที
“หายไปไหนหนอ...หรือว่าจมน้ำไปเสียแล้ว...” นางปีกขาวอดขันตัวเองไม่ได้ที่นึกเวทนายักษ์ท่าทางดุร้ายตนนั้น “หรือว่ามันโดนกระแสน้ำพัดพาไป” คิดได้ดังนี้จึงบินตามไปทางด้านปลายน้ำอย่างไม่เกรงกลัวว่าอาจถูกยักษ์จับกิน
ไม่นานนักปณารีก็บินตามลำธารมาจนถึงบริเวณน้ำตื้น พบอสูรตนนั้นลอยติดอยู่ระหว่างก้อนหินใหญ่ บนศีรษะยังมีโลหิตแดงคล้ำไหลออกมาปนกับสายน้ำไม่หยุด นางกินรีร่อนลงเกาะต้นไม้สูงริมตลิ่งแอบดู อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้แต่ก็ยังกริ่งเกรง
รอสักครู่ ร่างในน้ำก็ค่อยๆ หดเล็กลงกลายเป็นมาณพน้อยรูปร่างผอมแห้ง มันมีผมยาวสีน้ำตาลทองกระเซอะกระเซิงดูตลก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือมันไม่มีเขี้ยวงอกเลยริมฝีปากออกมาเหมือนยักษ์ทั่วไป นี่หากไม่เห็นกับตาตอนมันหดร่างคงไม่มีทางเชื่อว่ามันคือยักษ์ เพราะขณะนี้มันดูน่าสงสารมากกว่าน่ากลัว
เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวขยับร่างปีนขึ้นไปนั่งหมดแรงบนก้อนหิน ชันเข่าขึ้นกอดแล้วซบหน้าทำท่าเหมือนสิ้นหวัง หากคำกล่าวของมันต่อจากนั้นทำให้นางบนคาคบไม้ใจหายวาบ
“ท่านตามข้ามาด้วยเหตุใด ไม่กลัวข้าจับกินรึ”
ครู่หนึ่งผ่านไป มันเหมือนรู้ว่านางยังหวาดกลัวอยู่ เสียงเล็กแหบแห้งจึงว่าต่อ “ออกมาเถิดท่าน อย่าเกรงกลัวไปเลย ขณะนี้ข้าไม่สามารถทำร้ายผู้ใดได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าสิ่งใดมาดลใจให้ปณารีเชื่อคำพูดนี้ นางตัดสินใจร่อนมาแสดงตนต่อหน้าเจ้ายักษ์ไร้เขี้ยว หากยังรักษาระยะห่างไว้เพื่อดูลาดเลา
คงเป็นเพราะเสียงโบกปีกอยู่ไม่ไกลผู้ที่ดูไม่เหมือนยักษ์จึงเงยหน้าขึ้น มันแสดงแววตาประหลาดใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่ท่านเป็นกินรีรึ ปีกสีขาวของท่านเมื่อสะท้อนกับแสงตะวันช่างงดงามจับตานัก ข้าเพิ่งมีโอกาสได้เห็นกินรีใกล้ๆ ก็คราวนี้”
ฝ่ายถูกชมอมยิ้มละไม นึกแปลกใจตนเองที่ปลาบปลื้มกับคำชมแสนธรรมดานี้ ปกติแล้วนางไม่ใคร่ใส่ใจกับคำเยินยอนักด้วยว่าได้ยินจนชินชา ครั้นเห็นเลือดไหลออกจากแผลไม่หยุดจึงนึกเมตตาโฉบเข้ามาดูใกล้ๆ “เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ...บาดแผลเหมือนไม่ลึกนักแต่เหตุใดจึงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดเล่า ข้าว่าหาสมุนไพรมาห้ามเลือดก่อนจะดีกว่ากระมัง”
ว่าแล้วนางก็บินหายไปในป่า
เมื่อหาสิ่งที่ต้องการพบ นางกินรีก็รีบเก็บว่านใบสีแดงสดกลับมาส่งให้เจ้ายักษ์ “มันชื่อว่าใบกินเลือด มันจะกินเลือดเจ้าไว้ไม่ให้ไหลออกมา”
เจ้ายักษ์ผอมถึงกับบิดสีหน้า มันคงจะรู้ว่าสมุนไพรนี้แม้ช่วยสมานแผลได้รวดเร็วแต่มีฤทธิ์แสบร้อน
เห็นมันชักช้านักนางปีกขาวจึงร่อนลงยืนข้างยักษ์หัวแตก ใกล้เสียจนอีกฝ่ายเกรงใจขยับหนี ท่าทางนี้ทำให้ปณารีอมยิ้มอีกรอบ ต้องเป็นนางไม่ใช่หรือที่กลัวมัน ไม่ใช่ให้มันมากลัวนาง
แล้วปณารีก็เด็ดใบว่านกำมือหนึ่งส่งให้ผู้มีแผล
“เคี้ยวให้ละเอียดแล้วคายออกมาให้ข้า” นางสั่งมันเหมือนผู้ใหญ่สั่งเด็ก ก่อนยกชายกระโปรงซึ่งมีลายปักดิ้นทองขึ้นพิจารณา “ให้ข้าใช้ผ้าชายกระโปรงส่วนนี้พันแผลให้เจ้าเถิดเพราะหนาและเหนียวดี เจ้าคงไม่ถือสานะว่าเป็นชายกระโปรงผู้หญิง” ว่าแล้วก็เอาปากกัดฉีกออกโดยไม่รอคำตอบ
“ข้าไม่กล้าถือสาดอก หากน่าเสียดายชุดของท่านนัก มันช่างงดงาม” อีกฝ่ายตอบหลังคายสมุนไพรใส่ฝ่ามือตน
“ชุดแบบนี้ข้ามีเป็นร้อย ไม่ต้องเสียดายแทนดอก” นางปีกขาวหัวเราะ หยิบก้อนสมุนไพรจากมือเขาโปะลงที่บาดแผล
“โอ๊ย!” ฝ่ายนั่งอยู่เอียงศีรษะขยับหนี
“ต้องแสบเช่นนี้จึงจะหายเร็ว” นางพยาบาลจำเป็นกดฝ่ามือลงบนไหล่คนไข้แทนคำพูดว่าอย่าขยับ จากนั้นก็พันแถบผ้ารอบศีรษะปิดบาดแผลให้เขา ยังไม่ทันเสร็จดีก็ไม่มีเลือดไหลย้อยลงมาอีก
“เสร็จเสียที” ปณารีพิจารณาผลงานตนเองอย่างภูมิใจ ฉีกผ้าอีกส่วนไปชุบน้ำเอามายื่นให้ “เช็ดหน้าเช็ดตาที่เปื้อนเลือดของเจ้าเสียเถิด”
“เออ...” เจ้ายักษ์เงอะงะค่อยๆ ยื่นมือมารับผ้าไปแล้วถามเบาๆ “ข้าเป็นยักษ์ ท่านไม่กลัวรึ”
ปณารีอึกอักด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หากจะตอบความจริงว่าตามมาดูเพื่อหาทางจับก็กระไรอยู่ นางจึงทำเป็นเดินไปข้างหลังมัน รวบเอาผมยาวรุงรังนั่นขึ้นมัดกับชายผ้าพันแผลที่เหลือ
หากเมื่อเจ้ายักษ์เช็ดหน้าเสร็จก็หันกลับมาทวงคำตอบ
“เออแน่ะ!” เจ้าของผ้าพันแผลอุทานเมื่อเห็นดวงตางามดังกวางคู่นั้นชัดเจน “ก็เจ้ามีใบหน้าหมดจดเช่นนี้ จะให้ข้ากลัวได้อย่างไร” ปณารีเฉไฉตอบไปเป็นเรื่องอื่น
คำตอบไม่ตรงประเด็นของนางเหมือนจะทำให้ดวงตากวางกระพริบถี่เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน เขาพึมพำคล้ายละเมอแทบไม่เป็นเสียง “มันต้องเป็นความฝันแน่แล้ว...ความฝันหลอกลวงหลังร่างวิปลาสของข้าสิ้นฤทธิ์ลง ได้โปรดเถิด...อย่าให้ข้าต้องตื่นขึ้นจากความฝันอันปราณีนี้เลย”
“หือ...เจ้าว่ากระไรนะ” เพราะคำพูดแผ่วเบานุ่มนวลนั้นแทบฟังไม่ได้ความ นางกินรีจึงใคร่รู้
“มะ...ไม่ว่ากระไรดอก” แทนที่จะตอบ ผู้ไร้เขี้ยวกลับรีบหลบหน้าหลบตาหันหลังให้นางเสียอย่างนั้น
“เจ้าชื่อกระไรรึ ข้าชื่อปณารี เป็นนางรำกินรีจากคณะปาจารีย์พิลาส”
เมื่อเห็นนางยกปีกขึ้นเพื่อนั่งลงด้านข้างๆ เขาก็ขยับหนีอีกครั้ง “ขะ...ข้าชื่อ...อกิญจน์”
เงียบไปนาน ยักษ์อกิญจน์ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ฝ่ายนางรำจึงชวนสนทนา “เจ้าอยู่แถวนี้รึ”
“ไม่ใช่ดอก ข้าพักอยู่ที่ทุ่งหญ้าไกลออกไป...แย่แล้ว! แม่!” เหมือนเขาเพิ่งนึกสิ่งใดได้จึงรีบลุกกระโดดออกจากก้อนหินสู่ตลิ่ง “ข้าต้องขอลาท่านไปก่อน ขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ!” แม้กำลังวิ่งเขาก็ยังไม่วายตะโกนกล่าวลา
ปณารีตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวที่แสนรวดเร็วนั้น “แท้จริงแล้วเขามาจากเผ่าพันธุ์ใดกันแน่ และเรื่องแม่ของเขานั่นอีก หรือจะมีนางยักษีอยู่แถวนี้ด้วย”
ปีกหิมพานต์...5 ราชนิกุลรากษส
5 ราชนิกุลรากษส
“วู้ววว!!! ฮ่าๆๆ”
ท่ามกลางละอองน้ำอันพัดพวยพุ่งออกมาจากน้ำตกยักษ์กลางป่าหิมพานต์ เสียงตะโกนปนหัวเราะของนางกินรีดังแว่วมาเป็นระยะ ที่เห็นระยิบระยับล้อแสงแดดคือปีกสีขาวหลายคู่ เพราะพวกนางพากันบินฉวัดเฉวียนไปมาก่อนสลัดปีกออกจากร่างให้เพื่อนรับไว้ แข่งกันว่าผู้ใดจะสามารถทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าได้สูงที่สุด
ขวับ!
กินรีน้อยนางหนึ่งพุ่งดิ่งลงมาเร็วปานลูกศรหลุดจากแหล่ง นางหมุนตัวตีลังกาพาร่างตกลงสู่ฟองคลื่นด้วยลีลางดงาม
ดำผุดดำว่ายอยู่สักครู่ ผู้ที่ถือปีกไว้จากท้องฟ้าก็บินลงมาสมทบ
“ปณารี! ทางนี้!”
ปีกสีขาวโยนลงมาในจังหวะเดียวกับที่ร่างใต้น้ำพุ่งตัวขึ้นรับปีกเสียบหลัง
พรึบ! ปีกสีขาวกางออกทันใด ร่างน้อยเหินขึ้นฟ้าในทันที
“พรนภา! ถึงคราเจ้าแล้ว คราวนี้เจ้าต้องกระโดดให้สูงกว่าข้าให้ได้หนา”
แล้วสองนางกินรีก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกรอบ แต่ไม่ทันจะขึ้นไปได้สูงเท่าใดนัก ฝ่ายที่ต้องกระโดดน้ำก็ชิงถอดปีกให้เพื่อนรับเสียแล้ว ปณารีที่รับเอาปีกของพรนภาไว้จึงแอบถอนใจเบาๆ
ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งร้องถาม “เป็นอันใดไปรึ เหตุใดจึงทำหน้าหมดสนุกเช่นนี้เล่า...รีบเล่นเข้าเถิดเดี๋ยวก็ต้องเดินทางกลับกันแล้ว”
ได้ยินคำเตือน นางที่เอาแต่ใจลอยอยู่จึงไม่รอช้า รีบร่อนลงสู่เบื้องล่างคืนปีกให้คู่เล่นของตน
จริงอย่างที่เพื่อนนางบอก...น้ำตกปักษ์สิรินี้อยู่ไกลจากพิมพ์พิมานของนางมาก กว่าจะบินมาถึงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน ยิ่งสำหรับนางรำจากคณะโด่งดังเช่นนางแล้วยิ่งหาโอกาสมาได้ยากเย็นนักเพราะมีงานแสดงติดต่อกันตลอดปี วันไหนว่างยังต้องฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งยังต้องระดมสมองคิดค้นการแสดงใหม่เพิ่มเติม แต่ก็เพราะเหตุนี้คณะของนางจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวางทั่วทั้งหิมพานต์และสวรรค์ชั้นฟ้า
มาวันนี้ท่านแม่ของนางหรือเจ้าของคณะนางรำปาจารีย์พิลาสมีเหตุให้ต้องเดินทางไกลไปที่อื่น นางและพี่น้องจึงมีโอกาสหนีซ้อมมาเล่นน้ำยังน้ำตกยักษ์ฟองนุ่มแห่งนี้ได้ ต่อให้นางทิ้งตัวกระโจนลงมาจากตำแหน่งสูงเพียงใด เมื่อร่างกระทบน้ำก็ไม่เจ็บเลย รีบเล่นรีบกลับตามคำเพื่อนจะดีกว่า เพราะหากมารดากลับมาแล้วไม่เจอพวกนางคงได้พากันถูกเฆี่ยนหลังลายเป็นแน่
“แย่แล้ว!”
จู่ๆ กินรีนางหนึ่งก็บินตรงเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนก นางรีบป่าวร้องบอกเพื่อนๆ “มียักษ์ตนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ รีบหนีเร็วเข้า!”
“หา!”
“กระไรนะ!”
ฝูงนางกินรีพากันตกใจ รีบเกาะกลุ่มบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ตะโกนถามกันไปมา “เป็นไปได้อย่างไร! แถวนี้ไม่เคยมียักษ์นี่นา!”
บุตรีเจ้าของคณะนางรำที่เพิ่งบินตามมาร้องถามเพื่อนบ้าง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ!”
“ข้าเห็นยักษ์!”
ผู้มาแจ้งข่าวกล่าวหน้าตาตื่น “มันกำลังวิ่งมาทางนี้เร็วนัก แต่มันก็เหมือนเป็นบ้า บางทีวิ่งบางทีหยุด บางทีเอาหัวโขกต้นไม้จนหักล้ม น่ากลัวเหลือเกิน พวกเรารีบไปกันเถิด!”
“แต่ยักษ์บินไม่ได้ไม่ใช่รึ กลัวกันไปไย” ปณารีตั้งข้อสังเกต นางดูเหมือนจะใจเย็นที่สุด
“เจ้าแน่ใจรึ เกิดมันเป็นยักษ์มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้เล่าจะว่าอย่างไร เจ้าไม่หนีก็ช่างเถิด แต่ข้าจะไปแล้ว” พรนภาแย้งขึ้นก่อนรีบบินจากไปพร้อมเพื่อนกลุ่มหนึ่ง
ส่วนผู้ที่คิดว่ายักษ์บินไม่ได้ยังไม่ยอมขยับ
“ปณารี น้องไม่ไปรึ” กินรีอีกนางที่ยังรั้งอยู่เข้ามาฉุดแขนถาม
“น้องอยากเห็นยักษ์ตนนั้นว่ามีท่าทีเป็นเช่นไร เหตุใดมันจึงมาเกะกะระรานอยู่แถวนี้ได้น่าสงสัยนัก น้องว่ามันเหาะไม่ได้ดอก หากมันเหาะได้มันจะวิ่งรึ” ปณารีตอบคำถามหากเหมือนครุ่นคิดกับตนเอง
ต้องมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลแน่ สงครามระหว่างยักษ์กับพระรามจบลงนานแล้ว เผ่าพันธุ์รากษสถูกกักบริเวณให้อยู่แต่เฉพาะเกาะลงกา หากต้องการเข้ามาค้าขายหรือทำกิจธุระก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเขตนั้นๆ ก่อน หากมียักษ์ปรากฏกายที่นี่จริงก็ต้องรีบแจ้งให้ผู้รักษาความสงบทราบเพื่อหาทางจับหรือขับไล่ ด้วยหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายต่อชาวหิมพานต์ได้ กระนั้นนางจะต้องไปดูให้รู้แจ้ง
นึกดังนี้บุตรีนางปาจารีย์ก็ไม่รอช้า รีบบินไปในทางที่มีผู้มาแจ้งข่าว ปล่อยให้นางกินรีพี่เลี้ยงร้องตามเสียงหลง
“ปณารี! นั่นน้องจะไปหนใด! รีบกลับมาเถิด!”
ไม่ไกลจากน้ำตกนัก นางผู้กล้าบินโฉบต่ำลงมาเหนือยอดไม้ พบสัตว์ป่าวิ่งแตกตื่นสวนทางมาก็เดาได้ว่ายักษ์ตนนั้นต้องอยู่เบื้องหน้าแน่นอน
โครม!!!
เสียงต้นยางสูงชะลูดโค่นลงทับต้นไม้เล็กล้มระเนระนาด นกป่าฝูงใหญ่แตกตื่นกระพือปีกบินหนีไปคนละทิศละทาง ณ ช่องว่างที่เปิดออกของยอดไม้สูง เห็นมีร่างยักษ์สูงประมาณสี่วาตนหนึ่งกำลังโซเซลุกขึ้น มันคงล้มลงพร้อมต้นยางเมื่อครู่
“อ๊าก!!!”
เมื่อยืนขึ้นได้ก็ร้องโหยหวน ทำท่าตีอกชกตัวเสียงดังลั่น ทำเอานางที่บินอยู่บนฟ้าผวาสั่น แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่มีทีท่าจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ปณารีก็แอบบินตามมาห่างๆ
น่าประหลาดใจนัก...นางเองไม่เคยเห็นยักษ์ก็จริงอยู่ แต่ตามคำบอกเล่า ยักษ์ตัวโตสูงใหญ่กว่านี้ไม่ใช่รึ อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็เชื่องช้า แต่เหตุใดยักษ์ตรงหน้ากลับตัวไม่ใหญ่เท่าใดนัก ซ้ำยังวิ่งได้เร็วรี่ ดีที่มันหยุดเอาหัวชนต้นไม้อยู่บ่อยครั้งนางจึงบินตามทัน มีอยู่คราวหนึ่งมันยกหินก้อนใหญ่ขึ้นทุบศีรษะจนได้แผล เลือดสีแดงข้นกลิ่นคาวจัดไหลลงจากศีรษะเป็นสาย เปรอะเปื้อนใบหน้าดูบูดเบี้ยวชวนสังเวช
ในที่สุดมันก็วิ่งทะลุป่ามาถึงน้ำตก ปีนตะเกียกตะกายขึ้นไปจนถึงชั้นสูงสุดแล้วกระโดดลงไป
“อ๊าก!!!” เสียงตะโกนเหมือนคับแค้นใจถูกกลืนหายไปกับสายน้ำ
ปณารีบินวนเหนือน้ำตกอยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นร่างมันโผล่ขึ้นมาเสียที
“หายไปไหนหนอ...หรือว่าจมน้ำไปเสียแล้ว...” นางปีกขาวอดขันตัวเองไม่ได้ที่นึกเวทนายักษ์ท่าทางดุร้ายตนนั้น “หรือว่ามันโดนกระแสน้ำพัดพาไป” คิดได้ดังนี้จึงบินตามไปทางด้านปลายน้ำอย่างไม่เกรงกลัวว่าอาจถูกยักษ์จับกิน
ไม่นานนักปณารีก็บินตามลำธารมาจนถึงบริเวณน้ำตื้น พบอสูรตนนั้นลอยติดอยู่ระหว่างก้อนหินใหญ่ บนศีรษะยังมีโลหิตแดงคล้ำไหลออกมาปนกับสายน้ำไม่หยุด นางกินรีร่อนลงเกาะต้นไม้สูงริมตลิ่งแอบดู อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้แต่ก็ยังกริ่งเกรง
รอสักครู่ ร่างในน้ำก็ค่อยๆ หดเล็กลงกลายเป็นมาณพน้อยรูปร่างผอมแห้ง มันมีผมยาวสีน้ำตาลทองกระเซอะกระเซิงดูตลก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือมันไม่มีเขี้ยวงอกเลยริมฝีปากออกมาเหมือนยักษ์ทั่วไป นี่หากไม่เห็นกับตาตอนมันหดร่างคงไม่มีทางเชื่อว่ามันคือยักษ์ เพราะขณะนี้มันดูน่าสงสารมากกว่าน่ากลัว
เจ้ายักษ์ไร้เขี้ยวขยับร่างปีนขึ้นไปนั่งหมดแรงบนก้อนหิน ชันเข่าขึ้นกอดแล้วซบหน้าทำท่าเหมือนสิ้นหวัง หากคำกล่าวของมันต่อจากนั้นทำให้นางบนคาคบไม้ใจหายวาบ
“ท่านตามข้ามาด้วยเหตุใด ไม่กลัวข้าจับกินรึ”
ครู่หนึ่งผ่านไป มันเหมือนรู้ว่านางยังหวาดกลัวอยู่ เสียงเล็กแหบแห้งจึงว่าต่อ “ออกมาเถิดท่าน อย่าเกรงกลัวไปเลย ขณะนี้ข้าไม่สามารถทำร้ายผู้ใดได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าสิ่งใดมาดลใจให้ปณารีเชื่อคำพูดนี้ นางตัดสินใจร่อนมาแสดงตนต่อหน้าเจ้ายักษ์ไร้เขี้ยว หากยังรักษาระยะห่างไว้เพื่อดูลาดเลา
คงเป็นเพราะเสียงโบกปีกอยู่ไม่ไกลผู้ที่ดูไม่เหมือนยักษ์จึงเงยหน้าขึ้น มันแสดงแววตาประหลาดใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่ท่านเป็นกินรีรึ ปีกสีขาวของท่านเมื่อสะท้อนกับแสงตะวันช่างงดงามจับตานัก ข้าเพิ่งมีโอกาสได้เห็นกินรีใกล้ๆ ก็คราวนี้”
ฝ่ายถูกชมอมยิ้มละไม นึกแปลกใจตนเองที่ปลาบปลื้มกับคำชมแสนธรรมดานี้ ปกติแล้วนางไม่ใคร่ใส่ใจกับคำเยินยอนักด้วยว่าได้ยินจนชินชา ครั้นเห็นเลือดไหลออกจากแผลไม่หยุดจึงนึกเมตตาโฉบเข้ามาดูใกล้ๆ “เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ...บาดแผลเหมือนไม่ลึกนักแต่เหตุใดจึงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดเล่า ข้าว่าหาสมุนไพรมาห้ามเลือดก่อนจะดีกว่ากระมัง”
ว่าแล้วนางก็บินหายไปในป่า
เมื่อหาสิ่งที่ต้องการพบ นางกินรีก็รีบเก็บว่านใบสีแดงสดกลับมาส่งให้เจ้ายักษ์ “มันชื่อว่าใบกินเลือด มันจะกินเลือดเจ้าไว้ไม่ให้ไหลออกมา”
เจ้ายักษ์ผอมถึงกับบิดสีหน้า มันคงจะรู้ว่าสมุนไพรนี้แม้ช่วยสมานแผลได้รวดเร็วแต่มีฤทธิ์แสบร้อน
เห็นมันชักช้านักนางปีกขาวจึงร่อนลงยืนข้างยักษ์หัวแตก ใกล้เสียจนอีกฝ่ายเกรงใจขยับหนี ท่าทางนี้ทำให้ปณารีอมยิ้มอีกรอบ ต้องเป็นนางไม่ใช่หรือที่กลัวมัน ไม่ใช่ให้มันมากลัวนาง
แล้วปณารีก็เด็ดใบว่านกำมือหนึ่งส่งให้ผู้มีแผล
“เคี้ยวให้ละเอียดแล้วคายออกมาให้ข้า” นางสั่งมันเหมือนผู้ใหญ่สั่งเด็ก ก่อนยกชายกระโปรงซึ่งมีลายปักดิ้นทองขึ้นพิจารณา “ให้ข้าใช้ผ้าชายกระโปรงส่วนนี้พันแผลให้เจ้าเถิดเพราะหนาและเหนียวดี เจ้าคงไม่ถือสานะว่าเป็นชายกระโปรงผู้หญิง” ว่าแล้วก็เอาปากกัดฉีกออกโดยไม่รอคำตอบ
“ข้าไม่กล้าถือสาดอก หากน่าเสียดายชุดของท่านนัก มันช่างงดงาม” อีกฝ่ายตอบหลังคายสมุนไพรใส่ฝ่ามือตน
“ชุดแบบนี้ข้ามีเป็นร้อย ไม่ต้องเสียดายแทนดอก” นางปีกขาวหัวเราะ หยิบก้อนสมุนไพรจากมือเขาโปะลงที่บาดแผล
“โอ๊ย!” ฝ่ายนั่งอยู่เอียงศีรษะขยับหนี
“ต้องแสบเช่นนี้จึงจะหายเร็ว” นางพยาบาลจำเป็นกดฝ่ามือลงบนไหล่คนไข้แทนคำพูดว่าอย่าขยับ จากนั้นก็พันแถบผ้ารอบศีรษะปิดบาดแผลให้เขา ยังไม่ทันเสร็จดีก็ไม่มีเลือดไหลย้อยลงมาอีก
“เสร็จเสียที” ปณารีพิจารณาผลงานตนเองอย่างภูมิใจ ฉีกผ้าอีกส่วนไปชุบน้ำเอามายื่นให้ “เช็ดหน้าเช็ดตาที่เปื้อนเลือดของเจ้าเสียเถิด”
“เออ...” เจ้ายักษ์เงอะงะค่อยๆ ยื่นมือมารับผ้าไปแล้วถามเบาๆ “ข้าเป็นยักษ์ ท่านไม่กลัวรึ”
ปณารีอึกอักด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หากจะตอบความจริงว่าตามมาดูเพื่อหาทางจับก็กระไรอยู่ นางจึงทำเป็นเดินไปข้างหลังมัน รวบเอาผมยาวรุงรังนั่นขึ้นมัดกับชายผ้าพันแผลที่เหลือ
หากเมื่อเจ้ายักษ์เช็ดหน้าเสร็จก็หันกลับมาทวงคำตอบ
“เออแน่ะ!” เจ้าของผ้าพันแผลอุทานเมื่อเห็นดวงตางามดังกวางคู่นั้นชัดเจน “ก็เจ้ามีใบหน้าหมดจดเช่นนี้ จะให้ข้ากลัวได้อย่างไร” ปณารีเฉไฉตอบไปเป็นเรื่องอื่น
คำตอบไม่ตรงประเด็นของนางเหมือนจะทำให้ดวงตากวางกระพริบถี่เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน เขาพึมพำคล้ายละเมอแทบไม่เป็นเสียง “มันต้องเป็นความฝันแน่แล้ว...ความฝันหลอกลวงหลังร่างวิปลาสของข้าสิ้นฤทธิ์ลง ได้โปรดเถิด...อย่าให้ข้าต้องตื่นขึ้นจากความฝันอันปราณีนี้เลย”
“หือ...เจ้าว่ากระไรนะ” เพราะคำพูดแผ่วเบานุ่มนวลนั้นแทบฟังไม่ได้ความ นางกินรีจึงใคร่รู้
“มะ...ไม่ว่ากระไรดอก” แทนที่จะตอบ ผู้ไร้เขี้ยวกลับรีบหลบหน้าหลบตาหันหลังให้นางเสียอย่างนั้น
“เจ้าชื่อกระไรรึ ข้าชื่อปณารี เป็นนางรำกินรีจากคณะปาจารีย์พิลาส”
เมื่อเห็นนางยกปีกขึ้นเพื่อนั่งลงด้านข้างๆ เขาก็ขยับหนีอีกครั้ง “ขะ...ข้าชื่อ...อกิญจน์”
เงียบไปนาน ยักษ์อกิญจน์ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก ฝ่ายนางรำจึงชวนสนทนา “เจ้าอยู่แถวนี้รึ”
“ไม่ใช่ดอก ข้าพักอยู่ที่ทุ่งหญ้าไกลออกไป...แย่แล้ว! แม่!” เหมือนเขาเพิ่งนึกสิ่งใดได้จึงรีบลุกกระโดดออกจากก้อนหินสู่ตลิ่ง “ข้าต้องขอลาท่านไปก่อน ขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ!” แม้กำลังวิ่งเขาก็ยังไม่วายตะโกนกล่าวลา
ปณารีตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวที่แสนรวดเร็วนั้น “แท้จริงแล้วเขามาจากเผ่าพันธุ์ใดกันแน่ และเรื่องแม่ของเขานั่นอีก หรือจะมีนางยักษีอยู่แถวนี้ด้วย”