สวัสดีค่ะ จากส่วนหัวขอขยายความเนอะ
ส่วนตัวอยู่บ้านแม่บุญธรรมที่รับเรามาเลี้ยง ใช้ชีวิตอยู่บ้านนี้มา จนตอนนี้อายุ24ปีละ และแม่บุญธรรมจะชอบดูรายการวันนี้ที่รอคอยมาก กระทู้นี้ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่อยากเสนอแนะมุมมองของเราบ้าง แอบระบายในตัวเท่านั้นเอง
เมื่อตอนเด็ก ตั้งแต่จำความได้ จะโดนยายตีตลอด ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตีกันขนาดนั้น ไปโรงเรียนโดยรถรับส่ง เวลากลับบ้านมาก็จะดักด่า ดักตีละ ซึ่งไม่รู้ว่าเราผิดอะไรขนาดนั้น แล้วต้องแบกรับการทำงานบ้านทุกอย่างตั้งแต่เด็ก หลักๆที่จำได้ก็ตอนป.5นี่ ต้องทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน รีดผ้า ซื้อของซื้อกับข้าวเป็นแล้ว เราเป็นคนโตค่ะ เวลาปรึกษากับใคร เค้าก็ให้มองว่าเพราะเราเป็นลูกผู้หญิงบ้าง ต้องเป็นพี่สาวคนโตบ้าง ซึ่งเราอึดอัดมาก เติบโตมาด้วยความที่ไม่มีใครเข้าใจ เราเป็นคนเงียบๆมาก ผิดกับตอนนี้ นั่นเพราะเราเองตอนอยู่ที่โรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้งต่างๆนาๆ อย่างตอนอนุบาลนี่ รองเท้าหายแทบทุกอาทิตย์เพราะอาจารย์ให้ถอดรองเท้าไว้หน้าห้อง พอออกมาก็เหมือนผึ้งแตกรัง รองเท้าที่เหลือ บางทีก็มีข้างเดียว บางทีก็ผิดคู่ไม่มีใครคืน หายไปเลยก็มี หายจนชิน เคยมีบางครั้งที่ต้องเดินเท้าเปล่าบ้าง ใส่รองเท้าข้างเดียวไปห้องประชาสัมพันธ์ช่วยประกาศให้หลังเลิกเรียน แต่ก็....ไม่มีใครเอามาคืน ต้องตัดใจกลับบ้านทั้งอย่างนั้น เวลากลับมาถึงบ้านก็จะโดนว่า โดนตี จนมีเรื่องกับโรงเรียนบ่อยครั้ง ผู้ปกครองต้องไปร้องเรียนให้ จนครูประจำชั้นเองก็มาลงที่เรา ต่อว่าเราว่าเราสร้างปัญหา เรื่องแค่นี้ทำไมต้องไปฟ้องพ่อด้วย บลาๆๆ ปัญหาตอนอยู่โรงเรียนไม่ได้มีแค่โดนขโมยรองเท้านะคะ มันมีเรื่องโดนไถตังค์บ้าง โดนต่อยแล้วโดนครูตีหนักจนแผลช้ำเขียวบ้าง โดนแกล้งแบบเอากระเป๋าเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างแล้วต้องปีนไปเก็บจนกระโปรงขาดบ้าง โดนขโมยเงินค่าเข้าค่ายที่ต้องจ่ายบ้าง เพราะตอนนั้นเรียนโรงเรียนของรัฐค่ะ อยู่ชานเมืองของกรุงเทพ ครูที่นั่นก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง บางทีมีเรื่องกันก็จับตีทั้งคู่ พูดไรไปก็ไม่ฟัง พอผู้ปกครองร้องเรียนก็มาลงที่เด็กอีก นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังมาลงที่เด็ก อันนี้ก็....ความคิดเกี่ยวกับครูตอนนั้น น่าศรัทธาที่เป็นคนให้ความรู้เท่านั้นเองค่ะ เพราะก็เคยโดนครูลวนลามเหมือนกัน แต่แค่โดนกอด หอมแก้มนะคะ หลังจากนั้นเราก็ไม่หลงเชื่อ ออกห่างมา จนย้ายโรงเรียนเลยหนีตรงนั้นมาได้
หลังย้ายมา ครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยค่ะ หาเช้ากินค่ำ เลยอาศัยกันแบบพอมีพอกิน ที่โรงเรียนว่าศึกหนักแล้ว กลับมาบ้านก็พอกันค่ะ เหมือนความสุขในวัยเด็กแทบไม่มีเลย กลับมาบ้าน สิ่งที่ต้องทำคืองานบ้านจริงๆ จะแว้บไปดูแดจังกึมบ้าง ดูการ์ตูนช่อง3บ้าง ช่วงนั้นตอนเย็นมีรายการสนุกเยอะค่ะ แว้บมาดูเสร็จก็ต้องไปซื้อของต่อ ถ้าดูเพลิน ไม่ไปก็จะโดนตีอีก เป็นแบบนี้กับเราคนเดียวค่ะ กับคนอื่น น้องๆในบ้านไม่เป็น ตอนนั้นมีเราคนโตอย่างที่บอก กับน้องอีกสองคน อยู่กันสามพี่น้องโดยที่เราคอยทำให้ น้องๆก็ทำการบ้านบ้าง เล่นบ้าง ตามประสา หลังทำทุกอย่างเสร็จก็ทำการบ้าน ทำธุระของตัวเอง แล้วถึงจะได้มีเวลาส่วนตัว แต่ก็ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ เพราะเค้าสอนไว้ว่าไม่ให้ไปยุ่ง ไปคุย ไปเล่นกับคนอื่น กับเด็กข้างบ้านก็ไม่ให้เล่นด้วย ตีแบตหน้าบ้านตัวเองยังไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องเลิกแล้ว เพราะถ้าโดนจับได้ก็จะโดนตีอีก ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ให้อดทนนะ อีกหน่อยก็จะดีกว่านี้
แล้วมีเรื่องขึ้นพอดี ตอนม.2 ยายเสียพอดี เนื่องจากไปฟอกไตมาแล้วกลับมาฟื้นตัวที่บ้าน แล้วร่างกายคงรับไม่ไหว เสียที่บ้านด้วยอาการสงบเลย เราก็กลับมารดน้ำศพ ทำพิธีกรรมตามศาสนา เอาศพไปถึงสุพรรณบุรีบ้านเกิดเลย เราทำพิธีและเอากระดูกไว้ที่วัดจังหวัดสุพรรณฯเลย แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพต่อ
ที่กรุงเทพมีบ้านอยู่สองหลังค่ะ พ่อ(ในที่นี้คือตาค่ะ แต่เรียกว่าพ่อมาตั้งแต่เด็ก ที่บอกช่วงแรกว่าฟ้องพ่อนั่นก็คือฟ้องตาค่ะ บ้านนี้เรียกพ่อกับตาว่าพ่อ เรียกแม่ ยาย ป้า ว่าแม่)กับยายเป็นคนสร้างมา หวังว่าในอนาคตจากคนหนีพ่อแม่อย่างตากับยายหนีทวดที่สุพรรณมาเพราะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงานและหนีพิธีแต่งที่ยายโดนจับคลุมถุงชนด้วย ก็มาเช่าบ้านที่กรุงเทพขายพักหาเลี้ยงชีพเลี้ยงลูกไปวันๆจะมีบ้านให้ลูกหลานได้มีที่อยู่ที่พักไว้ซุกหัวนอน บ้านหลังนี้ น้าชายที่เป็นน้องเล็กสุดของบรรดาแม่เราเป็นคนอาศัยอยู่ กิจการบ้านนี้เป็นแม่ค้า พ่อค้าขายผักค่ะ ขายผักกันทั้งตระกูล เราไม่เคยดูถูกอาชีพนี้เลยนะคะ เราภูมิใจด้วยซ้ำ มีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะเงินที่ได้จากการขายผักนี่แหล่ะ ถึงจะมีคนมองว่านี่ลูกแม่ค้าขายผัก ก็ไม่โกรธนะคะ เพราะมันเรื่องจริง น้าชายเรารักเรามาก เหมือนลูกแท้ๆเลย ทั้งๆที่เค้าก็ไม่มีลูก ไม่มีแฟน โสดมาตลอดเลย เราก็ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ แล้วบ้านเก่าก็ปล่อยให้คนเช่าไป บ้านหลังใหม่นี้สะดวกสบาย อาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองนัก แต่การจราจรดีมาก อยากไปไหนก็มีรถไปได้แทบจะทุกสายผิดกับบ้านเก่า มันเจริญมาก แน่นอนว่าเราเองก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วย โรงเรียนใหม่ก็เหมือนเดิมค่ะ แบ่งแยกนักเรียนเรียนดีกับเกเรไว้คนละห้อง เราอยู่ในห้องเรียนดี แต่นักเรียนที่เรียนดีไม่ได้ดีทุกคนค่ะ เจอรับน้องตั้งแต่แรกๆกันเลยทีเดียว สังคมที่โรงเรียนตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจมากมายเลยค่ะ คนที่เราห่วง แคร์ที่สุดคือที่บ้าน พยายามจะไม่มีเรื่องกับใครเพราะไม่อยากให้เดือดร้อนกับคนที่บ้านเหมือนที่ผ่านมา ก็บอกตัวเองให้อดทนไว้ เดี๋ยวก็จบ ก็ถูๆไถๆไปค่ะ ความโตแล้วก็โดนแกล้งแบบโตๆ
ไม่เด็กแล้ว อย่างจิกหัวเราพูดว่ากุเกลียดบ้าง เวลาส่งงานก็โดนขโมยบ้าง อาจารย์ให้เพื่อนในห้องเช็คและใส่คะแนนให้ ก็แกล้งไม่ใส่คะแนนให้เราเลยสักช่อง เป็นเหตุให้โดนอาจารย์มาว่าถึงหน้าแถวแต่สุดท้ายหลักฐานมันก็คาตาค่ะ แต่ไม่สามารถแก้ได้ เพราะถูกตัดเกรดไปแล้วจากเกรดที่ควรจะได้สวยๆก็เปลี่ยนได้แค่จาก0เป็น1 ดีที่ครอบครัวไม่ได้ว่าอะไร มันก็รายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ อย่างเกือบโดนไล่ออกจากบ้านเพราะปั่นจักรยานไปทำโครงงานบ้านเพื่อนถึง1ทุ่มครึ่ง จะโดนโทรตาม โทรจิกตลอด จะคุยกับใครข้าสังคมมีเพื่อนก็ต้องโดนสแกน ด้วยความที่อยากเป็นเด็กดีของที่บ้าน เชื่อฟังพ่อแม่ เค้าสอนมาไงก็ทำตามนั้น บางครั้งนี่ถึงกับเสียเพื่อนเลย ก็อดทนค่ะ คำว่าอดทน คำว่าเป็นเด็กดี คำว่าอย่าดื้อที่ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ในบ้านกับอาจารย์ที่โรงเรียนสอนมา ปฎิบัติเคร่งครัดมาก ไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยเกเรไปมั่วสุม ไปลองยาเสพติด รึกินเหล้าสูบบุหรี่ รึแม้แต่ไปเที่ยวก็ไม่เคยไปค่ะ ชีวิตตอนนั้นคือเด็กอนามัยมาก ไม่เละเทะ ดีที่ว่าคิดได้ตั้งแต่เด็กว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้กับที่บ้าน เพราะเค้าก็เหนื่อยเพื่อเรามามากแล้วก็อยากตอบแทนบ้าง อะไรที่ช่วยได้ ไม่เพิ่มภาระให้ก็อยากจะทำให้ทั้งหมด เรียกได้ว่า อยู่กับครอบครัวแบบรักมาก แต่ก็เกิดหลายๆเรื่องขึ้น ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆ แต่เพราะเหตุการณ์เหล่านี้แหล่ะ ถึงทำให้เราแกร่งได้ถึงตอนนี้ ที่เหลือเดี๋ยวจะมาต่อค่ะ
จากใจคนที่กำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด มารู้ความจริงตอนอายุ20
ส่วนตัวอยู่บ้านแม่บุญธรรมที่รับเรามาเลี้ยง ใช้ชีวิตอยู่บ้านนี้มา จนตอนนี้อายุ24ปีละ และแม่บุญธรรมจะชอบดูรายการวันนี้ที่รอคอยมาก กระทู้นี้ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่อยากเสนอแนะมุมมองของเราบ้าง แอบระบายในตัวเท่านั้นเอง
เมื่อตอนเด็ก ตั้งแต่จำความได้ จะโดนยายตีตลอด ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตีกันขนาดนั้น ไปโรงเรียนโดยรถรับส่ง เวลากลับบ้านมาก็จะดักด่า ดักตีละ ซึ่งไม่รู้ว่าเราผิดอะไรขนาดนั้น แล้วต้องแบกรับการทำงานบ้านทุกอย่างตั้งแต่เด็ก หลักๆที่จำได้ก็ตอนป.5นี่ ต้องทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน รีดผ้า ซื้อของซื้อกับข้าวเป็นแล้ว เราเป็นคนโตค่ะ เวลาปรึกษากับใคร เค้าก็ให้มองว่าเพราะเราเป็นลูกผู้หญิงบ้าง ต้องเป็นพี่สาวคนโตบ้าง ซึ่งเราอึดอัดมาก เติบโตมาด้วยความที่ไม่มีใครเข้าใจ เราเป็นคนเงียบๆมาก ผิดกับตอนนี้ นั่นเพราะเราเองตอนอยู่ที่โรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้งต่างๆนาๆ อย่างตอนอนุบาลนี่ รองเท้าหายแทบทุกอาทิตย์เพราะอาจารย์ให้ถอดรองเท้าไว้หน้าห้อง พอออกมาก็เหมือนผึ้งแตกรัง รองเท้าที่เหลือ บางทีก็มีข้างเดียว บางทีก็ผิดคู่ไม่มีใครคืน หายไปเลยก็มี หายจนชิน เคยมีบางครั้งที่ต้องเดินเท้าเปล่าบ้าง ใส่รองเท้าข้างเดียวไปห้องประชาสัมพันธ์ช่วยประกาศให้หลังเลิกเรียน แต่ก็....ไม่มีใครเอามาคืน ต้องตัดใจกลับบ้านทั้งอย่างนั้น เวลากลับมาถึงบ้านก็จะโดนว่า โดนตี จนมีเรื่องกับโรงเรียนบ่อยครั้ง ผู้ปกครองต้องไปร้องเรียนให้ จนครูประจำชั้นเองก็มาลงที่เรา ต่อว่าเราว่าเราสร้างปัญหา เรื่องแค่นี้ทำไมต้องไปฟ้องพ่อด้วย บลาๆๆ ปัญหาตอนอยู่โรงเรียนไม่ได้มีแค่โดนขโมยรองเท้านะคะ มันมีเรื่องโดนไถตังค์บ้าง โดนต่อยแล้วโดนครูตีหนักจนแผลช้ำเขียวบ้าง โดนแกล้งแบบเอากระเป๋าเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างแล้วต้องปีนไปเก็บจนกระโปรงขาดบ้าง โดนขโมยเงินค่าเข้าค่ายที่ต้องจ่ายบ้าง เพราะตอนนั้นเรียนโรงเรียนของรัฐค่ะ อยู่ชานเมืองของกรุงเทพ ครูที่นั่นก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง บางทีมีเรื่องกันก็จับตีทั้งคู่ พูดไรไปก็ไม่ฟัง พอผู้ปกครองร้องเรียนก็มาลงที่เด็กอีก นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังมาลงที่เด็ก อันนี้ก็....ความคิดเกี่ยวกับครูตอนนั้น น่าศรัทธาที่เป็นคนให้ความรู้เท่านั้นเองค่ะ เพราะก็เคยโดนครูลวนลามเหมือนกัน แต่แค่โดนกอด หอมแก้มนะคะ หลังจากนั้นเราก็ไม่หลงเชื่อ ออกห่างมา จนย้ายโรงเรียนเลยหนีตรงนั้นมาได้
หลังย้ายมา ครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยค่ะ หาเช้ากินค่ำ เลยอาศัยกันแบบพอมีพอกิน ที่โรงเรียนว่าศึกหนักแล้ว กลับมาบ้านก็พอกันค่ะ เหมือนความสุขในวัยเด็กแทบไม่มีเลย กลับมาบ้าน สิ่งที่ต้องทำคืองานบ้านจริงๆ จะแว้บไปดูแดจังกึมบ้าง ดูการ์ตูนช่อง3บ้าง ช่วงนั้นตอนเย็นมีรายการสนุกเยอะค่ะ แว้บมาดูเสร็จก็ต้องไปซื้อของต่อ ถ้าดูเพลิน ไม่ไปก็จะโดนตีอีก เป็นแบบนี้กับเราคนเดียวค่ะ กับคนอื่น น้องๆในบ้านไม่เป็น ตอนนั้นมีเราคนโตอย่างที่บอก กับน้องอีกสองคน อยู่กันสามพี่น้องโดยที่เราคอยทำให้ น้องๆก็ทำการบ้านบ้าง เล่นบ้าง ตามประสา หลังทำทุกอย่างเสร็จก็ทำการบ้าน ทำธุระของตัวเอง แล้วถึงจะได้มีเวลาส่วนตัว แต่ก็ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ เพราะเค้าสอนไว้ว่าไม่ให้ไปยุ่ง ไปคุย ไปเล่นกับคนอื่น กับเด็กข้างบ้านก็ไม่ให้เล่นด้วย ตีแบตหน้าบ้านตัวเองยังไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องเลิกแล้ว เพราะถ้าโดนจับได้ก็จะโดนตีอีก ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ให้อดทนนะ อีกหน่อยก็จะดีกว่านี้
แล้วมีเรื่องขึ้นพอดี ตอนม.2 ยายเสียพอดี เนื่องจากไปฟอกไตมาแล้วกลับมาฟื้นตัวที่บ้าน แล้วร่างกายคงรับไม่ไหว เสียที่บ้านด้วยอาการสงบเลย เราก็กลับมารดน้ำศพ ทำพิธีกรรมตามศาสนา เอาศพไปถึงสุพรรณบุรีบ้านเกิดเลย เราทำพิธีและเอากระดูกไว้ที่วัดจังหวัดสุพรรณฯเลย แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพต่อ
ที่กรุงเทพมีบ้านอยู่สองหลังค่ะ พ่อ(ในที่นี้คือตาค่ะ แต่เรียกว่าพ่อมาตั้งแต่เด็ก ที่บอกช่วงแรกว่าฟ้องพ่อนั่นก็คือฟ้องตาค่ะ บ้านนี้เรียกพ่อกับตาว่าพ่อ เรียกแม่ ยาย ป้า ว่าแม่)กับยายเป็นคนสร้างมา หวังว่าในอนาคตจากคนหนีพ่อแม่อย่างตากับยายหนีทวดที่สุพรรณมาเพราะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงานและหนีพิธีแต่งที่ยายโดนจับคลุมถุงชนด้วย ก็มาเช่าบ้านที่กรุงเทพขายพักหาเลี้ยงชีพเลี้ยงลูกไปวันๆจะมีบ้านให้ลูกหลานได้มีที่อยู่ที่พักไว้ซุกหัวนอน บ้านหลังนี้ น้าชายที่เป็นน้องเล็กสุดของบรรดาแม่เราเป็นคนอาศัยอยู่ กิจการบ้านนี้เป็นแม่ค้า พ่อค้าขายผักค่ะ ขายผักกันทั้งตระกูล เราไม่เคยดูถูกอาชีพนี้เลยนะคะ เราภูมิใจด้วยซ้ำ มีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะเงินที่ได้จากการขายผักนี่แหล่ะ ถึงจะมีคนมองว่านี่ลูกแม่ค้าขายผัก ก็ไม่โกรธนะคะ เพราะมันเรื่องจริง น้าชายเรารักเรามาก เหมือนลูกแท้ๆเลย ทั้งๆที่เค้าก็ไม่มีลูก ไม่มีแฟน โสดมาตลอดเลย เราก็ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ แล้วบ้านเก่าก็ปล่อยให้คนเช่าไป บ้านหลังใหม่นี้สะดวกสบาย อาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองนัก แต่การจราจรดีมาก อยากไปไหนก็มีรถไปได้แทบจะทุกสายผิดกับบ้านเก่า มันเจริญมาก แน่นอนว่าเราเองก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วย โรงเรียนใหม่ก็เหมือนเดิมค่ะ แบ่งแยกนักเรียนเรียนดีกับเกเรไว้คนละห้อง เราอยู่ในห้องเรียนดี แต่นักเรียนที่เรียนดีไม่ได้ดีทุกคนค่ะ เจอรับน้องตั้งแต่แรกๆกันเลยทีเดียว สังคมที่โรงเรียนตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจมากมายเลยค่ะ คนที่เราห่วง แคร์ที่สุดคือที่บ้าน พยายามจะไม่มีเรื่องกับใครเพราะไม่อยากให้เดือดร้อนกับคนที่บ้านเหมือนที่ผ่านมา ก็บอกตัวเองให้อดทนไว้ เดี๋ยวก็จบ ก็ถูๆไถๆไปค่ะ ความโตแล้วก็โดนแกล้งแบบโตๆ
ไม่เด็กแล้ว อย่างจิกหัวเราพูดว่ากุเกลียดบ้าง เวลาส่งงานก็โดนขโมยบ้าง อาจารย์ให้เพื่อนในห้องเช็คและใส่คะแนนให้ ก็แกล้งไม่ใส่คะแนนให้เราเลยสักช่อง เป็นเหตุให้โดนอาจารย์มาว่าถึงหน้าแถวแต่สุดท้ายหลักฐานมันก็คาตาค่ะ แต่ไม่สามารถแก้ได้ เพราะถูกตัดเกรดไปแล้วจากเกรดที่ควรจะได้สวยๆก็เปลี่ยนได้แค่จาก0เป็น1 ดีที่ครอบครัวไม่ได้ว่าอะไร มันก็รายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ อย่างเกือบโดนไล่ออกจากบ้านเพราะปั่นจักรยานไปทำโครงงานบ้านเพื่อนถึง1ทุ่มครึ่ง จะโดนโทรตาม โทรจิกตลอด จะคุยกับใครข้าสังคมมีเพื่อนก็ต้องโดนสแกน ด้วยความที่อยากเป็นเด็กดีของที่บ้าน เชื่อฟังพ่อแม่ เค้าสอนมาไงก็ทำตามนั้น บางครั้งนี่ถึงกับเสียเพื่อนเลย ก็อดทนค่ะ คำว่าอดทน คำว่าเป็นเด็กดี คำว่าอย่าดื้อที่ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ในบ้านกับอาจารย์ที่โรงเรียนสอนมา ปฎิบัติเคร่งครัดมาก ไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยเกเรไปมั่วสุม ไปลองยาเสพติด รึกินเหล้าสูบบุหรี่ รึแม้แต่ไปเที่ยวก็ไม่เคยไปค่ะ ชีวิตตอนนั้นคือเด็กอนามัยมาก ไม่เละเทะ ดีที่ว่าคิดได้ตั้งแต่เด็กว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้กับที่บ้าน เพราะเค้าก็เหนื่อยเพื่อเรามามากแล้วก็อยากตอบแทนบ้าง อะไรที่ช่วยได้ ไม่เพิ่มภาระให้ก็อยากจะทำให้ทั้งหมด เรียกได้ว่า อยู่กับครอบครัวแบบรักมาก แต่ก็เกิดหลายๆเรื่องขึ้น ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆ แต่เพราะเหตุการณ์เหล่านี้แหล่ะ ถึงทำให้เราแกร่งได้ถึงตอนนี้ ที่เหลือเดี๋ยวจะมาต่อค่ะ