ความในใจของคนเป็นครูที่ใครๆ อาจจะไม่ชอบใจ

         สวัสดีค่ะทุก ๆ คน ก่อนอื่นขออภัยถ้าแท็กไม่ถูกห้อง เพราะไม่ค่อยได้ตั้งกระทู้อะไร ส่วนมากเป็นคนที่ชอบอ่านมากกว่าน่ะค่ะ จริงๆ แล้วมีอีก 1 บัญชี แต่ไม่ได้ใช้อีเมล์นั้นแล้วเลยสมัครใหม่ค่ะ
 
        อย่างแรกเลย..ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ เรานั่งอยู่ในห้องทำงานหลังเลิกเรียน และแน่นอน อ่านจากหัวข้อกระทู้ทุกท่านก็คงทราบกันดีว่า เราเป็นครูค่ะ เป็นครูผู้ช่วย ที่อีก 3 เดือนกว่าๆ ก็ครบ 2 ปีและจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นครูคศ.1 แล้ว เรามีเรื่องดราม่ามากมายเกี่ยวกับอาชีพของเราที่เราอยากจะระบายเป็นเรื่อง ๆ ไป ส่วนมากก็จะเป็นปัญหาเดิมๆ แต่อาจจะเจอกระทู้ของคุณครูทั้งเก่าและใหม่ท่านอื่นๆ แต่ก็อาจจะมีประเด็นที่แตกต่างบ้าง ให้คำแนะนำได้ แต่เบาๆ นะคะ (เราอ่อนไหวมาก ๆ ค่ะ) เน้นอยากระบายเป็นหลัก เรื่องขอคำแนะนำเอาเป็นเรื่องเสริม อยากได้กำลังใจมาก ๆ ค่ะ เหนื่อยมาก TT 
 
        เราเกิดและโตค่อนข้างอยู่ชนบทค่ะ พ่อแม่ ญาติพี่น้องเราเป็นครูเกือบหมด เราเลยไม่ชอบอาชีพนี้ เราไม่ชอบเด็ก ไม่ชอบอะไรหลายๆ อย่าง ไม่เคยคิดอยากจะเป็นครู แต่ด้วยโชคชะตาหรืออะไรหลายๆ อย่าง ก็ได้มาเป็น เพราะสมัครงานอะไรก็ไม่เคยโดนเรียกเลย แต่สอบบรรจุรับราชการครั้งเดียวติดเลย ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือแค่คืนเดียว 
 
        แต่พอเราบรรจุแล้ว เราก็ไม่เชิงกดดัน ไม่เจอดราม่าเรื่องสังคมในโรงเรียนหรือเครียดกับระบบงานอะไรนะคะ ถึงเราจะไม่อยากเป็นตั้งแต่แรก แต่เราก็สามารถทำหน้าที่ของเราได้ดี เราก็พยายามรักในอาชีพที่เราทำ ก่อนที่เราจะสอบบรรจุ เราก็เคยไปเป็นครูอัตราจ้างสองโรงเรียน ไม่นับไปเป็นวิทยากร ไปเป็นผู้ช่วย หรือไปสอนช่วยแม่ สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่เราก็รู้สึกปกติ สนุกดี ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เรื่ืองที่เราเครียดส่วนมากคือโรงเรียนที่เราได้บรรจุค่ะ และเป็นเรื่องนักเรียนค่ะ  เป็นโรงเรียนประถมนะคะ สอนป.1-6
 
         "นักเรียนเยอะ" อาจจะเป็นที่ตัวเราเองที่ปรับตัวไม่ทันหรืออย่างไร โรงเรียนที่เคยสอนมีเด็ก 1 ห้องไม่เกิน 20 คน แต่โรงเรียนนี้ 1 ห้อง ราวๆ 30 คน แต่ละห้องจะมีเด็กผู้หญิงไม่ถึง 10 นอกนั้นผู้ชายหมดเลยค่ะ และผู้ชายก็มักจะดื้อกว่าผู้หญิง การควบคุมเด็กหรือบริหารจัดการห้องเรียนจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก บางทีก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งมันทำให้เราเหนื่อยมาก
 
      ปัญหาของข้อที่ 1 จะไม่เกิดเลยถ้านักเรียนไม่ดื้อ แต่ดื้อของเรานี่คือ ดื้อนรกแตก ดื้อแบบอันธพาล ด้วยความที่เราตัวเล็ก สูงแค่ 150 อายุ 24-25 แถมเป็นคนใจดี เด็กก็จะไม่เกรงกลัวเลย จริงๆ เราก็ไม่อยากให้เด็กกลัว แต่อยากให้เด็กเคารพ แต่เด็กโรงเรียนนี้ 90% ไม่เคารพครูบาอาจารย์ จะมีเพียงอาจารย์ท่านเดียวเท่านั้นที่เด็กกลัว ย้ำ! กลัวนะคะ ไม่ใช่เคารพ เพราะท่านตีโหดมาก นอกนั้นอย่าว่าแต่เราที่ตัวเล็ก แม้แต่ครูอาจารย์แม่ที่ดุๆ หน่อย เด็กก็ไม่เคารพค่ะ มาถึงข้อนี้ก็ขออนุญาตระบายหน่อยนะคะ สังคมที่เราอยู่ มียาเสพติดค่ะ พ่อแม่และครอบครัวมักจะใช้ความรุนแรงกับเด็กเป็นปกติ ใช้คำหยาบคาย ใช้การตีแรงๆ และเป็นสังคมแบบพ่อแม่รังแกฉันค่ะ บางครอบครัวพ่อแม่โดนจับคดียา ปล่อยลูกหลานไว้กับตายายที่ปล่อยปละละเลยใช้ความรุนแรง  บางครอบครัวก็คลอดไว้แล้วก็หายไปเลยก็มี ส่วนมากใช้เงินเลี้ยงลูก บอกเลยว่าสังคมครอบครัวมีผลต่อนิสัยเด็กมากกว่าที่โรงเรียน เพราะไม่ว่าครูบาอาจารย์จะสอนหรือปลูกฝังเท่าไหร่มันก็ไม่เท่าทีบ้าน มันทำให้เราและครูอาจารย์ทุกคนเหนื่อยมากๆ 
     - เด็กทิ้งขยะไม่เป็นที่ จะทิ้งลงถังเฉพาะตอนครูเห็นเท่านั้น ถ้าครูไม่อยู่ เด็กจะทิ้งขยะลงบนพื้น แม้แต่ขยะชิ้นโต ๆ ก็ทิ้ง กินตรงไหนทิ้งตรงนั้น ครูผู้มากประสบการณ์วัยเกษียณท่านยังยอม เพราะสอนและปลูกฝังเขามาตั้งแต่เล็ก แต่กลับบ้านพ่อแม่เขาไม่สอน (หมายถึงหลายครอบครัวค่ะ ส่วนมากด้วย สังเกตจากการไปเยี่ยมบ้าน แต่ละบ้านคือรกมาก ใช้คำว่าซกมกสกปรกก็ได้)
     - เด็กไม่เห็นค่าของสิ่งของและเงินค่ะ แม้แต่ทำหล่นต่อหน้าครู บอกให้เขาเก็บ เขาจะปฏิเสธทันทีว่าจะไม่ใช่ของเขา หรือถ้าเขาไม่ปฏิเสธ เขาจะบอกว่าไม่เก็บหรอกผมขี้เกียจ ผมมีเยอะ
     -เด็กแต่ละห้อง สนใจเรียนอยู่ประมาณ2-5 คน ไม่ว่าครูจะจัดกิจกรรมสนุกสนาน มีสื่อหลากหลาย น่าสนใจขนาดไหน (ซึ่งถ้าเราสมัยเด็กเราจะชอบมากๆ) ครูไม่ได้จัดการเรียนการสอนแบบเครียดอะไรเลย เพราะครูก็ยุคใหม่กันหมดแล้ว แต่ฟีดแบคคือ ผมไม่อยากเล่น ผมขี้เกียจ ไร้สาระ ปัญญาอ่อน ฯลฯ นี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กอายุ 7-12
     -เมื่อทำผิด ครูมีวิธีและบทลงโทษเช่น ให้คัดเพิ่ม หรือหักคะแนน หรือวิ่งรอบสนาม เขาจะถามทันทีว่า ถ้าเขาไม่ทำเขาจะโดนอะไร เขาขอถูกตีแทนได้มั้ย เขาขี้เกียจ เขาไม่อยากทำงาน เพราะถ้าโดนตีก็แค่เจ็บ แต่ไม่เหนื่อย นี่คือเด็กพูดออกจากปากจริงๆ เลยนะคะ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ 
        -เด็กหลายคนแตะต้องไม่ได้เลยค่ะ ผู้ปกครองก็จะมาโวยวายที่โรงเรียนอย่างงู้นอย่างงี้ เลี้ยงลูกหลานแบบตามใจมาก นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้ ไปเข้าค่ายคุณธรรมอยู่ไม่ได้ร้องไห้งอแงจะกลับบ้านเอาตอนดึกๆ ครูก็จ้าละหวั่นพาไปส่งกลับเพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้ปกครอง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงที่เราควรทำคือสอนให้เขาอดทน สอนให้เขาอยู่สังคมร่วมกับคนหมู่มากหรือปรับตัวกับสถานที่ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ
        สำหรับคนนุ่มนิ่มน่ารัก ใจดีพูดจาอ่อนหวานอย่างเรา การดุแบบใช้เหตุผล ไม่สามารถทำอะไรเด็กพวกนี้ได้ การตีเบาๆ หรือการใช้เทคนิคทางจิตวิทยาสอนให้เด็กรู้ว่าตัวเอง ทำให้สำนึกผิด ก็ใช้ไม่ได้ การจัดการเรียนการสอนให้สนุกสนานก็ใช้ไม่ได้ เพราะเขาจะบอกว่าขี้เกียจตั้งแต่ก่อนเริ่มซะอีก จนบางทีเราก็ท้อใจค่ะ ถ้าภาษาอีสานเขาจะบอกว่า “เป็นนำเปิงบ้าน” คือเป็นเฉพาะที่ เฉพาะหมู่บ้าน เราเป็นครูอัตราจ้างมาปีกว่าๆ สอนมาหลายโรงเรียน บอกเลยว่าจำนวนเด็กมีผลน้อยมากๆ ต่อการควบคุมชั้นเรียน พื้นฐานนิสัยเด็กที่ถูกฝึกมาจากบ้านมากกว่าที่มีผล เราเคยโมโหจนตีเด็กไปสุดแรงครั้งนึง นั่นคือโมโหมากๆ นะคะ แต่ไม่ได้ตีจุดสำคัญหรือใช้อารมณ์แบบในข่าว เราใช้ไม้แส้นี่แหละค่ะ ให้กอดอกแล้วตีตูด แต่ยอมรับว่าตีสุดแรงเกิดจริงๆ แต่เด็กหัวเราะเฉยแล้วบอกว่า “ครูตีเบามาก ยายผมตีแรงกว่านี้ ยายตีเหมือนจะฆ่าผม ครูตีแค่นี้ สบายมาก” ประโยคนี้มันทำให้เราอยากทรุดลงร้องไห้กับพื้น เราไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ เช่นปัญหาในครอบครัวในชุมชนที่ส่งผลกับเด็กได้เลย 
       สุดท้ายแล้ว อยากจะบอกว่าที่เราบ่นๆ เหนื่อยและท้อใจอาจจะเป็นเพราะโรงเรียนเก่าที่เราเคยอยู่ เด็กน่ารักมาก เขาถูกสอนมาดี เขาน่ารักมีมารยาท มีน้ำใจ ตั้งใจเรียน โดยที่ครูไม่จำเป็นต้องดุหรือปลูกฝังอะไรเลย แต่พอบรรจุแล้วได้มาอยู่ในสังคมนรกแตกแบบนี้ บอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะงานที่หายาก เราคงลาออกไปนานแล้ว ตอนนี้ความสุขของเราเปลี่ยนไปแล้วค่ะ จากที่แต่ก่อนชอบสอนเด็ก(ที่โรงเรียนเก่า) ตอนนี้ถ้ามีงานอะไรเข้ามาแทรกเช่นประชุมหรืออบรม เราจะดีใจมากที่เราไม่ต้องสอนเด็ก เราเบื่อ เราหน่ายกับอะไรหลายๆ อย่าง สังคมครูด้วยกันเราพอทน แต่เราเจอนักเรียนแบบนี้ เราท้อใจจริงๆ ล่าสุดก่อนจะตั้งกระทู้ คือเล่นเปิดปิดประตูกัน ก็เลยบอกเขาไปว่า อย่าเล่นประตูลูก เปิดออกกว้างๆ แต่เราต้องบอกอยู่ประมาณ 5 ครั้ง สุดท้ายก็ยังหูทวนลม ต้องลุกไปดุให้ถึงที่และไล่ออกจากห้องไป มันเสียสุขภาพจิตสุดๆ เลย
        ตอนนี้ได้แต่ทำใจและทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีที่สุดไปวันๆ ค่ะ เพราะเราก็พยายามท่องไว้ว่า เราทำดีที่สุดแล้ว ครูท่านอื่นๆ ก็ทำดีที่สุดแล้ว แม้แต่ครูที่สอนมาจนจะเกษียณก็ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเราที่เป็นครูบรรจุใหม่ การทำงานในโรงเรียน การใช้หลักจิตวิทยาต่างๆ ที่เราต่างไปเรียน ไปศึกษา หรือถูกเขียนไว้ในตำรา บอกเลยว่า มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อปัจจัยด้านอื่นๆ สนับสนุนร่วมด้วยเท่านั้น 
                ก่อนไปขอฝากอะไรอย่างนะคะ “นักเรียนไม่ใช่ผ้าขาวเพราะต่อให้เขาเป็นเด็ก เขาก็ถูกแต่งแต้มสีสันมาจากที่บ้านแล้ว ครูซักไม่ออกหรอกค่ะ มันไม่เหมือนผ้าใหม่ เพราะผู้ปกครองใช้สีหลากหลายประเภทในการระบายลงไป” ใครที่บอกว่าเด็กก็ยังเป็นเด็ก แสดงว่าคุณยังไม่เจอเด็กประถมที่อันธพาล ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด พยายามจะกระทำชำเราเด็กประถมด้วยกัน ใช้มีด ใช้ปืน ฯลฯ ก่อนเป็นครูเราก็โลกสวยว่าทุกอย่างแก้ไขได้ แต่พอมาเป็นครูจริงๆ แล้วยอมรับว่าเด็กนรกมีจริง เฮ้ออออ กลับบ้านก่อนนะคะ เหนื่อย!! ขอบคุณที่มาอ่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่