สวัสดีครับทุกคน สำหรับใครที่หลงเปิดกระทู้นี้เข้ามาแล้ว อย่าเพิ่งรีบปิดนะครับ อ่านต่อกันให้จบก่อน ^^ ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ผมไปเที่ยวมาก็หลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทใครไปไหนไปด้วย รู้รายละเอียดมากสุดแค่ นัดเจอกันที่ไหน ไปไหน กี่วัน แค่นั้น แล้วที่เหลือก็แล้วแต่เค้าจะพาไป ไปไหนก็ได้ไปด้วย แต่ทริปนี้เป็นทริปแรกที่อยากจะทำตัวให้มีสาระบ้าง ก็เลยถือโอกาสกลับมารีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ซึ่งอย่างว่ามันก็เป็นรีวิวแรกของผมนะครับ หากอ่านจบแล้วหากมีใครจะช่วยเพิ่มเติม หรือชี้แนะตรงไหน จัดมาได้เลยนะครับ เผื่อเที่ยวคราวหน้าขยันๆจะได้เอามาเขียนเล่าให้ฟังกันอีก (เพิ่งจะรู้ว่าการจะทำอะไรที่มีสาระซักที มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ปกติได้แต่อ่านกระทู้ชาวบ้านเพลินๆ พอมาเขียนเอง ไม่คิดเลยว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้ 555+)
ปล.กระทู้อาจจะยาวนิดนะครับ เน้นรูปดูกันไปเพลินๆ เขียนไม่ค่อยเป็น ใช้รูปเป็นตัวเล่าเรื่อง กระตุ้นต่อมอยากกันไป
ให้ 100 ภาพ + 1 ใบสรุปการเดินทาง พาคุณไปเที่ยว ABC กัน
อุปกรณ์ของผม : Nikon D750 /14-24/24-120/80-200 , iPhone7+
Trekking คืออะไร
พูดง่ายๆแบบสั้นๆและได้ใจความ ก็คือ การเดิน(ไปเรื่อยๆ)เพื่อขึ้นไปชมวิวที่จุดหมายปลายทาง เพียงแต่ว่า จุดหมายปลายทางแต่ละที่ มันใช้เวลาในการเดินไปถึงไม่เท่ากัน อย่างทริปนี้ เราแพลนไว้ว่า เราจะ trek กันทั้งหมด 9 วัน คือ เดินขึ้น 5 วัน พัก 1 วัน เดินลง 3 วัน (การเดินขึ้น ABC จริงๆ แล้วก็มีหลายทางอยู่ จำนวนวันก็อาจจะต่างกัน ตามแต่ละคนจะแพลน อยากเดินเร็ว เดินช้า เดินไล่ควาย เดินทอดน่อง เดินฉุยฉาย ก็ตามแต่ตกลงกันเลยครับ ลองคุยและปรึกษากับไกด์ดูได้)
อยู่ดีดีมาได้ยังไง
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นจากที่ปีที่แล้ว มีพี่ที่ผมรู้จักคนนึงชวนไปเทรคกิ้ง ที่เนปาล route : Mardi Himal คือแบบว่า ไม่รู้จักหรอก ทั้งชีวิตไม่เคยจะไป เทรคกิ้งอะไรกับเค้าซักครั้ง แต่คือแบบว่า ยังไม่ทันที่สมองจะได้คิดอะไรก็ตอบตกลงไปในทันที พร้อมจองตั๋ว โดยที่ไม่ได้เช็คอะไรทั้งนั้นว่าไปที่ไหน เป็นยังไง พอใกล้ๆวันไปก็เริ่มมาหาข้อมูลดูว่า เทรคกิ้งมันคืออะไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง เสิร์ซปุ๊ปก็มาเต็มไปหมด AMS เอย แพ้ความสูงเอย ความลำบากตรากตรำ บลาๆๆ แต่ทำได้ไง จองไว้แล้ว เราก็เลยต้องไป แต่ก็ไปแบบงงๆ แต่หลังจากที่ไปแล้ว ก็พบว่า มันสวยมากกกกก และก็เหนื่อยมากเช่นกัน ตอนเดินก็คิดๆๆๆ กรูมาทำไมว้า แต่พอกลับมา ดันกลับมีความรู้สึกอยากไปอีก อีกอย่างนึงคือ Route ที่ผมไปคราวที่แล้ว เป็น route สั้นๆ เค้าบอกว่ามันเป็น route คู่ขนานกับ ABC ซึ่งไม่ค่อยสวยงาม อลังการเท่า ABC ตอนนั้นก็เลยจำไว้ พอมาปีนี้ พี่ที่เคยไปด้วยกันเมื่อปีที่แล้วก็มาชวนไป ABC ด้วย … ไม่ต้องคิดเลยครับ ไขสันหลังของผมก็สั่งให้ปากตอบตกลงไปทันที พร้อมจองตั๋วเช่นเคย (จองตั๋วล่วงหน้านานๆ ถูกกว่ายเอะนะครับ) ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปกับไกด์คนเดิม (Beg Ale นี่คือชื่อของไกด์ผม บริการดีระดับโลก เอาไว้เดี๋ยวเอาไว้ค่อยๆเล่าให้ฟังนะครับ) เอาหล่ะพอจองตั๋วเสร็จแล้ว เราก็มาเริ่มกันเลย
ABC ไม่ใช่ Paragon ก่อนมาต้องเตรียมตัวกันมาก่อนบ้างอะไรบ้าง
การเดิน Trekking โดยเฉพาะ Route ABC เป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะคนไทย ในช่วงสงกรานต์ (วันหยุดยาวของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย 555+) สังเกตุจากช่วงที่ผมไป มีแต่คนไทยทั้งนั้น แทบจะเรียกว่า 60% เลยก็ว่าได้ เดินกันให้ขวักไขว่ เต็มไปหมด รีวิวในพันทิปก็เยอะแยะมากมาย แต่ผมบอกได้เลยว่า รีวิวมันไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของของจริงเลยนะครับ ของจริงนี่มันอลังการกว่า และ เหนื่อยกว่ามาก ช่วงโหดๆมันก็มี แต่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นรูปจากรีวิวหรอก เพราะคนเดินก็คงกำลังต้องเอาชีวิตรอดกันก่อน กล้องเนี่ยเก็บไปเลย 555+ ทางเดินบางจุดมันก็โคตรจะชัน แต่พอถ่ายรูปออกมา มันก็ดูไม่ได้ชันเท่าไหร่ ดังนั้นการไปเห็นด้วยตาตัวเองเนี่ยจะเป็นการดีที่สุด เตรียมพร้อมร่างกายรอกันเลยนะครับ สำหรับใครที่มีเพลนจะไป ออกกำลังกาย เยอะๆ ฝึกเดินเข้าไว้ เท่าที่ผมได้ยินมา ส่วนใหญ่ ABC คนจะนิยมไปกันอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม แล้วก็ช่วง ตุลาคม-พฤศจายน ซึ่งช่วงที่ผมไป ก็คือ 6-17 เมษายน ซึ่งช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงที่เรียกว่าปลายหน้าหนาวของเนปาลเลยครับ อุณหภูมิก็จะไม่ได้หนาวเหมือนตอนหน้าหนาวจริงๆ แต่ว่าอากาสค่อนข้างจะแปรปรวนมากเลยทีเดียว ดังนั้น ก็ลุ้นเอาครับ ว่าแต่ละวันจะได้เจอกับอะไรบ้าง ร้อน ฝน ลูกเห็บ หิมะ มากันให้ครบ ฟ้าจะเปิดมั๊ย ภูเขาจะโผล่มาให้เห็นมั๊ย หรือจะเดินขึ้นไปเจิแต่ฟ้าขาวๆ อันนั้นก็แล้วแต่บุญและวาสนาของแต่ละคนครับ อย่าลืมทำบุญกันก่อนไปด้วยนะครับ 555+ ส่วนช่วงตุลาคม เป็นไงอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินว่า หิมะยังไม่มา แต่ฟ้ามีโอกาสจะเปิดมากกว่า แต่อย่างว่า มนุษย์เงินเดือน กับการลายาวๆขนาดนี้ ก็เป็นอันตกรอบไปครับ สำหรับผม
เก็บของยัดใส่กระเป๋า
เบื้องต้นก็ต้องบอกก่อนเลยว่า ทริปของเรามีลูกหาบครับ ในการจัดกระเป๋าก็ให้นึกไว้ได้เลยว่า เราจะต้องมีกระเป๋าซักสองใบ คือ ใบแรกเป็นใบที่ใส่สัมภาระให้ลูกหาบถือ ส่วนอีกใบก็จะเป็นกระเป๋าใบเล็กๆซึ่งเอาไว้เราสะพายไประหว่างเดินเทรคเอาไว้ใส่ของจุกจิกและจำเป็นต้องใช้ระหว่างวัน ซึ่งผมเป็นคนที่แบกกล้องถ่ายรูป ดังนั้นกระเป๋าผมก็จะมีอยู่สองใบ คือ กระเป๋าสัมภาระ กับ กระเป๋ากล้อง ที่สามารถใส่ของจุกจิกลงไปได้เพื่อใช้ระหว่างวัน ซึ่งไปไปมาๆแล้ว มันเบากว่ากันไม่เท่าไหร่ T_T
ส่วนในกระเป๋า/สิ่งที่ต้องเตรียม ควรจะต้องมีอะไรบ้าง เรามาลองดูกันครับ
1. เสื้อผ้า :
- เสื้อ(แบบแห้งเร็วๆ/ระบายอากาศดีๆ ประมาณพวกเสื้อกีฬา)
- กางเกง (เป็นกางเกงเทรคได้ก็จะดี เพราะมันจะเบา และ แห้งเร็ว)
- เสื้อกันหนาว (ตามระดับความหนาว : Sweather/ขนเป็ด/กันลม/กันฝน)
- กางเกงใน
- ลองจอน
- ผ้าพันคอ
- หมวกกันแดด
- หมวกกันหนาว
- ถุงมือกันหนาว
- ถุงเท้ากันหนาว
- รองเท้าเทรค
- รองเท้าแตะ
- ผ้าเช็ดหน้า
- ผ้าปิดจมูกกันฝุ่น
- ปลอกแขนกันดำ(ถ้าว๊อนท์)
2. ของใช้ :
- สบู่ / แชมพู / แปรงสีฟัน / ยาสีฟัน / โฟมล้างหน้า
- ทิชชู่ / ทิชชู่เปียก
- ครีมกันแดด / โลชั่น
- กรรไกรตัดเล็บ/ที่โกนหนวด (แล้วแต่)
- วาสลีน / ลิปบาล์ม
3. อุปกรณ์เดินเทรค
- ไม้เทรค
- กระบอกใส่น้ำ
- แว่นตากันแดด (อย่าคิดว่าไม่จำเป็น บนๆแดดแรงมากโดยเฉพาะเมื่อมันสะท้อนกับหิมะ ดีไม่ดีจะตาบอดเอา)
- ไฟฉายแบบคาดหัว
- ที่รัด support เข่า
- ถุงนอนกันหนาว (ไกด์ผมมีให้ อันนี้เลยไม่ต้องเตรียมไป)
- Campon/Gaiter (ถ้าไปช่วงหิมะเยอะๆ)
4. ของช่วยชีวิต
- ของหวานๆไว้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างเดิน (ลูกอม/ช๊อคโกเลต/เยลลี่ บลาๆ)
- อาหารไทยแก้เบื่อ/เพิ่มรสชาติ (น้ำพริก/หมูหยอง/อาหารซอง/ผงโลโบ บลาๆๆ)
5. ยา
- ยาดม
- ยาแก้ปวด
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยานวด
- ยาแก้อักเสบ
- Diamox (สำหรับบรรเทาอาการแพ้ที่สูง:AMS) --> หากใครยังไม่รู้จัก AMS ลองเสริ์ซหาใน google ดูครับ มีให้พรึ่บ แต่อ่านมากไประวังจะจิตตกนะครับ
6. เอกสาร
- Passport ตัวจริง ฉบับ copy หากติดตัวไว้ก็ดีนะครับ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- VISA (แนะนำให้ทำจากสถานฑูตเนปาลจากไทย ไปเลยครับ จริงๆ แล้วเราสามารถไปทำ VISA On arrival ได้ แต่ผมว่ามันเสียเวลามากๆ เพราะเราต้องเริ่มจากการต่อแถวจ่ายเงินก่อน เพื่อให้ได้ ใบเสร็จ แล้วก็นำใบเสร็จไปต่อแถวทำวีซ่า อีก ซึ่งทั้งใบเสร็จ และ วีซ่าทั้งหมด เป็นการเขียนมือ ของเจ้าหน้าที่ครับ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคนต่อคิวกันเยอะๆ กว่าจะเขียนของแต่ละคนเสร็จมันจะนานขนาดไหน (จริงๆคือ ปีที่แล้วผมโดนมาแล้ว กว่าจะเสร็จฟาดไปชั่วโมงกว่า พอปีนี้เลยทำจากไทยมาเลย ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีก็ออกจาก ตม. ได้แล้วครับ) วีซ่า ทำที่ไทย คชจ. 900 บาท ทำ on arrival คชจ. 25 USD สำหรับ Visa ประเภท 15 วันนะครับ
- Travel Insurance อันนี้ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นไหม เผื่อใครมีเคส ป่วยฉุกเฉิน AMS มาเยือน ขึ้นไปบนนู้น จะเดินกลับลงมาก็ไม่ทันการนะครับ เฮลิคอปเตอร์เท่านั้น คือ คำตอบ หากไม่ได้ทำประกันมา เตรียมเงินแสนไว้ได้เลยครับ (อาจจะไม่ได้ป่วยตายนะครับ อาจจะตายเพราะเห็นบิลค่าเฮลิคอปเตอร์) ค่าประกันพันกว่าบาทถึงสองพัน ทำเผื่อไว้ ไม่ได้ต้องการจะให้ได้ใช้ แต่มีไว้อุ่นใจกว่าจริงๆครับ (ยิ่งผมเคยมีเพื่อนร่วมทริปได้ใช้บริการ เฮลิคอปเตอร์ด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าเสี่ยงเลยครับ)
7. อุปกรณ์อื่นๆ
- กล้อง/เลนส์/เมม/สายลั่นชัตเตอร์/ฟิวเตอร์/ขาตั้ง
- โทรศัพท์มือถือ
- Power bank
- Universal plug
- ธงชาติ (เผื่อใครอยากจะเอาขึ้นไปโบกข้างบน)
ค่าใช้จ่าย
อยู่ที่ประมาณ 40k-50k บาท สำหรับ ทริปผม 12 วัน ราคาแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันตามค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ทั้งหมดนี้คิดรวมๆ ค่าวีซ่า ค่าเทรค ค่าไกด์ ลูกหาบ ค่าธรรมเนียมเข้าเทรค ค่าอาหาร น้ำดื่ม ค่าขนม ค่าไวไฟ ค่าชาร์ตแบต ค่าอาบน้ำ ค่าชอปปิ้ง รวมๆกันแล้ว ไม่น่าจะเกินนี้ครับ (รายละเอียดอาจจะแตกต่างกัน ตามที่ตกลงกับไกด์ครับ บางคนรวมค่าอาหาร บางคนไม่รวม บางคนรวมค่าตั๋ว บางคนไม่รวม อย่างเช่นทริปผมขาไปนั่งรถจากกาฐมันฑุไปโพคารา แต่ ขากลับ บินกลับครับ : รายละเอียดเดี๋ยวไว้ไปดูอีกทีตอน แผนการเดินทางครับ)
พล่ามมานานแล้ว เมื่อไหร่จะไปซักที
ยัง...ยังไม่ไป จะทำอะไรต้องมีแผน
อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า ทริปนี้ เดินทางกันตั้งแต่ วันที่ 6/4/2017 ถึง 17/4/2017 อันนี้เป็นวันที่เราล๊อคไว้ ตามตารางวันหยุดของคนในกรุ๊ปเรา เราก็ให้โจทย์กับ Beg Ale (ไกด์ของเรา) ไปพร้อมเงื่อนไขนิดหน่อยคือ
เราจะไป ABC โดยออกเดินทางจากไทย วันที่ 6 และบินกลับไทย วันที่ 17
แต่ละวันไม่ต้องรีบเดิน เราจะเดินชิวๆ เดินทอดน่อง เดินไปถ่ายรูปไป เดินไปพักไปตามอารมณ์ จัดให้เวลาเดินแต่ละวันไม่ต้องนานมาก เดี๋ยวเราจะยืดเวลาให้เต็มวันได้เอง
เราอยากพักอยู่บน ABC 2 คืน (เผื่อไว้เกิดวันแรกขึ้นไปฟ้าปิด แล้วเราจะแป๊ก อุตส่าห์เดินขึ้นไปตั้งนาน)
ขากลับ อยากแวะซารางกอต ก่อนกลับ กาฐมัณฑุ ด้วย บลาๆๆ (เริ่มเยอะละ...)
แต่ในที่สุด Beg ก็จัด โปรแกรมมาให้เรียบร้อย ผมลองวาดๆสรุปออกมาให้เพื่อนๆ ดูเป็นภาพประมาณนี้ครับ
06/04 : Bangkok > Katmanthu > Pokhara
07/04 : Pokhara > Nayapul > Kimche > Grundruk
08/04 : Grundruk > Kimrong > Chomrong
09/04 : Chomrong > Sinuwa > Bamboo > Dobhan
10/04 : Dobhan > Himalaya > Deurali > MBC
11/04 : MBC > ABC
12/04 : Stay at ABC
13/04 : ABC > MBC > Deurali > Himalaya > Dobhan > Bamboo
14/04 : Bamboo > Sinuwa > Chomrong > Jhinudanna
15/04 : Jhinudanda > Siwai > Sarangot
16/04 : Sarangot > Pohkara > Kathmanthu (visit Bangtapur)
17/04 : Katmanthu > Bangkok
รายละเอียดของระยะทาง / ระยะเวลา / ระดับความสูงของแต่จะจุด และ วิธีการเดินทาง ที่พวกผมใช้ สามารถดูจากรูปได้เลยครับ
ปล.
1. ในส่วนของเส้นหยักๆที่เห็นในรูป เป็นแนวการเดินในแต่ละวันครับ จากรูปจะเห็นว่า ตอนขาขึ้น ก็ไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันก็จะมีทางขึ้นบ้าง ลงบ้าง เพราะเราต้องเดินข้ามจากเขาลูกนึงไปยังอีกลูกนึงเป็นเรื่องปกติในแต่ละวัน ขาลงก็เช่นกัน
2. สีแดงที่ผมลากไว้หมายถึง ขาไป สีเขียวหมายถึงขากลับ โดยยึดจาก ABC ที่เป็นเป้าหมายของเรา
3. แอบเห็นบางกลุ่มไม่ได้แพลนมา กะว่ามาด้นสดกันข้างหน้า ถ้าได้ก็ดีไป แต่อย่างที่บอกครับ ช่วงเมษาเป็น High season การ booking ที่พักตามจุดต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น บางคนไม่มีที่พัก ต้องไปขอเช่านอนตามห้องอาหารของ Guest house ต่างๆ บางคนไม่มีพักก็เลยต้องเดินต่อไปที่จุดถัดๆไป เพื่อไปลุ้นเอาว่าจะมีที่พักมั๊ย ทั้งๆที่บางทีร่างกายก็ล้า หรือดึกเกินไป
[CR] ร้อยภาพเล่าเรื่อง : ABC แค่สองเท้ากับหนึ่งกำลังใจ ใครๆก็ไปได้ (Annapurna Base Camp, Nepal, 2017)
ปล.กระทู้อาจจะยาวนิดนะครับ เน้นรูปดูกันไปเพลินๆ เขียนไม่ค่อยเป็น ใช้รูปเป็นตัวเล่าเรื่อง กระตุ้นต่อมอยากกันไป
อุปกรณ์ของผม : Nikon D750 /14-24/24-120/80-200 , iPhone7+
- เสื้อ(แบบแห้งเร็วๆ/ระบายอากาศดีๆ ประมาณพวกเสื้อกีฬา)
- กางเกง (เป็นกางเกงเทรคได้ก็จะดี เพราะมันจะเบา และ แห้งเร็ว)
- เสื้อกันหนาว (ตามระดับความหนาว : Sweather/ขนเป็ด/กันลม/กันฝน)
- กางเกงใน
- ลองจอน
- ผ้าพันคอ
- หมวกกันแดด
- หมวกกันหนาว
- ถุงมือกันหนาว
- ถุงเท้ากันหนาว
- รองเท้าเทรค
- รองเท้าแตะ
- ผ้าเช็ดหน้า
- ผ้าปิดจมูกกันฝุ่น
- ปลอกแขนกันดำ(ถ้าว๊อนท์)
2. ของใช้ :
- สบู่ / แชมพู / แปรงสีฟัน / ยาสีฟัน / โฟมล้างหน้า
- ทิชชู่ / ทิชชู่เปียก
- ครีมกันแดด / โลชั่น
- กรรไกรตัดเล็บ/ที่โกนหนวด (แล้วแต่)
- วาสลีน / ลิปบาล์ม
3. อุปกรณ์เดินเทรค
- ไม้เทรค
- กระบอกใส่น้ำ
- แว่นตากันแดด (อย่าคิดว่าไม่จำเป็น บนๆแดดแรงมากโดยเฉพาะเมื่อมันสะท้อนกับหิมะ ดีไม่ดีจะตาบอดเอา)
- ไฟฉายแบบคาดหัว
- ที่รัด support เข่า
- ถุงนอนกันหนาว (ไกด์ผมมีให้ อันนี้เลยไม่ต้องเตรียมไป)
- Campon/Gaiter (ถ้าไปช่วงหิมะเยอะๆ)
4. ของช่วยชีวิต
- ของหวานๆไว้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างเดิน (ลูกอม/ช๊อคโกเลต/เยลลี่ บลาๆ)
- อาหารไทยแก้เบื่อ/เพิ่มรสชาติ (น้ำพริก/หมูหยอง/อาหารซอง/ผงโลโบ บลาๆๆ)
5. ยา
- ยาดม
- ยาแก้ปวด
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยานวด
- ยาแก้อักเสบ
- Diamox (สำหรับบรรเทาอาการแพ้ที่สูง:AMS) --> หากใครยังไม่รู้จัก AMS ลองเสริ์ซหาใน google ดูครับ มีให้พรึ่บ แต่อ่านมากไประวังจะจิตตกนะครับ
6. เอกสาร
- Passport ตัวจริง ฉบับ copy หากติดตัวไว้ก็ดีนะครับ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- VISA (แนะนำให้ทำจากสถานฑูตเนปาลจากไทย ไปเลยครับ จริงๆ แล้วเราสามารถไปทำ VISA On arrival ได้ แต่ผมว่ามันเสียเวลามากๆ เพราะเราต้องเริ่มจากการต่อแถวจ่ายเงินก่อน เพื่อให้ได้ ใบเสร็จ แล้วก็นำใบเสร็จไปต่อแถวทำวีซ่า อีก ซึ่งทั้งใบเสร็จ และ วีซ่าทั้งหมด เป็นการเขียนมือ ของเจ้าหน้าที่ครับ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคนต่อคิวกันเยอะๆ กว่าจะเขียนของแต่ละคนเสร็จมันจะนานขนาดไหน (จริงๆคือ ปีที่แล้วผมโดนมาแล้ว กว่าจะเสร็จฟาดไปชั่วโมงกว่า พอปีนี้เลยทำจากไทยมาเลย ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีก็ออกจาก ตม. ได้แล้วครับ) วีซ่า ทำที่ไทย คชจ. 900 บาท ทำ on arrival คชจ. 25 USD สำหรับ Visa ประเภท 15 วันนะครับ
- Travel Insurance อันนี้ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นไหม เผื่อใครมีเคส ป่วยฉุกเฉิน AMS มาเยือน ขึ้นไปบนนู้น จะเดินกลับลงมาก็ไม่ทันการนะครับ เฮลิคอปเตอร์เท่านั้น คือ คำตอบ หากไม่ได้ทำประกันมา เตรียมเงินแสนไว้ได้เลยครับ (อาจจะไม่ได้ป่วยตายนะครับ อาจจะตายเพราะเห็นบิลค่าเฮลิคอปเตอร์) ค่าประกันพันกว่าบาทถึงสองพัน ทำเผื่อไว้ ไม่ได้ต้องการจะให้ได้ใช้ แต่มีไว้อุ่นใจกว่าจริงๆครับ (ยิ่งผมเคยมีเพื่อนร่วมทริปได้ใช้บริการ เฮลิคอปเตอร์ด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าเสี่ยงเลยครับ)
7. อุปกรณ์อื่นๆ
- กล้อง/เลนส์/เมม/สายลั่นชัตเตอร์/ฟิวเตอร์/ขาตั้ง
- โทรศัพท์มือถือ
- Power bank
- Universal plug
- ธงชาติ (เผื่อใครอยากจะเอาขึ้นไปโบกข้างบน)
ค่าใช้จ่าย
อยู่ที่ประมาณ 40k-50k บาท สำหรับ ทริปผม 12 วัน ราคาแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันตามค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ทั้งหมดนี้คิดรวมๆ ค่าวีซ่า ค่าเทรค ค่าไกด์ ลูกหาบ ค่าธรรมเนียมเข้าเทรค ค่าอาหาร น้ำดื่ม ค่าขนม ค่าไวไฟ ค่าชาร์ตแบต ค่าอาบน้ำ ค่าชอปปิ้ง รวมๆกันแล้ว ไม่น่าจะเกินนี้ครับ (รายละเอียดอาจจะแตกต่างกัน ตามที่ตกลงกับไกด์ครับ บางคนรวมค่าอาหาร บางคนไม่รวม บางคนรวมค่าตั๋ว บางคนไม่รวม อย่างเช่นทริปผมขาไปนั่งรถจากกาฐมันฑุไปโพคารา แต่ ขากลับ บินกลับครับ : รายละเอียดเดี๋ยวไว้ไปดูอีกทีตอน แผนการเดินทางครับ)
ยัง...ยังไม่ไป จะทำอะไรต้องมีแผน
อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า ทริปนี้ เดินทางกันตั้งแต่ วันที่ 6/4/2017 ถึง 17/4/2017 อันนี้เป็นวันที่เราล๊อคไว้ ตามตารางวันหยุดของคนในกรุ๊ปเรา เราก็ให้โจทย์กับ Beg Ale (ไกด์ของเรา) ไปพร้อมเงื่อนไขนิดหน่อยคือ
เราจะไป ABC โดยออกเดินทางจากไทย วันที่ 6 และบินกลับไทย วันที่ 17
แต่ละวันไม่ต้องรีบเดิน เราจะเดินชิวๆ เดินทอดน่อง เดินไปถ่ายรูปไป เดินไปพักไปตามอารมณ์ จัดให้เวลาเดินแต่ละวันไม่ต้องนานมาก เดี๋ยวเราจะยืดเวลาให้เต็มวันได้เอง
เราอยากพักอยู่บน ABC 2 คืน (เผื่อไว้เกิดวันแรกขึ้นไปฟ้าปิด แล้วเราจะแป๊ก อุตส่าห์เดินขึ้นไปตั้งนาน)
ขากลับ อยากแวะซารางกอต ก่อนกลับ กาฐมัณฑุ ด้วย บลาๆๆ (เริ่มเยอะละ...)
07/04 : Pokhara > Nayapul > Kimche > Grundruk
08/04 : Grundruk > Kimrong > Chomrong
09/04 : Chomrong > Sinuwa > Bamboo > Dobhan
10/04 : Dobhan > Himalaya > Deurali > MBC
11/04 : MBC > ABC
12/04 : Stay at ABC
13/04 : ABC > MBC > Deurali > Himalaya > Dobhan > Bamboo
14/04 : Bamboo > Sinuwa > Chomrong > Jhinudanna
15/04 : Jhinudanda > Siwai > Sarangot
16/04 : Sarangot > Pohkara > Kathmanthu (visit Bangtapur)
17/04 : Katmanthu > Bangkok
รายละเอียดของระยะทาง / ระยะเวลา / ระดับความสูงของแต่จะจุด และ วิธีการเดินทาง ที่พวกผมใช้ สามารถดูจากรูปได้เลยครับ
ปล.
1. ในส่วนของเส้นหยักๆที่เห็นในรูป เป็นแนวการเดินในแต่ละวันครับ จากรูปจะเห็นว่า ตอนขาขึ้น ก็ไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว มันก็จะมีทางขึ้นบ้าง ลงบ้าง เพราะเราต้องเดินข้ามจากเขาลูกนึงไปยังอีกลูกนึงเป็นเรื่องปกติในแต่ละวัน ขาลงก็เช่นกัน
2. สีแดงที่ผมลากไว้หมายถึง ขาไป สีเขียวหมายถึงขากลับ โดยยึดจาก ABC ที่เป็นเป้าหมายของเรา
3. แอบเห็นบางกลุ่มไม่ได้แพลนมา กะว่ามาด้นสดกันข้างหน้า ถ้าได้ก็ดีไป แต่อย่างที่บอกครับ ช่วงเมษาเป็น High season การ booking ที่พักตามจุดต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น บางคนไม่มีที่พัก ต้องไปขอเช่านอนตามห้องอาหารของ Guest house ต่างๆ บางคนไม่มีพักก็เลยต้องเดินต่อไปที่จุดถัดๆไป เพื่อไปลุ้นเอาว่าจะมีที่พักมั๊ย ทั้งๆที่บางทีร่างกายก็ล้า หรือดึกเกินไป