นิยาย : ริมฝั่งฝัน (รีไรต์) : บทที่ 6

สวัสดีครับ

ขอบคุณสำหรับทุกไลค์ทุกโหวตเช่นเคยครับ จากคุณ พวงดารา ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, เพ็ญพิชญา ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, GTW ถูกใจ, Feyolina ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ และขอบคุณพิเศษสำหรับสองความคิดเห็นอบอุ่นใจจากป้าทุยบ้านทุ่งและอ.จี

ติดตามริมฝั่งฝันกันต่อเลยครับ




หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากหญิงสาวดับไฟที่ชั้นล่าง สิงขรก็ขยับออกมานั่งในมุมที่คุ้นเคย คือม้านั่งเหล็กดัดตัวยาวตรงระเบียงด้านหน้า

บอกตัวเองว่า จำเป็นต้องดูกองไฟเอาไว้ เพราะวัยรุ่นพวกนั้นยังไม่กลับเข้ามา แต่ที่จริง เขาก็รู้ตัวอยู่ว่า กำลังหาอะไรทำ เพื่อไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านถึงเธอต่างหาก

แต่แล้ว หลานสาวของคุณยายผู้แสนใจดีนั่น ก็แทบทำให้หัวใจชายหนุ่มหยุดเต้น อยู่ๆ เธอก็ก้าวฉับๆ พ้นม่านหมอกออกมาใกล้กองไฟ แบบว่า...

...เท่าที่เขาเห็นก็คือ แทบไม่สวมอะไรเลย เสื้อคลุมนั้นไม่ช่วยอะไร ในแสงไฟที่สว่างจัดจ้า การเดินตัวปลิวเข้ามาพร้อมสายยางแบบนั้น อะไรๆ ก็ชัดเจนไปหมด ทั้งเสื้อยืดตัวบาง ที่ปราศจากบราเซียชั้นบน และชั้นล่างก็ยัง... เป็นสีชมพู... ยังเป็นสีชมพูเนี่ยนะ!

คุณพระคุณเจ้า! ตอนนั้นสิงขรใจเต้นตึกๆ ถี่ระรัวขึ้นมาทันที

ไม่เข้าใจเลยว่า ผู้หญิงอายุเท่านี้แล้วทำไมไม่เลือกชั้นในสีดำหรือขาว หรือไม่ก็สีแดงสวยๆ ไปเลย ถึงจะไม่ชำนาญในเรื่องนี้เท่าไร แต่เขาค่อนข้างแน่ใจว่า หญิงสาววัยนี้ ไม่ควรจะยังนอนหลับกับผ้าสีชมพูผืนเล็กๆ นั่น

แล้วชื่นใจก็ยืนอยู่อย่างนั้น จังก้าอย่างจะหาเรื่องเต็มที่ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระยะสายตาแจ่มชัดที่สุด แบบที่ว่าไม่ต้องขยับลูกนัยน์ตา ก็เห็นว่าส่วนไหนเป็นเช่นไร

เรือนผมสีดำสลวยสะท้อนประกายแสงไฟได้อย่างหน้ามอง แต่ที่ชวนตะลึงยิ่งกว่า อยู่ต่ำกว่านั้น

ทั้งเรือนอกที่เคร่งครัดเด่นงาม และชั้นในสีชมพูที่แทบไม่ช่วยปิดบังอะไรอีกแล้ว...

หรือที่จริง ที่เขาไม่กล้าขยับสายตา ก็เพราะแววตาพิฆาตที่จ้องมานั่นละ ที่ดูก็รู้ว่าพร้อมจะกินเลือดกินเนื้อเขาได้ทุกเมื่อ...

จนทุกส่วนของเขาต้องเกร็งเขม็ง เตรียมพร้อมรับการจู่โจมอย่างช่วยไม่ได้...

ด้วยการจ้องมองมาพร้อมรังสีอำมหิตขนาดนั้น สิ่งที่เขาอยากจะอธิบาย ก็เลยต้องพับไว้ก่อน มันสนุกมากกว่าจริงๆ กับการได้ยั่วให้เธอโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

สิงขรตีหน้านิ่ง บังคับให้แววตาของตนเองว่างเปล่า แต่ใจนั้นคึกคักสุขสมอยู่เต็มที่

และหลังจากที่เข้าใจในที่สุดว่า ทำไมเขาถึงต้องหาเชื้อไฟมาเร่งโหม ให้กองเพลิงยิ่งลุกโชนโชติช่วง เธอก็ทำเป็นเหมือนว่า เขาไม่ได้ยังยืนอยู่ตรงนั้น...

ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีคำขอบอกขอบใจ... ไม่มีอะไรเลย



ชายหนุ่มไม่ได้ตามเข้าไปในบ้านกับพวกเด็กหนุ่ม เขากลับมาที่ม้านั่งตัวเดิม ทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้ากว้าง หมู่ดาวพราวพริบ ท่ามกลางจันทร์เสี้ยว ฟ้ากระจ่างขึ้นแล้ว เพราะกระไอหมอกค่อยๆ กลั่นตัวเป็นหยาดน้ำค้าง

อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา ลำธารแสงดาวก็ปรากฏ มันคือกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอันงดงามเกินบรรยาย ซึ่งชีวิตในเมืองกรุงของเขาแทบไม่มีโอกาสจะได้เห็น

ชื่นใจ... ชื่นใจ ประสานไมตรี...

ปั้ดโธ่! ...สิงขรโกรธตัวเอง ทำไมกลับกลายเป็นคิดถึงเธอไปได้ ทำไมภาพของเธอยังมาวนเวียนรบกวนจิตใจอันมั่นคงของเขาได้ถึงขนาดนี้

ไม่ใช่แค่จิตใจหรอกที่ถูกรบกวน ร่างกายบางส่วนก็ปั่นป่วนจนปวดร้าว ทั้งที่สิงขรภูมิใจตัวเองอยู่นัก กับเรื่องที่สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ของตนได้เป็นอย่างดี ควบคุมความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นเสมอ เพราะหน้าที่การงานฝึกให้เขาเป็นดังนั้น

และก็เพราะหน้าที่การงานของเขาอีกนั่นละ ที่ทำให้เขาไม่อยากให้ความคิดหรือชีวิต มีอะไรที่ซับซ้อนหรืออ่อนไหวจนเกินไป

สิงขรขยับตัวคลายความอึดอัด ต้องย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า เขาละทิ้งชีวิตและความต้องการส่วนตัวไปนานแล้ว การลางานมาครั้งนี้ก็เพราะปู่ศัก เพราะการตายของนายศักรินทร์ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

หรือถึงแม้หากยังอยู่ในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เขาก็ยังรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับหน่วยงาน คิดว่ามันเป็นสถาบันที่มีเกียรติยศ มีคุณค่าและเป็นคุณแก่บ้านเมือง ภาคภูมิใจนักที่ได้ตอบแทนแผ่นดิน

ในที่ทำงาน เขาจะออกจากที่ทำงานช้ากว่าใครๆ มุ่งมั่นคลี่คลายปัญหาต่างๆ ในการงานไม่ให้คั่งค้าง

ในทุกมื้อ เขาก็ให้เวลากับมันเพียงน้อยนิด กลับมาก็ทำงานเอกสารต่อจนหลับพับไปกับคอมพิวเตอร์ก็หลายครั้ง เขาตื่นแต่เช้า ออกกำลังกาย แล้วก็กลับเข้าสู่วงจรการทำงานอีกครั้ง

ส่วนเรื่องชีวิตส่วนตัว หรือใครๆ ที่เขาอาจได้พบเจอ มันจะถูกเก็บในลิ้นชักความทรงจำของส่วนลึกที่สุดในหัวใจ

ชื่นใจ... จากประสบการณ์ เขาบอกตัวเองได้แล้วว่า เธอไม่น่าจะใช่ผู้ต้องสงสัย แต่อย่างไรเสีย เธอก็เป็นคนที่น่าสนใจอยู่ดี โดยเฉพาะกับการสอบสวนสาเหตุการตายของบุคคลที่เขาเคารพรัก

สิงขรยืดตัวขึ้น เมื่อได้ยินเสียงขอดจาน เสียงชมเชยและกล่าวขอบคุณ ก้าวยาวๆ ลับเงาระเบียงลงมา ก่อนประตูหน้าบ้านจะเปิด

เธอเดินมาส่งพวกเด็กหนุ่ม ในชุดที่รัดกุมขึ้นมากแล้ว และเหมือนไม่ได้สังเกตเลยว่า เขาเพิ่งแฝงตัวเข้ากับเงามืด

หนุ่มๆ หัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนเอ่ยคำล่ำลา เขาเผลออมยิ้ม รอจนชื่นใจกลับเข้าข้างใน จึงเริ่มออกเดิน

กองไฟยังสุมขอน เขาเดินไปดับมันให้มอดสนิทเสียก่อนจะกลับไปนอนเอาแรง ตั้งแต่เช้ามืดพรุ่งนี้ที่เขาจะต้องออกปฏิบัติการเฉพาะกิจ บ้านร้างหลังเล็กๆ ตรงด้านทิศเหนือเป็นเป้าหมายต่อไป

ยิ่งเขาขยายวงการสืบหาเบาะแสให้กว้างออกไปเท่าไหร่ กลิ่นของอาชญากรรมก็แรงขึ้นทุกที

ฆาตกรรม... ยาเสพติด... หรืออะไรก็ตาม

เขาจมูกดีเสมอในเรื่องเหล่านี้

หันมองกลับไปทางเรือนใหญ่ ไฟชั้นล่างยังไม่ดับ ชื่นใจคงกำลังจัดการเช็ดล้างจานชาม...

ทว่าภาพเดียวที่ยังแจ่มชัดใจหัวใจกลับเป็น...

ชั้นในสีชมพู...

ชวนฝัน...



หญิงสาวกลับออกมาที่ระเบียงอีกครั้ง หลังจากล้างจานเรียบร้อยแล้ว เพราะเห็นเงาไวๆ ซึ่งน่าจะเป็นของสิงขร ที่เพิ่งหลบเข้าไปตรงมุมมืด


เธอออกมาทัน ตอนที่เห็นเขากำลังราไฟ อยู่ตรงกองไฟริมบึงจึงนั่งลงตรงบันไดหน้า หวังให้ลูกกรงราวบันไดช่วยอำพราง หากเขาจะหันกลับมา

สายหมอกหนาหนัก จืดจางลงไป กลับกลายเป็นน้ำค้างพร่างพรม ช่วยให้ไฟตลิ่งดวงเดียวตรงใต้ต้นพิกุล ส่องแสงสว่างนวล ทำให้หญิงสาวมองตามเขาได้ทุกอากัปกิริยา

เมื่อกี้ ถ้าเขาไม่รีบหลบไปเสียก่อน ชื่นใจคงได้กล่าวคำขอโทษ กับการกระทำที่มุทะลุบุ่มบ่าม ไม่ดูตาม้าตาเรือ

หญิงสาวนึกโกรธตัวเอง เห็นได้ชัดเลยว่า เธอยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบึงน้ำทอง โดยเฉพาะตรงท่าราชสงวนนี้ ที่ใครๆ ก็ต่างมาใช้บริการ

ไม่เป็นไร... รอไว้พรุ่งนี้ เธอคิดว่า จะได้ขอโทษอย่างจริงใจ จะบอกเขาด้วยว่า ตนไม่น่าทำตัวโง่ๆ อย่างนั้น ถ้าเขาไม่เติมเชื้อไฟให้ยิ่งโชนแสงขึ้น มีหรือที่เด็กหนุ่มพวกนั้นจะแยกออกว่า แสงไฟฟ้าริบหรี่ดวงไหน จะพาเขากลับเข้าฝั่ง ไม่ใช่หลอกล่อให้ไปตกอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวตรงฝั่งสันฝาย

ชื่นใจยังโทษตัวเอง มันแย่มากที่เธอลืมไปเสียได้ ว่ารถกระบะของเด็กหนุ่มกลุ่มนั้น ยังจอดแอบอยู่ตรงลานจอดข้างบ้าน ถึงแม้วันนี้มันจะยุ่งยากและยาวนานเหลือเกิน แต่ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะลืมลูกค้าหรือแขกของตัวเองเสียได้

เงาร่างของสิงขรคลายความคมชัดลงไป เมื่อเขาเดินไกลจากแสงไฟฟ้าดวงน้อย หญิงสาวอดใจเต้นระทึกขึ้นมาอีกไม่ได้ ที่เห็นเขาก้าวตรงไปทางปลายสะพาน... อีกแล้ว...

ดีที่จันทร์เสี้ยวและหมู่ดาว สะท้อนแสงวาวกับผืนน้ำ ทำให้ยังพอมีแสงสลัว พอให้เธอได้แลเห็น

มันเป็นอย่างเมื่อคืนก่อนจริงๆ นั่นละ

สิงขรเดินตรงออกไปในความมืด ช่วงขาก้าวเร็วขึ้นเมื่อได้จังหวะ และไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลย ตอนที่สามารถสลัดเสื้อผ้าทุกชิ้นได้ในไม่ถึงชั่วอึดใจ ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะดีดตัวพุ่งขึ้น

พลังของช่วงขานั่น จะต้องมหาศาล และกล้ามเนื้อหน้าท้องจะต้องยิ่งแข็งแกร่ง เพราะเขาสามารถพับตัวลงมา กลับเป็นช่วงล่างเหยียดขึ้นฟ้า แล้วพุ่งสวบลงไปในน้ำ เงียบเชียบราวกับการพุ่งแหลนหลาว ลงกลางท้องสมุทรที่ลึกสุดจะหยั่ง

มันเป็นภาพอันชวนให้ตื่นตะลึง ทั้งหมดแลคล้ายเป็นมายา ราวกับชายหนุ่มที่พุ่งตัวจมหายลงไปในบึงนั้น เป็นภูตน้ำจำแลงกาย กำลังมุ่งหน้ากลับสู่ถิ่นพำนัก

แต่เเห็นอยู่ชัดๆ มาเป็นวันๆ ว่าเขาเป็นคน ชื่นใจจึงยืดตัวขึ้น ชะเง้อมองและนิ่งรอ พยายามฟังว่า เมื่อไร ท่อนแขนอันทรงพลังจะเริ่มทำงาน จ้วงน้ำเพื่อเร่งความเร็ว ติดตามให้ทัน กับการไล่ล่าเงาจันทร์ในผืนน้ำ

รอจนเสียงของเขาจางหายไปกับสายลมเย็นยะเยือก หญิงสาวจึงค่อยก้าวกลับเข้ามาในบ้าน เพิ่งสังเกตว่าตู้ไฟป้ายชื่อร้าน สามารถกะพริบหรือวูบวาวได้หลายจังหวะ ยายคงลองปรับเล่นกระมัง จากที่สว่างเรืองยาวนาน จึงกลายเป็นสว่างวูบแล้วเต้นระยับ ก่อนจะคลายอ่อนแรงแล้วสลัวลง เธอตัดสินใจเปิดมันค้างไว้อย่างนั้น ให้เป็นเพื่อนกับความมืดของชั้นล่าง

เดินเลยไปยังใต้บันได ส่วนทำงานเล็กๆ ของร้านนี้ โคมไฟขนาดห้าวัตต์พอช่วยให้ชื่นใจได้ทำในสิ่งที่รักได้อย่างสบายตา...

และ... ราวกับนายศักรินทร์จะล่วงรู้ความใฝ่ฝันของเธอ

แต่... ก็อาจจะบังเอิญมากกว่า ที่มีสมุดวาดเขียนปกแข็งเล่มหนา วางซ้อนอยู่กับสมุดบัญชีเล่มยาว

ชื่นใจค่อยเปิดสำรวจ กระดาษเนื้อดีทุกแผ่นว่างเปล่า ในกระป๋องสังกะสีทรงกลมบรรจุไว้เต็มด้วยดินสอดำตั้งแต่ขนาดเอชบีจนถึงบีบี เธอเลือกระดับสี่อี ในการเริ่มบรรเลงจินตนาการ วาดภาพของชายหนุ่มผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่งนั่นลงในหน้ากระดาษ

มันต้องเป็นการว่ายน้ำของคนวิกลจริตแน่ๆ ภายใต้จันทร์เสี้ยวของคืนแรม ท่ามกลางเวิ้งน้ำกว้างไกล ที่ไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใต้ผืนน้ำ...

(มีต่อคคห.ที่1)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่