สวัสดีครับ
ริมฝั่งฝัน กลับมาประจำการมองความละมุนให้เพื่อนนักอ่านชาวถนนเช่นเดิมครับผม ขอบคุณทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นครับ ขอบคุณคุณกิดาหยัน ถูกใจ, GTW ถูกใจ, พวงดารา ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, เพ็ญพิชญา ถูกใจ ของคุณอ.จีทีดับเบิ้ลยูสำหรับความคิดเห็น ขอยกมาตอบในกระทู้นี้นะครับ
ตอบ GTW : หนูชื่นใจเธอผ่านอะไรๆ มาเยอะเชียวครับ คงได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าส่วนหนึ่งในความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวก็ได้มาจากยายของเธอนั่นเอง บทนี้เธอก็ไม่ขาดสติครับ ในตอนท้ายๆ อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ริมฝั่งฝัน เช่นเคยครับ
ผมเอง เพลงเกือบพัน
*****************************************************
ริมฝั่งฝัน
บทที่ 04
ชื่นใจต้องกัดฟันสู้กับความรู้สึกของตัวเอง หากกระโจนพรวดให้พ้นจากตรงนี้ ไอ้เจ้าปิศาจใต้เตียง อาจผวาออกมาทำร้าย ตัวคนเดียวอาจพอสู้ไหว แต่ตอนนี้ยายกำลังเดินเข้ามาสมทบ
“หนูว่าเราลงไปขนของกันก่อนดีกว่า”
เธอพยายามรักษาระดับเสียงให้ราบเรียบไร้พิรุธ
“ข้าวของแค่นั้น คนเดียวก็ไหวนะชื่น”
คงใกล้เกินไป ที่ยายจะสังเกตเห็นแววตาประหวั่นพรั่นพรึงของผู้เป็นหลานสาว ท่านขยับเท้าเข้าไปใกล้หัวเตียง ทำท่าจะเปิดหน้าต่าง คงอยากให้มีสายลมเข้ามาช่วยระบายความอบอ้าว
“เหนื่อยมาทั้งวัน หนูกลัวจะทำเตาอบยายหล่นน่ะซีคะ”
หญิงสาวปดสดๆ พยายามส่งสายตาให้ยายรู้ว่า ควรจะลงจากชั้นสองนี้ให้เร็วที่สุด และไม่ว่ายายจะเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเธอ หรือแค่ห่วงเตาอบแสนรักนั่นสุดชีวิต แต่ในที่สุดยายก็ยอมตามลงมาแต่โดยดี
ชื่นใจอดรำพึงกับตัวเองไม่ได้ว่า ไหนว่าไอ้พวกภูตผีที่ชอบแอบอยู่ใต้ที่นอนไม่มีจริง ตั้งแต่เมื่อตอนสามขวบนั่นแล้ว ที่เธอต้องฉี่รดที่นอน เพราะไม่กล้าลุกให้พ้นจากเบาะ ด้วยกลัวว่าใต้ร่องกระดาน จะมีไอ้ปิศาจพรรค์อย่างนี้ละ คอยแกล้งแหย่ทำร้าย
ก็ตอนนั้นเธอกับยายนอนพื้น มีเบาะปูทับไม้กระดานที่ตีเป็นร่องห่างพอให้นิ้วก้อยรอดได้ ผีนั่นต้องอยู่ใต้ถุนตรงใต้ที่นอน แต่นี้มีเตียงแบบยกพื้น ก็ถูกแล้วละที่มันต้องซ่อนอยู่ใต้เตียง
เธอกำลังหลอกล่อตัวเอง ให้เข้าใจว่า มันเป็นแค่ผีหลอกกลางวัน จะได้แค่เพียงหวาดกลัวสยองขวัญ ไม่ถึงกับต้องถูกทำร้ายให้บาดเจ็บหรืออาจถึงตาย หากมือใหญ่สกปรกที่เห็นนั่น เป็นโจรผู้ร้ายที่หนีมากบดาน
“ยายว่า เราน่าจะรีบทำที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยเสียก่อน”
ท่านพูดเรื่อยๆ ไม่เชิงต่อว่ากระไรนัก ตอนยอมเดินพ้นระเบียงหน้าบ้านลงมา
ชื่นใจยังรำพันในใจ... จะร้องกรี๊ดเลยดีไหม กรี๊ดขอความช่วยเหลือ... แต่... จากใครล่ะ
หรือจะรีบวิ่งขึ้นรถ แจ้นไปแจ้งความว่า... เห็นมือดำๆ ใหญ่ๆ ผลุบหายเข้าไปใต้เตียง ใครจะเชื่อ ใครจะรับแจ้ง ที่สำคัญคือ ยังไม่รู้เลยว่า จะไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ที่ไหน
หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจหาอาวุธ เสียมเหล็กอันหนึ่งวางพิงอยู่กับเพิงไม้ มีคันเบ็ดเก่ากร่อนวางสุมไว้ใกล้กัน มีเรือบดหมดสภาพสองลำนอนแห้งอยู่กลางแดด มีด้ามพายหักๆ วางอยู่ใกล้ๆ
“ยายขึ้นไปอยู่บนรถก่อนนะจ๊ะ ล็อคประตูด้วย เดี๋ยวหนูมา”
ยายทำท่าแปลกใจ และคล้ายจะไม่ยอมกลับขึ้นรถจริงๆ จนผู้เป็นหลานสาวต้องยกปัญหาสำคัญมาข่มขู่
“มีตุ๊กแกอยู่ตรงหัวเตียงใหญ่น่ะค่ะ ให้หนูไปไล่มันก่อนนะ”
เท่านั้นละ ยายก็รีบผลุบกลับขึ้นไปบนที่นั่ง หน้าตาขนพองสยองเกล้าได้จริงจัง
“แค่ไล่ก็พอนะ มีกระต๊อบตั้งหลายหลัง ให้เขาไปอยู่ข้างนอกบ้านก็พอ”
ถึงจะเมตตากับอะไรต่อมิอะไรได้แค่ไหน แต่กับตุ๊กแก ยายไม่มีทางยอมให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเป็นอันขาด
ชื่นใจบอกให้ยายเลื่อนกระจกขึ้นทั้งสองด้าน ขยับปากพร้อมชี้ที่ปุ่มกดว่า ให้ล็อกประตู แล้วเธอก็โผไปทางด้ามพายหักๆ อาวุธที่น่าจะเหมาะมือที่สุดเท่าที่จะหาได้ในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้
โชคดีที่มันแค่หัก ไม่ได้ผุจนเปราะยุ่ย ยังแข็งแรงพอจะฟาดเจ้าปิศาจใต้เตียงได้อีกหลายเปรี้ยง
ชื่นใจตวัดซ้อมมือในอากาศ ขณะมุ่งกลับเข้าบ้าน...ของตัวเอง
ท่าทางเหมือนจะไปออกรบอย่างนั้น เดาได้โดยไม่ต้องหันมองเลยว่า ยายคงงงหนักกับสิ่งที่หลานสาวของท่านกำลังจะทำ
หญิงสาวย่องกริบขึ้นบันไดระเบียง เงื้อด้ามพายไว้สุดล้า กะว่าถ้ามันโผนลงมาเมื่อไหร่ ก็มีอันฟาดได้เหมาะเหม็ง
เธอยังไม่คิดถึงการจะแทงให้มันตายดับไปหรอก แค่วิญญาณเจ้าของบ้านคนเดียว ก็ไม่รู้จะเซ่นสรวงบวงควักอย่างไรแล้ว
ที่จริงชื่นใจไม่ได้กล้าหาญอะไรมากมาย เธอเป็นแบบกลางๆ ระหว่างการเป็นคนเจ้าแผนการ ไม่ค่อยจะเคยกล้าลงมือ ซึ่งหมายความว่า ขาเธอกำลังสั่นจนแทบก้าวไม่ออก
แต่นี้คือกับสมบัติชิ้นสำคัญของทั้งสองคน ถ้าเธอพลาดไป ยายก็คงต้องได้รับอันตราย ดังนั้นคนยังใจคอไม่ดี ก็จำเป็นต้องเรียกความกล้าจากมวลอากาศที่ว่างเปล่า มาเพิ่มกำลังให้ตัวเองเต็มที่
เพิ่งสังเกตว่า รองเท้าลำลองส้นเตี้ย ส่งเสียงต๊อกแต๊กอยู่ตลอดทุกย่างก้าว ชื่นใจต้องตัดใจสลัดทิ้ง เพื่อไม่ให้อะไรก็ตามข้างบน จับได้ว่าเธอเข้าใกล้มันถึงขนาดไหน
แล้วขั้นบันไดขึ้นชั้นสอง ก็ดันส่งเสียงลั่นได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้า หญิงสาวแทบไม่ได้ยินเสียงมันมาก่อน ต้องขยับชิดริมด้านหนึ่ง พยายามยึดแนวหัวตะปูแล้วค่อยก้าวขึ้นไปเหมือนเดิม ซึ่งมันได้ผล ขั้นอื่นๆ ไม่ส่งเสียงให้วายร้ายข้างบนรู้แกวได้อีก
หากใครมาเห็นเธอตอนนี้คงต้องขำ กับอาการเงื้อด้ามพายพร้อมรบ กับเสียงข่มขู่ที่ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน จนขนาดตัวของหญิงสาวเองยังรู้สึกว่า มันฟังดูตลกพิกล
ชื่นใจหยุดตัวเองไว้ในระยะที่ปลอดภัยจากการจู่โจม เคาะด้ามพายกับกับเสาต้นหนึ่ง พยายามทำเสียงให้หนักๆ แน่นๆ ที่สุด
“ออกมาได้แล้ว!...”
เกือบหลุดไปต่อไปว่า “...ไอ้ปิศาจใต้เตียง” แต่คงจะทำให้อะไรใต้นั้น ขำกลิ้งไปเท่านั้นเอง
และ... เงียบ... ปราศจากเสียงตอบรับจากสิ่งที่เธอเรียก...
“ออกมาซะดีๆ ฉันรู้ว่านายอยู่ใต้เตียง!”
มือหยาบใหญ่ดำเขรอะขนาดนั้น ทำให้ชื่นใจระบุเพศของอะไรใต้เตียงได้เสร็จสรรพ
คนต้องทำใจกล้าที่สุด สูดหายใจลึก เตรียมพร้อมรับอันตรายที่ต้องเผชิญ ถึงสภาพของที่นี้จะเหมือนสมรภูมิหลังเสียกรุงศรีอยุธยา แต่เธอก็จะรักษามันไว้ด้วยชีวิต
ระยะขนาดนี้ หากมันถลาเข้ามา เธออาจทันฟาดมันได้สักสองเปรี้ยง และถ้ามันช้าเกินหรือเธอเร็วพอ ก็อาจได้ถึงสาม นั่นคงพอให้มันทรุดลงไปกองกับพื้น
หรือจะมุดหนีไปอีกด้าน?
ชื่นใจรีบสาวเท้าเข้าใกล้ แหย่ด้ามไม้กราดไปใต้เตียง กระทบกับบางอย่างที่เลื่อนได้ตามแรง เดาว่าคงเป็นกองหนังสืออีกนั่นละ ในที่สุดเธอก็ต้องลงทุนก้มสำรวจ
ใต้เตียง... ว่างเปล่า...
แก๊ก! กึก!ๆๆ ๆ ๆ
หัวใจหญิงสาวแทบหยุดเต้น กับเสียงนั้น ถ้าในมือเป็นปืน เจ้าขวดยาที่ถูกแรงลมจากหน้าต่าง พัดให้ตกแล้วกลิ้งใกล้เข้ามานี้ อาจมีอันต้องแหลกเป็นจุล
แล้วความเงียบยิ่งกว่าเงียบ ก็กลับมาครอบคลุมอีกครั้ง ความตื่นเต้นเหือดหาย รู้สึกได้เลยว่า กาแฟมื้อกลางวันเริ่มหมดฤทธิ์ บวกกับการอดนอนมาตั้งแต่รู้ข่าวเรื่องมรดก ทำให้วิญญาณนักรบวีรสตรี กลับกลายเป็นหญิงชราไร้ฝันไปในสองสามนาทีถัดมา
หรือว่าฟุ้งซ่านจนตาลาย เพ้อพกเพราะกังวล กับของที่ได้มาอย่างไม่น่าจะถูกต้องนัก เธออาจเห็นแค่เงาของหนังสือ ที่พลิกผันเพราะแรงลม ไม่ใช่สัตว์ประหลาดใต้เตียง หรือมือของแขกไม่ได้รับเชิญคนไหนทั้งสิ้น
ชื่นใจลากปลายด้ามพายระพื้นไปเรื่อยๆ ระหว่างตรวจดูทุกซอกทุกมุมของชั้นบน ถึงกับลงทุนพลิกที่นอนขึ้นพิงไว้กับข้างฝา นึกอยากให้สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า การที่ทั้งหมดเป็นแค่สิ่งที่มาจากจินตนาการ
มองผ่านบานหน้าต่างออกไป ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ นอกจากความรกร้างเปล่าเปลี่ยว แม้ในมุมไกลของสายตา จะคลับคล้ายคลับคลาว่าสดชื่น แต่ตรงที่รอบๆ ตัวเธอต่างหากคือความจริง เป็นความจริงที่อุดมไปด้วยความสกปรกรกรุงรัง ซ้ำยังอาจมีใครก็ไม่รู้มาคอยรังควานเสียอีกด้วย
ที่จริง แต่ก่อนชื่นใจชอบการเขียนรูปแบบมีสีสัน รูปที่เคยได้รับรางวัล ได้คำชมพ่วงมาด้วยว่า จินตนาการแห่งสีสันช่างบรรเจิด แต่นั่นมันก็นานจนลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ ทุกวันนี้ทุกครั้งที่อารมณ์อยากระบายบางสิ่งบางอย่างลงบนหน้ากระดาษ มันก็จะเป็นเพียงภาพเขียนสีถ่านเท่านั้น ที่เธอพร้อมและยินดีจะลงมือบรรเลง
กับสภาพจิตใจตอนนี้ มันคงเหมือนการถูๆ ฝนๆ วนๆ ดินสอถ่านไปมาบนกระดาษวาดเขียน จนแทบไม่เหลือส่วนใดๆ ให้เห็นว่าเป็นเนื้อกระดาษ มันมีแต่สีดำ ดำมืดที่เกิดจากความยุ่งเหยิงในชีวิต
เหมือนหมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ จนหญิงสาวต้องทรุดนั่งลงบนเตียงตัวใหญ่ ตั้งสติทบทวนดูอีกครั้งว่า ที่เห็นเป็นมือใหญ่ๆ ดำๆ นั่น เป็นเพียงแค่ภาพหลอนในจินตนาการใช่หรือไม่ แต่ว่า เธอน่ะหรือจะมีจินตนาการหลงเหลือ อย่าว่าแต่ความฝันเลย กระทั่งความหวัง ก่อนหน้านี้ก็แทบไม่ค่อยจะมี
เอาอีกแล้วสินะ ชื่นใจพึมพำ นี่เธอกำลังปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับความหมองหม่นอีกแล้ว ทั้งที่มันเคยจะดีแล้วเชียว ตอนที่เธอกับยายได้รับกุญแจมาจากสำนักงานทนายความ
ชื่นใจยังแอบคิดว่าที่นี้จะดีกว่าที่อื่นๆ ทว่ากลับมาพบเพียงเศษซากของอดีตกาล ที่แม้จะพยายามกอบกู้มันให้กลับสภาพเดิมได้ ก็ไม่ต่างจากการที่เธอต้องหลงมาติดอยู่ในพิพิธภัณฑ์ย้อนยุค ชีวิตต่อแต่นี้ มีแต่จะหยุดนิ่งกับผุพังลงไป เพียงเท่านั้น
ถ้ายายรู้ว่าเธอกลับมาหมกมุ่นวิตกกังวลและหมดอาลัยตายอยากอีกแล้ว ยายจะว่าอย่างไรบ้างนะ
ใช่... ยายก็ต้องบอกให้เธอยิ้ม ยิ้มสู้ สู้ชีวิตต่อไป แม้จะท้อแท้แต่อย่าหยุดเดิน เพราะทุกผู้คนไม่มีทางรู้ว่าโชคดีอาจจะรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ชั่วโมงถัดไป หรือกระทั่งนาทีที่จะมาถึง
แต่... เดี๋ยวนะ?
“ยาย!”
ชื่นใจผุดลุก ด้ามพายพลัดจากหน้าตัก... เธอทิ้งยายไว้คนเดียว!
กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้สวมรองเท้า ฉันก็ถลาพ้นลงมาจากบันไดระเบียงหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว หญ้าเจ้าชู้ครูดเกาะไปตามหน้าแข้ง หนามต้นสาบเสือก็ทิ่มแทง ช่างมันเถอะ...
หญิงสาวกระโจนข้ามบรรดาดงอุปสรรค มาถึงรถตู้ได้ภายในไม่กี่ช่วงโดด
แต่ในรถไม่มียาย!
หันรีหันขวาง ไม่มียายอยู่ตรงไหนเลยสักแห่ง เธอรีบอ้อมไปเปิดท้ายรถตู้ คว้ารองเท้าแตะเก่าๆ มาได้คู่หนึ่ง สวมไปวิ่งไป ต้องลองดูทางสะพานท่าน้ำ ยายอาจไปสำรวจทางนั้น
แต่ท่าราชสงวนก็ว่างเปล่า มีร่องรอยรองเท้าเปื้อนโคลน ยังใหม่หมาด ซึ่งไม่ใช่ของยาย และนั่นทำให้ฉันยิ่งตระหนก
เรือยนต์ลำเล็กแล่นเลี้ยวกลับมา เมื่อเห็นแน่ๆ ว่ามีหญิงสาวยืนหมุนเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่กลางสะพาน
“ชื่นใจใช่ไหมน่ะ”
ชายชราผิวคล้ำ ผมหงอกขาวไปทั้งศีรษะ และท่าทางไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง ตะโกนถาม
ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่... แล้วเธอจะเป็นใครได้ล่ะ
“ค่ะ... ใช่ค่ะ... คุณลุง”
ลองเดาไปในทางดีบ้างก็ได้ว่า นายศักรินทร์ต้องบอกใครๆ ในละแวกนี้ไว้เรียบร้อยแล้วว่า เธอกำลังจะมาอยู่ที่บ้านท่าราชสงวนหลังนี้
“ดี... ดีแล้วละ จะได้ไปบอกกับหม่อมชุลี หม่อมเขาก็ถามหาอยู่หลายวันแล้ว...”
ตอนตะโกนทัก ลุงแค่เบาเครื่องยนต์ พอได้คำตอบจากชื่นใจ เขาก็เร่งเครื่อง แล้วก็ตีวงเลี้ยวกลับ จนคำสุดท้ายที่ตะโกนมานั่น หญิงสาวแทบไม่ได้ยิน
หรือว่าคนทั้งหมู่บ้านจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเธอจะต้องมาที่นี่... เป็นไปได้อย่างไร
นั่นต้องหมายความว่า นายศักรินทร์ไม่ได้มั่วชื่อเธอขึ้นมาจากสมุดโทรศัพท์สินะ
(มีต่อคคห.ที่1)
นิยาย : ริมฝั่งฝัน (รีไรต์) : บทที่ 4
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
*************************************************
สวัสดีครับ
ริมฝั่งฝัน กลับมาประจำการมองความละมุนให้เพื่อนนักอ่านชาวถนนเช่นเดิมครับผม ขอบคุณทุกโหวต ทุกไลค์ ทุกความคิดเห็นครับ ขอบคุณคุณกิดาหยัน ถูกใจ, GTW ถูกใจ, พวงดารา ถูกใจ, ป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ, turtle_cheesecake ถูกใจ, ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด ถูกใจ, เป่าชาง ถูกใจ, เพ็ญพิชญา ถูกใจ ของคุณอ.จีทีดับเบิ้ลยูสำหรับความคิดเห็น ขอยกมาตอบในกระทู้นี้นะครับ
ตอบ GTW : หนูชื่นใจเธอผ่านอะไรๆ มาเยอะเชียวครับ คงได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าส่วนหนึ่งในความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวก็ได้มาจากยายของเธอนั่นเอง บทนี้เธอก็ไม่ขาดสติครับ ในตอนท้ายๆ อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ริมฝั่งฝัน เช่นเคยครับ
*****************************************************
ริมฝั่งฝัน
บทที่ 04
ชื่นใจต้องกัดฟันสู้กับความรู้สึกของตัวเอง หากกระโจนพรวดให้พ้นจากตรงนี้ ไอ้เจ้าปิศาจใต้เตียง อาจผวาออกมาทำร้าย ตัวคนเดียวอาจพอสู้ไหว แต่ตอนนี้ยายกำลังเดินเข้ามาสมทบ
“หนูว่าเราลงไปขนของกันก่อนดีกว่า”
เธอพยายามรักษาระดับเสียงให้ราบเรียบไร้พิรุธ
“ข้าวของแค่นั้น คนเดียวก็ไหวนะชื่น”
คงใกล้เกินไป ที่ยายจะสังเกตเห็นแววตาประหวั่นพรั่นพรึงของผู้เป็นหลานสาว ท่านขยับเท้าเข้าไปใกล้หัวเตียง ทำท่าจะเปิดหน้าต่าง คงอยากให้มีสายลมเข้ามาช่วยระบายความอบอ้าว
“เหนื่อยมาทั้งวัน หนูกลัวจะทำเตาอบยายหล่นน่ะซีคะ”
หญิงสาวปดสดๆ พยายามส่งสายตาให้ยายรู้ว่า ควรจะลงจากชั้นสองนี้ให้เร็วที่สุด และไม่ว่ายายจะเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเธอ หรือแค่ห่วงเตาอบแสนรักนั่นสุดชีวิต แต่ในที่สุดยายก็ยอมตามลงมาแต่โดยดี
ชื่นใจอดรำพึงกับตัวเองไม่ได้ว่า ไหนว่าไอ้พวกภูตผีที่ชอบแอบอยู่ใต้ที่นอนไม่มีจริง ตั้งแต่เมื่อตอนสามขวบนั่นแล้ว ที่เธอต้องฉี่รดที่นอน เพราะไม่กล้าลุกให้พ้นจากเบาะ ด้วยกลัวว่าใต้ร่องกระดาน จะมีไอ้ปิศาจพรรค์อย่างนี้ละ คอยแกล้งแหย่ทำร้าย
ก็ตอนนั้นเธอกับยายนอนพื้น มีเบาะปูทับไม้กระดานที่ตีเป็นร่องห่างพอให้นิ้วก้อยรอดได้ ผีนั่นต้องอยู่ใต้ถุนตรงใต้ที่นอน แต่นี้มีเตียงแบบยกพื้น ก็ถูกแล้วละที่มันต้องซ่อนอยู่ใต้เตียง
เธอกำลังหลอกล่อตัวเอง ให้เข้าใจว่า มันเป็นแค่ผีหลอกกลางวัน จะได้แค่เพียงหวาดกลัวสยองขวัญ ไม่ถึงกับต้องถูกทำร้ายให้บาดเจ็บหรืออาจถึงตาย หากมือใหญ่สกปรกที่เห็นนั่น เป็นโจรผู้ร้ายที่หนีมากบดาน
“ยายว่า เราน่าจะรีบทำที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยเสียก่อน”
ท่านพูดเรื่อยๆ ไม่เชิงต่อว่ากระไรนัก ตอนยอมเดินพ้นระเบียงหน้าบ้านลงมา
ชื่นใจยังรำพันในใจ... จะร้องกรี๊ดเลยดีไหม กรี๊ดขอความช่วยเหลือ... แต่... จากใครล่ะ
หรือจะรีบวิ่งขึ้นรถ แจ้นไปแจ้งความว่า... เห็นมือดำๆ ใหญ่ๆ ผลุบหายเข้าไปใต้เตียง ใครจะเชื่อ ใครจะรับแจ้ง ที่สำคัญคือ ยังไม่รู้เลยว่า จะไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ที่ไหน
หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจหาอาวุธ เสียมเหล็กอันหนึ่งวางพิงอยู่กับเพิงไม้ มีคันเบ็ดเก่ากร่อนวางสุมไว้ใกล้กัน มีเรือบดหมดสภาพสองลำนอนแห้งอยู่กลางแดด มีด้ามพายหักๆ วางอยู่ใกล้ๆ
“ยายขึ้นไปอยู่บนรถก่อนนะจ๊ะ ล็อคประตูด้วย เดี๋ยวหนูมา”
ยายทำท่าแปลกใจ และคล้ายจะไม่ยอมกลับขึ้นรถจริงๆ จนผู้เป็นหลานสาวต้องยกปัญหาสำคัญมาข่มขู่
“มีตุ๊กแกอยู่ตรงหัวเตียงใหญ่น่ะค่ะ ให้หนูไปไล่มันก่อนนะ”
เท่านั้นละ ยายก็รีบผลุบกลับขึ้นไปบนที่นั่ง หน้าตาขนพองสยองเกล้าได้จริงจัง
“แค่ไล่ก็พอนะ มีกระต๊อบตั้งหลายหลัง ให้เขาไปอยู่ข้างนอกบ้านก็พอ”
ถึงจะเมตตากับอะไรต่อมิอะไรได้แค่ไหน แต่กับตุ๊กแก ยายไม่มีทางยอมให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเป็นอันขาด
ชื่นใจบอกให้ยายเลื่อนกระจกขึ้นทั้งสองด้าน ขยับปากพร้อมชี้ที่ปุ่มกดว่า ให้ล็อกประตู แล้วเธอก็โผไปทางด้ามพายหักๆ อาวุธที่น่าจะเหมาะมือที่สุดเท่าที่จะหาได้ในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้
โชคดีที่มันแค่หัก ไม่ได้ผุจนเปราะยุ่ย ยังแข็งแรงพอจะฟาดเจ้าปิศาจใต้เตียงได้อีกหลายเปรี้ยง
ชื่นใจตวัดซ้อมมือในอากาศ ขณะมุ่งกลับเข้าบ้าน...ของตัวเอง
ท่าทางเหมือนจะไปออกรบอย่างนั้น เดาได้โดยไม่ต้องหันมองเลยว่า ยายคงงงหนักกับสิ่งที่หลานสาวของท่านกำลังจะทำ
หญิงสาวย่องกริบขึ้นบันไดระเบียง เงื้อด้ามพายไว้สุดล้า กะว่าถ้ามันโผนลงมาเมื่อไหร่ ก็มีอันฟาดได้เหมาะเหม็ง
เธอยังไม่คิดถึงการจะแทงให้มันตายดับไปหรอก แค่วิญญาณเจ้าของบ้านคนเดียว ก็ไม่รู้จะเซ่นสรวงบวงควักอย่างไรแล้ว
ที่จริงชื่นใจไม่ได้กล้าหาญอะไรมากมาย เธอเป็นแบบกลางๆ ระหว่างการเป็นคนเจ้าแผนการ ไม่ค่อยจะเคยกล้าลงมือ ซึ่งหมายความว่า ขาเธอกำลังสั่นจนแทบก้าวไม่ออก
แต่นี้คือกับสมบัติชิ้นสำคัญของทั้งสองคน ถ้าเธอพลาดไป ยายก็คงต้องได้รับอันตราย ดังนั้นคนยังใจคอไม่ดี ก็จำเป็นต้องเรียกความกล้าจากมวลอากาศที่ว่างเปล่า มาเพิ่มกำลังให้ตัวเองเต็มที่
เพิ่งสังเกตว่า รองเท้าลำลองส้นเตี้ย ส่งเสียงต๊อกแต๊กอยู่ตลอดทุกย่างก้าว ชื่นใจต้องตัดใจสลัดทิ้ง เพื่อไม่ให้อะไรก็ตามข้างบน จับได้ว่าเธอเข้าใกล้มันถึงขนาดไหน
แล้วขั้นบันไดขึ้นชั้นสอง ก็ดันส่งเสียงลั่นได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้า หญิงสาวแทบไม่ได้ยินเสียงมันมาก่อน ต้องขยับชิดริมด้านหนึ่ง พยายามยึดแนวหัวตะปูแล้วค่อยก้าวขึ้นไปเหมือนเดิม ซึ่งมันได้ผล ขั้นอื่นๆ ไม่ส่งเสียงให้วายร้ายข้างบนรู้แกวได้อีก
หากใครมาเห็นเธอตอนนี้คงต้องขำ กับอาการเงื้อด้ามพายพร้อมรบ กับเสียงข่มขู่ที่ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน จนขนาดตัวของหญิงสาวเองยังรู้สึกว่า มันฟังดูตลกพิกล
ชื่นใจหยุดตัวเองไว้ในระยะที่ปลอดภัยจากการจู่โจม เคาะด้ามพายกับกับเสาต้นหนึ่ง พยายามทำเสียงให้หนักๆ แน่นๆ ที่สุด
“ออกมาได้แล้ว!...”
เกือบหลุดไปต่อไปว่า “...ไอ้ปิศาจใต้เตียง” แต่คงจะทำให้อะไรใต้นั้น ขำกลิ้งไปเท่านั้นเอง
และ... เงียบ... ปราศจากเสียงตอบรับจากสิ่งที่เธอเรียก...
“ออกมาซะดีๆ ฉันรู้ว่านายอยู่ใต้เตียง!”
มือหยาบใหญ่ดำเขรอะขนาดนั้น ทำให้ชื่นใจระบุเพศของอะไรใต้เตียงได้เสร็จสรรพ
คนต้องทำใจกล้าที่สุด สูดหายใจลึก เตรียมพร้อมรับอันตรายที่ต้องเผชิญ ถึงสภาพของที่นี้จะเหมือนสมรภูมิหลังเสียกรุงศรีอยุธยา แต่เธอก็จะรักษามันไว้ด้วยชีวิต
ระยะขนาดนี้ หากมันถลาเข้ามา เธออาจทันฟาดมันได้สักสองเปรี้ยง และถ้ามันช้าเกินหรือเธอเร็วพอ ก็อาจได้ถึงสาม นั่นคงพอให้มันทรุดลงไปกองกับพื้น
หรือจะมุดหนีไปอีกด้าน?
ชื่นใจรีบสาวเท้าเข้าใกล้ แหย่ด้ามไม้กราดไปใต้เตียง กระทบกับบางอย่างที่เลื่อนได้ตามแรง เดาว่าคงเป็นกองหนังสืออีกนั่นละ ในที่สุดเธอก็ต้องลงทุนก้มสำรวจ
ใต้เตียง... ว่างเปล่า...
แก๊ก! กึก!ๆๆ ๆ ๆ
หัวใจหญิงสาวแทบหยุดเต้น กับเสียงนั้น ถ้าในมือเป็นปืน เจ้าขวดยาที่ถูกแรงลมจากหน้าต่าง พัดให้ตกแล้วกลิ้งใกล้เข้ามานี้ อาจมีอันต้องแหลกเป็นจุล
แล้วความเงียบยิ่งกว่าเงียบ ก็กลับมาครอบคลุมอีกครั้ง ความตื่นเต้นเหือดหาย รู้สึกได้เลยว่า กาแฟมื้อกลางวันเริ่มหมดฤทธิ์ บวกกับการอดนอนมาตั้งแต่รู้ข่าวเรื่องมรดก ทำให้วิญญาณนักรบวีรสตรี กลับกลายเป็นหญิงชราไร้ฝันไปในสองสามนาทีถัดมา
หรือว่าฟุ้งซ่านจนตาลาย เพ้อพกเพราะกังวล กับของที่ได้มาอย่างไม่น่าจะถูกต้องนัก เธออาจเห็นแค่เงาของหนังสือ ที่พลิกผันเพราะแรงลม ไม่ใช่สัตว์ประหลาดใต้เตียง หรือมือของแขกไม่ได้รับเชิญคนไหนทั้งสิ้น
ชื่นใจลากปลายด้ามพายระพื้นไปเรื่อยๆ ระหว่างตรวจดูทุกซอกทุกมุมของชั้นบน ถึงกับลงทุนพลิกที่นอนขึ้นพิงไว้กับข้างฝา นึกอยากให้สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า การที่ทั้งหมดเป็นแค่สิ่งที่มาจากจินตนาการ
มองผ่านบานหน้าต่างออกไป ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ นอกจากความรกร้างเปล่าเปลี่ยว แม้ในมุมไกลของสายตา จะคลับคล้ายคลับคลาว่าสดชื่น แต่ตรงที่รอบๆ ตัวเธอต่างหากคือความจริง เป็นความจริงที่อุดมไปด้วยความสกปรกรกรุงรัง ซ้ำยังอาจมีใครก็ไม่รู้มาคอยรังควานเสียอีกด้วย
ที่จริง แต่ก่อนชื่นใจชอบการเขียนรูปแบบมีสีสัน รูปที่เคยได้รับรางวัล ได้คำชมพ่วงมาด้วยว่า จินตนาการแห่งสีสันช่างบรรเจิด แต่นั่นมันก็นานจนลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่ ทุกวันนี้ทุกครั้งที่อารมณ์อยากระบายบางสิ่งบางอย่างลงบนหน้ากระดาษ มันก็จะเป็นเพียงภาพเขียนสีถ่านเท่านั้น ที่เธอพร้อมและยินดีจะลงมือบรรเลง
กับสภาพจิตใจตอนนี้ มันคงเหมือนการถูๆ ฝนๆ วนๆ ดินสอถ่านไปมาบนกระดาษวาดเขียน จนแทบไม่เหลือส่วนใดๆ ให้เห็นว่าเป็นเนื้อกระดาษ มันมีแต่สีดำ ดำมืดที่เกิดจากความยุ่งเหยิงในชีวิต
เหมือนหมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ จนหญิงสาวต้องทรุดนั่งลงบนเตียงตัวใหญ่ ตั้งสติทบทวนดูอีกครั้งว่า ที่เห็นเป็นมือใหญ่ๆ ดำๆ นั่น เป็นเพียงแค่ภาพหลอนในจินตนาการใช่หรือไม่ แต่ว่า เธอน่ะหรือจะมีจินตนาการหลงเหลือ อย่าว่าแต่ความฝันเลย กระทั่งความหวัง ก่อนหน้านี้ก็แทบไม่ค่อยจะมี
เอาอีกแล้วสินะ ชื่นใจพึมพำ นี่เธอกำลังปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับความหมองหม่นอีกแล้ว ทั้งที่มันเคยจะดีแล้วเชียว ตอนที่เธอกับยายได้รับกุญแจมาจากสำนักงานทนายความ
ชื่นใจยังแอบคิดว่าที่นี้จะดีกว่าที่อื่นๆ ทว่ากลับมาพบเพียงเศษซากของอดีตกาล ที่แม้จะพยายามกอบกู้มันให้กลับสภาพเดิมได้ ก็ไม่ต่างจากการที่เธอต้องหลงมาติดอยู่ในพิพิธภัณฑ์ย้อนยุค ชีวิตต่อแต่นี้ มีแต่จะหยุดนิ่งกับผุพังลงไป เพียงเท่านั้น
ถ้ายายรู้ว่าเธอกลับมาหมกมุ่นวิตกกังวลและหมดอาลัยตายอยากอีกแล้ว ยายจะว่าอย่างไรบ้างนะ
ใช่... ยายก็ต้องบอกให้เธอยิ้ม ยิ้มสู้ สู้ชีวิตต่อไป แม้จะท้อแท้แต่อย่าหยุดเดิน เพราะทุกผู้คนไม่มีทางรู้ว่าโชคดีอาจจะรอเราอยู่ในวันข้างหน้า ชั่วโมงถัดไป หรือกระทั่งนาทีที่จะมาถึง
แต่... เดี๋ยวนะ?
“ยาย!”
ชื่นใจผุดลุก ด้ามพายพลัดจากหน้าตัก... เธอทิ้งยายไว้คนเดียว!
กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้สวมรองเท้า ฉันก็ถลาพ้นลงมาจากบันไดระเบียงหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว หญ้าเจ้าชู้ครูดเกาะไปตามหน้าแข้ง หนามต้นสาบเสือก็ทิ่มแทง ช่างมันเถอะ...
หญิงสาวกระโจนข้ามบรรดาดงอุปสรรค มาถึงรถตู้ได้ภายในไม่กี่ช่วงโดด
แต่ในรถไม่มียาย!
หันรีหันขวาง ไม่มียายอยู่ตรงไหนเลยสักแห่ง เธอรีบอ้อมไปเปิดท้ายรถตู้ คว้ารองเท้าแตะเก่าๆ มาได้คู่หนึ่ง สวมไปวิ่งไป ต้องลองดูทางสะพานท่าน้ำ ยายอาจไปสำรวจทางนั้น
แต่ท่าราชสงวนก็ว่างเปล่า มีร่องรอยรองเท้าเปื้อนโคลน ยังใหม่หมาด ซึ่งไม่ใช่ของยาย และนั่นทำให้ฉันยิ่งตระหนก
เรือยนต์ลำเล็กแล่นเลี้ยวกลับมา เมื่อเห็นแน่ๆ ว่ามีหญิงสาวยืนหมุนเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่กลางสะพาน
“ชื่นใจใช่ไหมน่ะ”
ชายชราผิวคล้ำ ผมหงอกขาวไปทั้งศีรษะ และท่าทางไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง ตะโกนถาม
ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่... แล้วเธอจะเป็นใครได้ล่ะ
“ค่ะ... ใช่ค่ะ... คุณลุง”
ลองเดาไปในทางดีบ้างก็ได้ว่า นายศักรินทร์ต้องบอกใครๆ ในละแวกนี้ไว้เรียบร้อยแล้วว่า เธอกำลังจะมาอยู่ที่บ้านท่าราชสงวนหลังนี้
“ดี... ดีแล้วละ จะได้ไปบอกกับหม่อมชุลี หม่อมเขาก็ถามหาอยู่หลายวันแล้ว...”
ตอนตะโกนทัก ลุงแค่เบาเครื่องยนต์ พอได้คำตอบจากชื่นใจ เขาก็เร่งเครื่อง แล้วก็ตีวงเลี้ยวกลับ จนคำสุดท้ายที่ตะโกนมานั่น หญิงสาวแทบไม่ได้ยิน
หรือว่าคนทั้งหมู่บ้านจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเธอจะต้องมาที่นี่... เป็นไปได้อย่างไร
นั่นต้องหมายความว่า นายศักรินทร์ไม่ได้มั่วชื่อเธอขึ้นมาจากสมุดโทรศัพท์สินะ
(มีต่อคคห.ที่1)