“คุณลุงแน่ใจหรือคะว่า... เขา... ปกติ...”
บุหงากระซิบถามกับสารวัตรชรา ขณะทั้งคู่ยืนอยู่บนระเบียง และเฝ้ามองสกลไปลากร่มคันโตขึ้นมาจากเรือลำใหญ่ของตน
“ปกติสิ เขาปกติดี”
ผู้มากวัยเม้มริมฝีปากนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“แข็งแรงยังกับวัวควายเลยละ แต่ฉลาดเฉลียวกว่าพวกผู้คนในตัวอำเภอนี้ซะอีก ตาสมานเจ้าของร้านชำกับร้านค้าส่งผักผลไม้นั่น แกต้องรับหนังสือที่พ่อแคว้นสั่งมาจากบางกอกเป็นประจำ บางทีเดือนนึงตั้งสองสามหน ลองคิดดูแล้วกันว่า มันน่าแปลกขนาดไหน ที่ผู้ชายท่าทางซื่อๆ สักคนจะทำอะไรกับหนังสือพวกนั้น ในเวลาแค่ไม่กี่วัน”
คนฟังพยายามจับสังเกตชายชรา เพื่อหาดูแววพิรุธที่ว่า เขาอาจแค่กำลังเล่าเรื่องตลกโป้ปดให้เธอฟัง
ไม่มี...
บุหงาต้องถามอีก
“แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ตกลงเขาพูดได้ไหมคะ”
เธอเริ่มสงสัยว่า อาจได้จับพลัดจับผลูแต่งงาน กับคนที่ซื่อจนบื้อที่สุดในอำเภอกระมัง แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจ หลังจากได้อยู่กับชายชรามาตลอดทั้งสัปดาห์ว่า คำพูดของสารวัตรวิกรมนั้นเชื่อถือได้เสมอ
“พ่อแคว้น... สกลน่ะ พูดได้สิ เพียงแค่เขาไม่มีธุระสำคัญอะไรที่จะต้องพูด”
คนพูดเกาศีรษะ ขณะพยายามชั่งใจว่า ควรจะให้ข้อมูลหญิงสาวสักแค่ไหน
“คืออย่างนี้ พ่อแคว้นพูดแค่ไม่อีกคำ นับตั้งแต่วันที่ลุงไปเจอเขาในบ้านสวนของพ่อแม่เขาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ฤดูหนาวนั่นหนาวจัดเหมือนอย่างนี้ละ ตอนนั้นพ่อแคว้นคงสักหกเจ็ดขวบ”
สารวัตรจุดบุหรี่และอัดควันเข้าปอดเร็วๆ สองสามครั้ง ก่อนจะพึมพำเหมือนกับคำพูดนั่นไม่เต็มใจจะออกมาจากริมฝีปากของตน
“ตายทั้งคู่ ทั้งพ่อทั้งแม่ คือ... หมายถึงตายมาแล้วเป็นวันๆ ด้วยนะ แต่ในบ้านตึกนั่นเย็นยะเยือก และไม่มีอาหารหรือเสบียงอะไรเหลืออยู่เลย พวกที่ปล้นคงเอาไปทุกอย่างที่ขนไปได้ ซึ่งก็คงมากมาย เพราะพวกพิทักษ์ถิ่นเขาก็มีอันจะกินกันพอสมควร”
บุหงาทอดสายตามองไปยังชายผู้ซึ่งตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ ขณะที่สารวัตรวิกรมเล่าต่อไป
“แต่พ่อแคว้นจัดการให้พ่อกับแม่ของเขาได้ขึ้นมานอนคู่กันบนเตียง..”
เสียงของชายชราเบาลง เมื่อสกลเดินใกล้เข้ามา
“ลุงไปเจอตอนที่เขานอนหลับอยู่กลางระหว่างร่างของพ่อกับแม่ หิวโซและเหมือนตายไปแล้วอีกคน”
บุหงารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกสะท้อนอยู่ในหัวใจ แต่ไม่มีเวลาถามอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาก้าวขึ้นบันไดมาแล้ว และกำลังจะพาเธอกลับไปยังบ้านสวน สถานที่ที่พ่อแม่ของเขาถูกโจรร้ายฆ่าตาย
เธอก้าวเข้าไปใต้ร่มคันโต ยอมให้เขาจับมือโดยไม่พูดอะไร ช่วยพยุงให้เธอลงไปนั่งที่ด้านท้ายเรือ ขณะที่สายฝนยังเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย
พายุฝนพรางทั้งเมืองไว้ในความมืดสลัว แสงไฟจากบ้านเรือนเริ่มดับลง และทำให้ความมืดยิ่งคล้ายจะมืดสนิท
บุหงากระชับเสื้อคลุมที่เขาเพิ่งยื่นให้ ราวกับว่าสถานที่แถวนี้มีมนตรา กำลังเสกเป่าครอบงำจิตใจเอาไว้ เพื่อให้เธอต้องตกไปอยู่ในชีวิตที่เงียบเหงา ปราศจากแสงสี มีลมหายใจเพียงเพื่อต่อชีวิตไปวันๆ
สกลล่องเรือผ่านย่านตลาดริมน้ำ ซึ่งมีบ้านเรือนและร้านค้าแออัดอยู่สองฟาก จากที่เธอเห็นตอนอยู่ในห้องขัง แถวของอาคารร้านค้าแถบริมคลอง จะเปิดหน้าร้านไว้ทั้งสองด้าน ทั้งฝั่งถนนและริมฝั่งคลอง
บุหงาได้ยินเสียงหวูดรถไฟทุกวันทั้งเช้าและเย็น แต่ไม่เห็นว่าสถานีอยู่ตรงไหน จนวันหนึ่งที่ศรีนายเอ่ยปากถาม จึงได้คำตอบว่าเป็นรถไฟสายสั้น ระหว่างสถานีอำเภอบางบัวทองกับต้นทางที่ซอยรถไฟใกล้วัดลิงขบ แถวย่านบางพลัด เขตนครธนบุรี
‘ก็เหมือนกับสายวงเวียนใหญ่-มหาชัยนั่นแหละ’
สารวัตรบอกไว้อย่างนั้น ซึ่งเธอก็ไม่รู้จักมันอยู่ดี
มีร้านขายของหลายแห่งที่ดูราวกับจะล้มพับลงมาได้ เมื่อถูกลมพัดแรงๆ มีเสียงดนตรีจากแผ่นเสียงดังยืดยาดแผ่วเบา ล่องลอยแทรกมาตามสายลม มีเสียงหัวเราะและด่าทอ เล็ดลอดผ่านสายฝนเทกระหน่ำ...
บุหงาดีใจที่จะได้พ้นไปจากย่านแถวนี้ จึงพยายามไม่คิดถึงว่า เธอกำลังจะไหน
นี่คือ...อาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาเสียเวลานั่งนึกเสียใจ...
เธอเบนร่มไปทางหนึ่ง หันไปมองชายที่นั่งวาดงัดแจวพายอยู่ข้างๆ สกลเป็นคนที่มีรูปร่างสูง แต่เสื้อคลุมนั่นทำให้กะขนาดความหนาและความกว้างไม่ถูก ผมเขาอาจเป็นแค่สีน้ำตาลเข้มไม่ใช่สีดำ แต่ที่แน่นอนคือมันยาวและเปียกโชก
ด้ามพายถูกมือใหญ่หนากระชับไว้อย่างมั่นคง และต้องยอมรับว่า เขามีพละกำลังมหาศาล จึงสามารถนำเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ล่องฝ่าสายฝนมาได้ ทั้งที่ยังแค่อยู่ในท่านั่ง
“ไกลแค่ไหนคะ”
บุหงาถามขึ้น ขณะลมกระโชกมาวูบหนึ่ง มันแทบจะพัดเธอปลิวไปด้วย
สกลไม่แสดงท่าทางว่าได้ยินเธอ ในท่ามกลางพายุฝน
หญิงสาวจึงนั่งนิ่งตามเดิม พยายามสัมผัสโดนเขาขณะที่โยกตัวไปมา...
จุดหมายปลายทางจะสำคัญอะไรอีกเล่า
แค่ตอนนี้เธอกำลังเปียกโชก อับจนหนทาง และต้องก้มหน้ารับชะตากรรม
บุหงาบอกตัวเองว่า จะต้องไม่ร้องไห้ แต่... สายฝนก็ช่วยพรางมันไว้ได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในห้องขัง เรือนจำ หรือกำลังถูกนำไปสู่ลานประหารสักหน่อย...
เธอเพิ่งมีสามี แบบที่ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ที่ตัวเองก็หวังเช่นนั้นมาตลอด และตอนนี้เธอก็ได้สมดังหวัง เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นคนที่เธอหวัง อีกทั้งมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วด้วย
ใจของบุหงาคิดจะเรียบเรียงเขียนจดหมายถึงพ่อสักฉบับหนึ่ง แต่ก็คิดว่าคงไม่จำเป็น พ่อคงไม่ยอมรับว่า มีการส่งจดหมายไปหา แม้เธอจะเขียนไปบอกว่า
กราบเท้าคุณพ่อที่เคารพ
หนูสบายดี หลังจากเพิ่งฆ่าคนตายไปอีกคน คราวนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ และหนูก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนอย่างที่พ่อเคยทำกับหนู หนูเข้ามอบตัวและรับสารภาพ คดีที่สองนี้ คงเรียกว่าหนูหนีไม่รอด โดนตัดสินโทษตลอดชีวิต แต่ไม่ใช่ถูกขังคุกหรอกนะคะ มันเป็นการต้องแต่งงานกับใครบางคนแค่นั้นเอง...
บุหงาหลับตา พักความคิดเรื่องพ่อไว้ก่อน ท่านเป็นญาติคนเดียวของเธอ ถึงกระนั้นคำพูดสุดท้ายก่อนจะจากกันมา ก็คือ
เธอได้ตายจากเขาไปแล้ว ไม่ต้องคิดจะย้อนกลับมาอีกแล้ว
หญิงสาวต้องบอกกับตัวเองว่า นี้คือเวลาที่จะต้องมองไปในวันข้างหน้า พร้อมกับเหลือบไปมองชายที่กำลังจะกลายเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดไป
สกลมองตรงไปแน่วไปข้างหน้า มันเป็นเพราะความกลัวมากกว่า การจำเป็นต้องทำ
ที่กลัวก็คือ กลัวว่าหากเขาเหลือบไปมองหญิงสาว เธออาจจะพูดกับเขาก็ได้
เขาต้องเป็นบ้าไปในไม่กี่วันอันใกล้นี้แน่ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น และอาจจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต ความคิดเรื่องการแต่งงานฟังดูเข้าท่าสำหรับชายหนุ่มเมื่อตอนบ่าย และค่าประกันตัวก็ดูยุติธรรมดีแล้ว แต่เขาไม่ได้คิดไว้ก่อนว่า ต้องเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง หลังจากจับสลากได้ภรรยามาคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคงไม่อาจทำแค่เพียงพาเธอกลับบ้าน นอนกับเธอ และรอให้มีเด็กๆ โผล่ออกมาชมโลก...
...ระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้น... เขา... ต้องพูดคุยกับเธอ...
สกลเสี่ยงหันไปมองเธอแวบหนึ่ง
นั่นทำให้แปลกใจ เพราะเธอก็ดูตกใจกลัวเหมือนกัน เมื่อสบตากับเขา
และเมื่อขาของเขาแตะโดนขาของเธอ ก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน แม้มันจะถูกคลุมทับด้วยผ้าผืนใหญ่อยู่ก็ตาม
สกลไม่แน่ใจว่า นั่นเกิดจากความหนาวเย็นเพราะสายฝน หรือเกิดจากความหวาดกลัว ที่จะไปสู่บ้านของชาย ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน...
ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่า เธอตัดสินใจเอง ไม่มีใครบังคับว่าจะต้องเลือกเขา เธอทำตามความต้องการของตนเอง เพียงแต่เขาคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้...
จริงอยู่ การแต่งงานอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่...
เขาน่ะหรือ... คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
สกลไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า จะต้องมาคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น เขารักความสันโดด อยู่ท่ามกลางไม่กี่คนที่ติดต่อด้วย เขารู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน ยกเว้น... เวลาที่ผู้หญิงจากร้านเหล้ารี่เข้ามาทักทายกลางถนน
เขาจำไม่ได้ว่า เคยพูดอะไรกับผู้หญิงบ้างหรือเปล่า และไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะต้องเป็นห่วงความรู้สึกของสตรีเพศ
ชายหนุ่มต้องสะกดกลั้นความสับสน เอื้อมมือไปหยิบผ้าใบอีกผืน ขึ้นคลุมหลังให้ทั้งตนเองและอีกคน มันดีกว่าร่ม ตรงช่วยบรรเทาสายลมเย็นได้อีกทางหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
ภรรยาหมาดๆ ของเขากระซิบ ขณะที่เธออิงด้านข้างแนบข้างกับตัวเขา แบบที่พยายามห่อตัวให้มิดชิดอยู่ในผ้าใบ
สกลอ้าแขนออก ลังเลนิดหนึ่งตอนจะวางแขนอ้อมไหล่ของหญิงสาว เธอตัวสั่นอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนที่ความแนบชิดของทั้งคู่ จะทำให้สองคนเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาอยากจะถอนวงแขนกลับมา บอกตัวเองว่า ควรต้องใช้แขนทั้งสองข้างพายเรือ ถึงแม้ด้ามพายจะสอดอยู่กับหลัก และพายไปได้ด้วยมือเดียว แต่การใช้สองมือย่อมได้ความเร็วที่มากกว่า
พอพ้นย่านจอแจมาแล้ว กลางคืนก็แสนมืดมิด ลำคลองสะท้อนเงาจากแสงฟ้าหม่นมัว ช่วยให้เขามุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ หลังจากพยายามจดจำความคดโค้งเอาไว้ ทุกครั้งที่ได้แสงสว่างจากสายฟ้าแลบ
ทว่า... สิ่งที่เขารับรู้ได้ตลอดเวลาอย่างง่ายดายก็คือ ลมหายใจอุ่นๆ ของเธอ รวมทั้งความรู้สึกว่ามีเธอแนบชิดอยู่ข้างกายนั่นเอง
สกลหวนคิดไปถึงภาพแรกที่เห็น ตอนนั้นเธอดูเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงเพรียว แต่ในตอนนี้ตัวเธอกลับเล็กจนแทบไม่พอให้เขาโอบกอด
สถาพของหญิงสาวตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่า กำลังกุมลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ ที่ทั้งนุ่มนิ่มและไร้กระดูก ไว้ในกำมือ
(มีต่อ)
เผด็จการหัวใจ บทที่ 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
*********************************************
ขอบคุณทุกโหวตทุกจิ้มถูกใจครับ thezircon ถูกใจ, PuPaKae ถูกใจ, Inverness ถูกใจ
ขอบคุณนักอ่านไร้เงาทุกท่าน ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนิยายละมุนอุ่นเนือยเรื่องนี้ครับ
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกการติดตามครับผม
******************************
เผด็จการหัวใจ
บทที่สี่
“คุณลุงแน่ใจหรือคะว่า... เขา... ปกติ...”
บุหงากระซิบถามกับสารวัตรชรา ขณะทั้งคู่ยืนอยู่บนระเบียง และเฝ้ามองสกลไปลากร่มคันโตขึ้นมาจากเรือลำใหญ่ของตน
“ปกติสิ เขาปกติดี”
ผู้มากวัยเม้มริมฝีปากนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“แข็งแรงยังกับวัวควายเลยละ แต่ฉลาดเฉลียวกว่าพวกผู้คนในตัวอำเภอนี้ซะอีก ตาสมานเจ้าของร้านชำกับร้านค้าส่งผักผลไม้นั่น แกต้องรับหนังสือที่พ่อแคว้นสั่งมาจากบางกอกเป็นประจำ บางทีเดือนนึงตั้งสองสามหน ลองคิดดูแล้วกันว่า มันน่าแปลกขนาดไหน ที่ผู้ชายท่าทางซื่อๆ สักคนจะทำอะไรกับหนังสือพวกนั้น ในเวลาแค่ไม่กี่วัน”
คนฟังพยายามจับสังเกตชายชรา เพื่อหาดูแววพิรุธที่ว่า เขาอาจแค่กำลังเล่าเรื่องตลกโป้ปดให้เธอฟัง
ไม่มี...
บุหงาต้องถามอีก
“แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ตกลงเขาพูดได้ไหมคะ”
เธอเริ่มสงสัยว่า อาจได้จับพลัดจับผลูแต่งงาน กับคนที่ซื่อจนบื้อที่สุดในอำเภอกระมัง แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจ หลังจากได้อยู่กับชายชรามาตลอดทั้งสัปดาห์ว่า คำพูดของสารวัตรวิกรมนั้นเชื่อถือได้เสมอ
“พ่อแคว้น... สกลน่ะ พูดได้สิ เพียงแค่เขาไม่มีธุระสำคัญอะไรที่จะต้องพูด”
คนพูดเกาศีรษะ ขณะพยายามชั่งใจว่า ควรจะให้ข้อมูลหญิงสาวสักแค่ไหน
“คืออย่างนี้ พ่อแคว้นพูดแค่ไม่อีกคำ นับตั้งแต่วันที่ลุงไปเจอเขาในบ้านสวนของพ่อแม่เขาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ฤดูหนาวนั่นหนาวจัดเหมือนอย่างนี้ละ ตอนนั้นพ่อแคว้นคงสักหกเจ็ดขวบ”
สารวัตรจุดบุหรี่และอัดควันเข้าปอดเร็วๆ สองสามครั้ง ก่อนจะพึมพำเหมือนกับคำพูดนั่นไม่เต็มใจจะออกมาจากริมฝีปากของตน
“ตายทั้งคู่ ทั้งพ่อทั้งแม่ คือ... หมายถึงตายมาแล้วเป็นวันๆ ด้วยนะ แต่ในบ้านตึกนั่นเย็นยะเยือก และไม่มีอาหารหรือเสบียงอะไรเหลืออยู่เลย พวกที่ปล้นคงเอาไปทุกอย่างที่ขนไปได้ ซึ่งก็คงมากมาย เพราะพวกพิทักษ์ถิ่นเขาก็มีอันจะกินกันพอสมควร”
บุหงาทอดสายตามองไปยังชายผู้ซึ่งตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ ขณะที่สารวัตรวิกรมเล่าต่อไป
“แต่พ่อแคว้นจัดการให้พ่อกับแม่ของเขาได้ขึ้นมานอนคู่กันบนเตียง..”
เสียงของชายชราเบาลง เมื่อสกลเดินใกล้เข้ามา
“ลุงไปเจอตอนที่เขานอนหลับอยู่กลางระหว่างร่างของพ่อกับแม่ หิวโซและเหมือนตายไปแล้วอีกคน”
บุหงารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกสะท้อนอยู่ในหัวใจ แต่ไม่มีเวลาถามอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาก้าวขึ้นบันไดมาแล้ว และกำลังจะพาเธอกลับไปยังบ้านสวน สถานที่ที่พ่อแม่ของเขาถูกโจรร้ายฆ่าตาย
เธอก้าวเข้าไปใต้ร่มคันโต ยอมให้เขาจับมือโดยไม่พูดอะไร ช่วยพยุงให้เธอลงไปนั่งที่ด้านท้ายเรือ ขณะที่สายฝนยังเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย
พายุฝนพรางทั้งเมืองไว้ในความมืดสลัว แสงไฟจากบ้านเรือนเริ่มดับลง และทำให้ความมืดยิ่งคล้ายจะมืดสนิท
บุหงากระชับเสื้อคลุมที่เขาเพิ่งยื่นให้ ราวกับว่าสถานที่แถวนี้มีมนตรา กำลังเสกเป่าครอบงำจิตใจเอาไว้ เพื่อให้เธอต้องตกไปอยู่ในชีวิตที่เงียบเหงา ปราศจากแสงสี มีลมหายใจเพียงเพื่อต่อชีวิตไปวันๆ
สกลล่องเรือผ่านย่านตลาดริมน้ำ ซึ่งมีบ้านเรือนและร้านค้าแออัดอยู่สองฟาก จากที่เธอเห็นตอนอยู่ในห้องขัง แถวของอาคารร้านค้าแถบริมคลอง จะเปิดหน้าร้านไว้ทั้งสองด้าน ทั้งฝั่งถนนและริมฝั่งคลอง
บุหงาได้ยินเสียงหวูดรถไฟทุกวันทั้งเช้าและเย็น แต่ไม่เห็นว่าสถานีอยู่ตรงไหน จนวันหนึ่งที่ศรีนายเอ่ยปากถาม จึงได้คำตอบว่าเป็นรถไฟสายสั้น ระหว่างสถานีอำเภอบางบัวทองกับต้นทางที่ซอยรถไฟใกล้วัดลิงขบ แถวย่านบางพลัด เขตนครธนบุรี
‘ก็เหมือนกับสายวงเวียนใหญ่-มหาชัยนั่นแหละ’
สารวัตรบอกไว้อย่างนั้น ซึ่งเธอก็ไม่รู้จักมันอยู่ดี
มีร้านขายของหลายแห่งที่ดูราวกับจะล้มพับลงมาได้ เมื่อถูกลมพัดแรงๆ มีเสียงดนตรีจากแผ่นเสียงดังยืดยาดแผ่วเบา ล่องลอยแทรกมาตามสายลม มีเสียงหัวเราะและด่าทอ เล็ดลอดผ่านสายฝนเทกระหน่ำ...
บุหงาดีใจที่จะได้พ้นไปจากย่านแถวนี้ จึงพยายามไม่คิดถึงว่า เธอกำลังจะไหน
นี่คือ...อาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาเสียเวลานั่งนึกเสียใจ...
เธอเบนร่มไปทางหนึ่ง หันไปมองชายที่นั่งวาดงัดแจวพายอยู่ข้างๆ สกลเป็นคนที่มีรูปร่างสูง แต่เสื้อคลุมนั่นทำให้กะขนาดความหนาและความกว้างไม่ถูก ผมเขาอาจเป็นแค่สีน้ำตาลเข้มไม่ใช่สีดำ แต่ที่แน่นอนคือมันยาวและเปียกโชก
ด้ามพายถูกมือใหญ่หนากระชับไว้อย่างมั่นคง และต้องยอมรับว่า เขามีพละกำลังมหาศาล จึงสามารถนำเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ล่องฝ่าสายฝนมาได้ ทั้งที่ยังแค่อยู่ในท่านั่ง
“ไกลแค่ไหนคะ”
บุหงาถามขึ้น ขณะลมกระโชกมาวูบหนึ่ง มันแทบจะพัดเธอปลิวไปด้วย
สกลไม่แสดงท่าทางว่าได้ยินเธอ ในท่ามกลางพายุฝน
หญิงสาวจึงนั่งนิ่งตามเดิม พยายามสัมผัสโดนเขาขณะที่โยกตัวไปมา...
จุดหมายปลายทางจะสำคัญอะไรอีกเล่า
แค่ตอนนี้เธอกำลังเปียกโชก อับจนหนทาง และต้องก้มหน้ารับชะตากรรม
บุหงาบอกตัวเองว่า จะต้องไม่ร้องไห้ แต่... สายฝนก็ช่วยพรางมันไว้ได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในห้องขัง เรือนจำ หรือกำลังถูกนำไปสู่ลานประหารสักหน่อย...
เธอเพิ่งมีสามี แบบที่ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ที่ตัวเองก็หวังเช่นนั้นมาตลอด และตอนนี้เธอก็ได้สมดังหวัง เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นคนที่เธอหวัง อีกทั้งมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วด้วย
ใจของบุหงาคิดจะเรียบเรียงเขียนจดหมายถึงพ่อสักฉบับหนึ่ง แต่ก็คิดว่าคงไม่จำเป็น พ่อคงไม่ยอมรับว่า มีการส่งจดหมายไปหา แม้เธอจะเขียนไปบอกว่า
กราบเท้าคุณพ่อที่เคารพ
หนูสบายดี หลังจากเพิ่งฆ่าคนตายไปอีกคน คราวนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ และหนูก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนอย่างที่พ่อเคยทำกับหนู หนูเข้ามอบตัวและรับสารภาพ คดีที่สองนี้ คงเรียกว่าหนูหนีไม่รอด โดนตัดสินโทษตลอดชีวิต แต่ไม่ใช่ถูกขังคุกหรอกนะคะ มันเป็นการต้องแต่งงานกับใครบางคนแค่นั้นเอง...
บุหงาหลับตา พักความคิดเรื่องพ่อไว้ก่อน ท่านเป็นญาติคนเดียวของเธอ ถึงกระนั้นคำพูดสุดท้ายก่อนจะจากกันมา ก็คือ
เธอได้ตายจากเขาไปแล้ว ไม่ต้องคิดจะย้อนกลับมาอีกแล้ว
หญิงสาวต้องบอกกับตัวเองว่า นี้คือเวลาที่จะต้องมองไปในวันข้างหน้า พร้อมกับเหลือบไปมองชายที่กำลังจะกลายเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดไป
สกลมองตรงไปแน่วไปข้างหน้า มันเป็นเพราะความกลัวมากกว่า การจำเป็นต้องทำ
ที่กลัวก็คือ กลัวว่าหากเขาเหลือบไปมองหญิงสาว เธออาจจะพูดกับเขาก็ได้
เขาต้องเป็นบ้าไปในไม่กี่วันอันใกล้นี้แน่ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น และอาจจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต ความคิดเรื่องการแต่งงานฟังดูเข้าท่าสำหรับชายหนุ่มเมื่อตอนบ่าย และค่าประกันตัวก็ดูยุติธรรมดีแล้ว แต่เขาไม่ได้คิดไว้ก่อนว่า ต้องเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง หลังจากจับสลากได้ภรรยามาคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคงไม่อาจทำแค่เพียงพาเธอกลับบ้าน นอนกับเธอ และรอให้มีเด็กๆ โผล่ออกมาชมโลก...
...ระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้น... เขา... ต้องพูดคุยกับเธอ...
สกลเสี่ยงหันไปมองเธอแวบหนึ่ง
นั่นทำให้แปลกใจ เพราะเธอก็ดูตกใจกลัวเหมือนกัน เมื่อสบตากับเขา
และเมื่อขาของเขาแตะโดนขาของเธอ ก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน แม้มันจะถูกคลุมทับด้วยผ้าผืนใหญ่อยู่ก็ตาม
สกลไม่แน่ใจว่า นั่นเกิดจากความหนาวเย็นเพราะสายฝน หรือเกิดจากความหวาดกลัว ที่จะไปสู่บ้านของชาย ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน...
ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่า เธอตัดสินใจเอง ไม่มีใครบังคับว่าจะต้องเลือกเขา เธอทำตามความต้องการของตนเอง เพียงแต่เขาคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้...
จริงอยู่ การแต่งงานอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่...
เขาน่ะหรือ... คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
สกลไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า จะต้องมาคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น เขารักความสันโดด อยู่ท่ามกลางไม่กี่คนที่ติดต่อด้วย เขารู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน ยกเว้น... เวลาที่ผู้หญิงจากร้านเหล้ารี่เข้ามาทักทายกลางถนน
เขาจำไม่ได้ว่า เคยพูดอะไรกับผู้หญิงบ้างหรือเปล่า และไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะต้องเป็นห่วงความรู้สึกของสตรีเพศ
ชายหนุ่มต้องสะกดกลั้นความสับสน เอื้อมมือไปหยิบผ้าใบอีกผืน ขึ้นคลุมหลังให้ทั้งตนเองและอีกคน มันดีกว่าร่ม ตรงช่วยบรรเทาสายลมเย็นได้อีกทางหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
ภรรยาหมาดๆ ของเขากระซิบ ขณะที่เธออิงด้านข้างแนบข้างกับตัวเขา แบบที่พยายามห่อตัวให้มิดชิดอยู่ในผ้าใบ
สกลอ้าแขนออก ลังเลนิดหนึ่งตอนจะวางแขนอ้อมไหล่ของหญิงสาว เธอตัวสั่นอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนที่ความแนบชิดของทั้งคู่ จะทำให้สองคนเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาอยากจะถอนวงแขนกลับมา บอกตัวเองว่า ควรต้องใช้แขนทั้งสองข้างพายเรือ ถึงแม้ด้ามพายจะสอดอยู่กับหลัก และพายไปได้ด้วยมือเดียว แต่การใช้สองมือย่อมได้ความเร็วที่มากกว่า
พอพ้นย่านจอแจมาแล้ว กลางคืนก็แสนมืดมิด ลำคลองสะท้อนเงาจากแสงฟ้าหม่นมัว ช่วยให้เขามุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ หลังจากพยายามจดจำความคดโค้งเอาไว้ ทุกครั้งที่ได้แสงสว่างจากสายฟ้าแลบ
ทว่า... สิ่งที่เขารับรู้ได้ตลอดเวลาอย่างง่ายดายก็คือ ลมหายใจอุ่นๆ ของเธอ รวมทั้งความรู้สึกว่ามีเธอแนบชิดอยู่ข้างกายนั่นเอง
สกลหวนคิดไปถึงภาพแรกที่เห็น ตอนนั้นเธอดูเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงเพรียว แต่ในตอนนี้ตัวเธอกลับเล็กจนแทบไม่พอให้เขาโอบกอด
สถาพของหญิงสาวตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่า กำลังกุมลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ ที่ทั้งนุ่มนิ่มและไร้กระดูก ไว้ในกำมือ