เผด็จการหัวใจ
บทที่ห้า
สกลรอจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง จากห้องนอนที่บุหงาหายเข้าไป
ดื่มกาแฟจนเสร็จ แล้วเดินสำรวจรอบห้องใหญ่ เหมือนอย่างที่ทำทุกคืน เพื่อตรวจตราสลักกุญแจ และกลอนต่างๆ ก่อนจะมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องของเธอ
ที่จริงก็รู้อยู่แก่ใจว่า หน้าต่างในห้องเดียวของบ้านนี้ น่าจะลงกลอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กับความเคยชิน ที่ทำเป็นกิจวัตรมาเกือบยี่สิบปี กับเรื่องตรวจดูประตูหน้าต่างทุกบานให้แน่ใจ... สองรอบ ก่อนนอน
หน้าต่างลงกลอนทั้งบนล่างกลางอยู่แล้วละน่ะ... ชายหนุ่มเตือนตัวเอง
ไม่แน่ใจว่า เธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าหากเขาเปิดประตูเข้าไปบอกว่า แค่จะขอดูกลอนหน้าต่างให้แน่ใจ
และด้วยฝนที่กำลังตกหนัก เธอคงไม่อยากเปิดหน้าต่างนั่นแน่ๆ
เมื่อคิดว่าไม่มีเหตุผลข้ออ้างเพียงพอ สกลจึงฝืนใจถอยออกมา
เมื่อครู่ก่อน ...เธอชงกาแฟได้ดี เขาคิด ดีกว่าที่เขาเคยต้มเองเสียอีก
ชายหนุ่มวางถ้วยแก้วลงในอ่างล้าง ไม่แน่ใจว่า จะทำยังไงดี กับเจ้าแผ่นขนมปังที่เธอหั่นแบ่งส่งให้
เขาคิดจะบอกเธอว่า ไม่ต้องเปลืองขนมปัง กับมื้อก่อนนอนอย่างนี้ก็ได้ เพราะเขามีเสบียงอาหารจำกัด สำหรับการเข้าเมืองให้น้อยเท่าที่จะทำได้
แต่ตอนที่หั่นขนมปังและเสิร์ฟให้เขา เธอทำอย่างกับเด็กเล่นขายของ
ทั้งหมดที่รู้คือ เธอแค่อาจพยายามทำหน้าที่ภรรยา รวมทั้งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา นับตั้งแต่คุณหมอและสารวัตรวิกรม นำร่างมารดาเขาออกไปเมื่อหลายปีก่อน
สกลอาจเคยพูดกับผู้หญิงในบางครั้ง แต่คำว่า “อย่าหั่นขนมปัง” ไม่น่าจะเป็นประโยคแรก ที่สามีจะเริ่มพูดกับภรรยา
ก่อนที่เขาจะสามารถนึกถึงประโยคอื่นๆ เหมาะสมกว่า เธอก็เริ่มต้นตั้งกฎที่ว่า พวกเขาควรจะหลับนอนกันอย่างไร
อีกเดือนหนึ่ง... เขาคิด นั่นคงไม่นานเกินไป
ชายหนุ่มไม่กล้าหวังให้เธอใช้ห้องร่วมกับเขา... ในห้องของเขา... ในคืนแรก
ก็แม่หอมผู้น่าสงสาร... ยังไม่รู้เลยว่า ห้องของเขาอยู่ที่ไหน
สกลเดินไปทางมุมห้อง ตรงที่ไม้กระดานปูพื้นห้องสีแปลกกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย เลื่อนพรมออก และยกเปิดประตูกล ที่ใครก็ยากจะสังเกตเห็น
“แล้วนี่จะต้องทำยังไงบ้าง ถ้าหากเธอเกิดได้มาอยู่บนเตียงเดียวกับเราจริงๆ”
เขาพึมพำ ขณะก้าวลงไปตามขั้นบันไดเล็กๆ
“หน้าที่ของสามี...”
เขาลงมาถึงพื้นล่าง ตรงนี้เป็นห้องใต้ถุนสำหรับเก็บของ เสบียงพิเศษจัดเรียงรายอยู่บนหิ้งชั้นหยาบๆ มีทั้งอาหารกระป๋อง ของหมักดองและอบแห้งต่างๆ เขาที่ซื้อมาตุนไว้เสมอ
สกลเลื่อนไม้กระดานสองสามแผ่นบนฝาผนังไปด้านข้าง ผลุบเข้าไป ในช่องทางเดินแคบๆ เลี้ยวครั้งหนึ่ง ก่อนจะแตะเบาๆ ที่กรอบประตูเหนือศีรษะ เพื่อให้ ไม้กระดานตรงผนังห้องใต้ถุนโยกกลับเข้าที่
ถึงตอนนี้ ไม่มีแสงใดๆ เล็ดลอดเข้ามาได้แล้ว ชายหนุ่มเคลื่อนตัวลึกเข้าไปตามทางเดิน คลำทางไปตามคานไม้บนศีรษะ ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
สำหรับครั้งนี้ เขาไม่ได้ปิดประตูกล ที่ขึ้นไปสู่ห้องใหญ่ชั้นบน เผื่อไว้ว่าเธออาจต้องการความช่วยเหลือในตอนกลางคืน แค่กลอนประตูหน้าต่างและลมพายุ ก็น่าจะทำให้ปลอดภัยจากผู้บุกรุกได้ในคืนนี้
ช่องทางเดินมาสิ้นสุดลงที่ห้องส่วนตัว เสียงฝีเท้าของเขาเงียบลง ขณะก้าวเหยียบไปบนพรมอีกผืนหนึ่ง
ทันทีที่หนึ่งเดือนสิ้นสุดลง สกลตกลงใจว่า เขาจะพาเธอลงมาในห้องนี้ และจัดการสร้างประชากรตระกูลพิทักษ์ถิ่นกับเธอ...
นั่นคือ... สิ่งที่คนแต่งงานต้องทำกัน...
ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น... ไม่อย่างนั้นพวกเด็กๆ จะมาจากไหนกันล่ะ?
ชายหนุ่มเคยผ่านตาเกี่ยวกับเรื่องความรัก และตัณหาราคะ แต่กับบุหงา เธอกลับไม่ได้ดูเหมือนอย่างที่อ่าน หรือเห็นรูปภาพ แล้วเคยสร้างความตื่นเต้นให้กับเขา
เมื่อการสร้างประชากรเสร็จสิ้น หญิงสาวก็จะสามารถกลับขึ้นไปห้องชั้นบนได้ทันที ถ้าหากว่าเธอต้องการ
สกลไม่รู้ว่า ต้องใช้เวลานานเท่าไรกับการมีอะไรกับผู้หญิง...
อาจจะไม่มากกว่าสองสามนาที...
เขาเดาว่า อย่างนั้นนะ
แต่ก็น่าจะต้องมีการพูดจาอะไรกันก่อนหรือไม่ ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ?
ตอนชายหนุ่มสัมผัสมือเธอ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสองปี ที่เขาได้สัมผัสผิวกายของผู้หญิง
เมื่อสองปีที่แล้ว สกลเตร็ดเตร่เข้าไปในร้านขายเหล้า ในตัวอำเภอ
มีหญิงสาวคนหนึ่ง ทาปากแดง มีทรวงอกล้นออกมาจากชุดคับติ้ว หล่อนคว้ามือเขาแล้วพยายามดึงขึ้นไปชั้นบน
“ข้างบนสนุกกว่านะจ๊ะ ขึ้นไปด้วยกันเลยดีไหม?”
หญิงที่ทาตาทาปากเซ้าซี้ถาม การแสดงออกของหล่อน ดูราวกับรู้จักที่จะพูดอยู่เพียงแค่ประโยคนั้น
ทว่าสกลกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนรูปปั้นที่ถูกตีกระหน่ำ ด้วยความรู้สึกจากการลูบไล้ควักล้วง ทั้งที่ลำแขน ต้นขาและส่วนต่างๆ แบบที่เธอไม่คิดจะละเว้น
ด้วยกลิ่นกาย ที่คล้ายกลิ่นกุหลาบชื้นๆ เฉาๆ ทำให้เขาได้แต่มอง ขณะหล่อนเบียดหน้าอกกับแขนของเขา หล่อนยิ้ม ราวกับกำลังจะให้ของขวัญแก่เขา
ลมหายใจของหญิงนางนั้น เหม็นแบบกลิ่นกุหลาบที่จมน้ำมาหลายปี
การเสียดสีของหล่อน ทำให้บางส่วนของชุดเลื่อนหลุดจากไหล่ จนมองเห็นเสื้อชั้นในสีน้ำตาลที่ชื้นเหงื่อ
“เอาน่า คุณน้อง พี่จิ๋มจะพาคุณไปเที่ยวในสวนสวรรค์เชียวนะจ๊ะ”
สาวร้านเหล้ากระซิบ พร้อมกับส่งกลิ่นสุราโชยออกมากับลมหายใจ
“ผู้ชายมาที่นี่ ก็เพราะอยากขึ้นข้างบนกันทั้งนั้น...”
เมื่อสกลยังไม่ตอบ ชายที่บาร์ขายเหล้า ก็ตะโกนเรียกหล่อนกลับไป
“เขาไม่ชอบพวกคนเป็นๆ อย่างพวกเราหรอกน่า”
ชายคนนั้นบอก นั่นทำให้สกลยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ในร้าน
“บ้านมันอยู่ลึกไปทางบางแม่นางโน่น บ้านสวนของพ่อแม่ที่ถูกปล้นฆ่าไปนั่นละ ขนาดสารวัตรไปช่วยจัดการศพ พากลับมาที่ในเมือง แล้วเขาก็ยังหนีไปจากอีตามัคนายก ที่อุตส่าห์ยอมให้อยู่ด้วย
“นั่นละ... นั่นละ... ถึงบอกว่า เขาไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับคนที่ยังมีชีวิต”
อีกคนเข้ามาผสมโรงทันที
“จริงด้วย... ข้าจำได้ พ่อเคยบอกว่า สารวัตรน่าจะพาเด็กนั่นไปส่งสถานสงเคราะห์มันไม่น่าให้เด็กไปอยู่บ้านสวนที่ไกลและเปลี่ยวขนาดนั้นคนเดียว แต่สารวัตรวิกรมก็ใจอ่อนตลอดแหละ สำหรับพวกสัตว์บ้าใบ้ รวมทั้งตัวที่เดินด้วยสองขานั่นด้วย”
ฝูงชนห้อมล้อมเข้ามาใกล้สกล พากันพึมพำเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เขาไม่เคยไปโรงเรียนหรือเข้าวัดเข้าวา... หรือแม้แต่จะบวชเรียน หรือการแวะดื่มเหล้าสักกั๊กสองกั๊กก่อนกลับบ้าน
“นายมาทำอะไรที่นี่?”
ใครบางคนตะโกนถาม ขณะคนทั้งฝูงขยับเข้าใกล้ นั่นสร้างความอึดอัดให้กับสกลอย่างมหาศาล
“ยังหนุ่ม ยังแน่นปั๊กขนาดนี้ ก็ต้องมาหาความสุขสิจ๊ะ!”
สาวจิ๋มร้องประกาศ ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ใบหูของสกล แล้วกระซิบ
“หล่อล่ำขนาดนี้พี่ลดพิเศษ ถ้าถูกใจจะให้กินฟรีๆ แล้วถ้า... ถ้าทำดีๆ พี่จะแถม...”
หล่อนเริ่มฉุดลากเขา ราวกับคิดว่าจะทำได้ง่ายๆ
กลิ่นสาบของผู้คนมากมาย กลิ่นเหล้าเบียร์ต่างๆ รายล้อมเอาไว้ ด้วยกลิ่นขนาดนี้ เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใครจะเป็นคนต่อไป ที่จะพ่นคำพูดออกมา
สกลขยับตัว ด้วยพละกำลังคล้ายช้างสาร เขาสามารถแหวกทางผู้คน ก้าวพ้นออกมาจากร้าน ตรงดิ่งมาที่เรือของตน โดยไม่มีใครกล้าจะยับยั้ง
นั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขายอมก้าวเลยไปจากร้านขายส่งผักผลไม้ของนายสมาน กับที่คอกรับดูแลวัวและม้า...
อย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่ง... เมื่อหัวค่ำวานนี้
สกลเดินผ่านผนังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหนังสือสารพัด โดยไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่าง
เขารักความเงียบสงบของห้องใต้ดิน กลิ่นชื้นๆ ที่ล่องลอยอยู่ทั่วไป รวมกับกลิ่นของหนังสือ ที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ พวกมันยินดีต้อนรับเขาเสมอ
สกลค้นพบว่า มีโลกอีกโลกหนึ่งอยู่ในหนังสือ ในปีที่เขาต้องสูญเสียพ่อแม่ การต้องมาอยู่ในเมือง ที่บ้านของมัคนายกที่ไม่เคยมีปากมีเสียงอะไรกับภรรยา เวลาที่นางจิกใช้เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเยี่ยงทาส
ทั้งการทำความสะอาดบ้านและการซักล้าง สกลจำได้ดีว่ากี่คืน ที่ตนถูกลากลงจากที่นอน เพื่อไปเช็ดกระจกทุกบานในบ้าน ให้เงางามจนกว่านางจะพอใจ
สกลได้หัดอ่านเขียนที่วัดกับหลวงตา แทนที่จะได้ไปโรงเรียน วันพระต้องไปเป็นศิษย์วัด ขณะที่วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปรับจ้างดำนา แบบที่ไม่เคยได้เห็นค่าจ้าง
ที่จริงหลวงตาที่วัดใจดีกับเขามาก ให้อ่านหนังสือทุกเล่มที่สนใจ แต่ก็มักถูกทำร้ายและดุว่าเสมอ เมื่อเขาเอามันกลับมาอ่านที่บ้านมัคนายก
นางใจยักษ์พูดเสมอว่า
“เป็นวัวเป็นควาย ถึงจะอ่านออกเขียนได้ไปก็เปล่าประโยชน์”
ในที่สุด เมื่อเขาคิดว่า ไม่มีความจำเป็นจะต้องพึ่งพานางคนใจมารนั่นอีกแล้ว สกลในวัยสิบสองปี ก็เดินเท้าตลอดทั้งคืนเพื่อกลับบ้านสวนบางแม่นาง
ตลอดเวลาเดินกลับมานั้น เขาก็วางแผนการ ที่จะทำให้บ้านของเขา เป็นป้อมปราการ เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สำหรับเขาตลอดไป
ลุงมัคนายกตามมาถึงบ้านสวนในวันรุ่งขึ้น พยายามตะโกนเรียกและตามหา แต่เด็กชายสกลซ่อนตัวอย่างมิดชิด แล้วหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ลุงสารวัตรวิกรมก็มาวางเถาปิ่นโตและลังใส่ของกินไว้ให้ตรงหน้าระเบียง
เด็กชายสกลค้นพบห้องลับใต้ดินในที่สุด เขารู้ว่าพ่อแม่มีบัญชีกับร้านรับฝากเงิน เลยยอมออกมาพบกับสารวัตรวิกรมครั้งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยจัดการเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เพื่อให้สะดวกขึ้น เวลาที่เขาสั่งซื้ออะไรๆ จากร้านของนายสมาน
แน่นอนว่า นอกจากขนมปังก้อนโตๆ กับของใช้ต่างๆ เกือบทุกครั้ง เขาจะสั่งซื้อหนังสือด้วย และหลายครั้งที่นายสมานจะนำมันมาส่งให้ด้วยตัวเอง
ลุงสารวัตรจะขี่ม้าออกมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว แต่หลังจากครั้งที่คุยกันเรื่องจัดการเงินทอง สกลก็ไม่เคยออกมาพบอีกเลย
แต่ชายชราผู้อารีก็มักจะมานั่งอยู่ตรงระเบียงครั้งละนานๆ เพื่อที่จะหว่านล้อมกับลมกับแล้ง ว่าเด็กชายควรกลับเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอเพราะอะไร
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขาอีก สกลจะเก็บเกี่ยวพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
ชายชราผู้ช่วยที่ชื่อประกอบ แวะผ่านมาถึงที่นั่นเมื่อตอนที่ในกรุงเทพวุ่นวายหนัก เขาอาสาช่วยทำงาน เพื่อแลกกับอาหารและที่หลับนอน
นายประกอบหรือ ลุงกอบ ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำสวนผลไม้ และสอนวิชาการช่างไม้ให้เพิ่มเติม โดยไม่เคยรุกล้ำหรือตั้งคำถามอื่นใด เกี่ยวกับการต้องอยู่ตัวคนเดียวของสกลเลยสักครั้ง
ลุงกอบ ไม่ได้อยู่ตลอด เมื่อถึงฤดูทำนา ชายชราจะหายหน้าไป จากนั้นก็กลับมาพร้อมข้าวสารสองสามถัง กลับไปนอนในกระต๊อบเล็กๆ ที่ปลูกขึ้นแถวกลางสวน
หลังจากผ่านไปหลายปี ลุงกอบเริ่มหายหน้าไปครั้งละนานๆ ยิ่งขึ้น โรงเรือนอีกหลังที่เขาเคยช่วยกันปลูกไว้ถาวร ก็แทบจะเป็นแค่โกดังเก็บอุปกรณ์ แต่สกลก็ยังกันไว้ห้องหนึ่งเสมอ เผื่อเวลาที่ลุงกอบของเขาจะมีเวลากลับมา
สกลลูบมือไปตามสันหนังสือที่อัดแน่นอยู่บนชั้น หลายปีแล้วที่เขาได้สั่งซื้อหนังสือประเภทวิธีการปลูกและดูแลไม้ดอกไม้ผล...
แต่ไม่มีสักเล่มเดียว ที่จะบอกถึง วิธีการเป็นสามี?
(มีต่อ)
เผด็จการหัวใจ บทที่ 5
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอบคุณทุกโหวต ทุกความคิดเห็นทุกกำลังใจ ทุกจิ้มถูกใจจากทุกท่านครับ
ทวี ปัญญา ซึ้ง, นภา อำไพ ถูกใจ, มานีโอลา ถูกใจ, CAN LIVE ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 816465 ถูกใจ, thezircon ถูกใจ,
วัน เวลา เมื่อปีกลาย ถูกใจ, PuPaKae ถูกใจ, Inverness ถูกใจ และ คุณป้าทุยบ้านทุ่ง ถูกใจ
ขอบคุณนักอ่านไร้เงาทุกท่านที่แวะเวียน ขาดตกบกพร่องประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ ครับผม
**********************************
บทที่ห้า
สกลรอจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง จากห้องนอนที่บุหงาหายเข้าไป
ดื่มกาแฟจนเสร็จ แล้วเดินสำรวจรอบห้องใหญ่ เหมือนอย่างที่ทำทุกคืน เพื่อตรวจตราสลักกุญแจ และกลอนต่างๆ ก่อนจะมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องของเธอ
ที่จริงก็รู้อยู่แก่ใจว่า หน้าต่างในห้องเดียวของบ้านนี้ น่าจะลงกลอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กับความเคยชิน ที่ทำเป็นกิจวัตรมาเกือบยี่สิบปี กับเรื่องตรวจดูประตูหน้าต่างทุกบานให้แน่ใจ... สองรอบ ก่อนนอน
หน้าต่างลงกลอนทั้งบนล่างกลางอยู่แล้วละน่ะ... ชายหนุ่มเตือนตัวเอง
ไม่แน่ใจว่า เธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าหากเขาเปิดประตูเข้าไปบอกว่า แค่จะขอดูกลอนหน้าต่างให้แน่ใจ
และด้วยฝนที่กำลังตกหนัก เธอคงไม่อยากเปิดหน้าต่างนั่นแน่ๆ
เมื่อคิดว่าไม่มีเหตุผลข้ออ้างเพียงพอ สกลจึงฝืนใจถอยออกมา
เมื่อครู่ก่อน ...เธอชงกาแฟได้ดี เขาคิด ดีกว่าที่เขาเคยต้มเองเสียอีก
ชายหนุ่มวางถ้วยแก้วลงในอ่างล้าง ไม่แน่ใจว่า จะทำยังไงดี กับเจ้าแผ่นขนมปังที่เธอหั่นแบ่งส่งให้
เขาคิดจะบอกเธอว่า ไม่ต้องเปลืองขนมปัง กับมื้อก่อนนอนอย่างนี้ก็ได้ เพราะเขามีเสบียงอาหารจำกัด สำหรับการเข้าเมืองให้น้อยเท่าที่จะทำได้
แต่ตอนที่หั่นขนมปังและเสิร์ฟให้เขา เธอทำอย่างกับเด็กเล่นขายของ
ทั้งหมดที่รู้คือ เธอแค่อาจพยายามทำหน้าที่ภรรยา รวมทั้งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา นับตั้งแต่คุณหมอและสารวัตรวิกรม นำร่างมารดาเขาออกไปเมื่อหลายปีก่อน
สกลอาจเคยพูดกับผู้หญิงในบางครั้ง แต่คำว่า “อย่าหั่นขนมปัง” ไม่น่าจะเป็นประโยคแรก ที่สามีจะเริ่มพูดกับภรรยา
ก่อนที่เขาจะสามารถนึกถึงประโยคอื่นๆ เหมาะสมกว่า เธอก็เริ่มต้นตั้งกฎที่ว่า พวกเขาควรจะหลับนอนกันอย่างไร
อีกเดือนหนึ่ง... เขาคิด นั่นคงไม่นานเกินไป
ชายหนุ่มไม่กล้าหวังให้เธอใช้ห้องร่วมกับเขา... ในห้องของเขา... ในคืนแรก
ก็แม่หอมผู้น่าสงสาร... ยังไม่รู้เลยว่า ห้องของเขาอยู่ที่ไหน
สกลเดินไปทางมุมห้อง ตรงที่ไม้กระดานปูพื้นห้องสีแปลกกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย เลื่อนพรมออก และยกเปิดประตูกล ที่ใครก็ยากจะสังเกตเห็น
“แล้วนี่จะต้องทำยังไงบ้าง ถ้าหากเธอเกิดได้มาอยู่บนเตียงเดียวกับเราจริงๆ”
เขาพึมพำ ขณะก้าวลงไปตามขั้นบันไดเล็กๆ
“หน้าที่ของสามี...”
เขาลงมาถึงพื้นล่าง ตรงนี้เป็นห้องใต้ถุนสำหรับเก็บของ เสบียงพิเศษจัดเรียงรายอยู่บนหิ้งชั้นหยาบๆ มีทั้งอาหารกระป๋อง ของหมักดองและอบแห้งต่างๆ เขาที่ซื้อมาตุนไว้เสมอ
สกลเลื่อนไม้กระดานสองสามแผ่นบนฝาผนังไปด้านข้าง ผลุบเข้าไป ในช่องทางเดินแคบๆ เลี้ยวครั้งหนึ่ง ก่อนจะแตะเบาๆ ที่กรอบประตูเหนือศีรษะ เพื่อให้ ไม้กระดานตรงผนังห้องใต้ถุนโยกกลับเข้าที่
ถึงตอนนี้ ไม่มีแสงใดๆ เล็ดลอดเข้ามาได้แล้ว ชายหนุ่มเคลื่อนตัวลึกเข้าไปตามทางเดิน คลำทางไปตามคานไม้บนศีรษะ ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
สำหรับครั้งนี้ เขาไม่ได้ปิดประตูกล ที่ขึ้นไปสู่ห้องใหญ่ชั้นบน เผื่อไว้ว่าเธออาจต้องการความช่วยเหลือในตอนกลางคืน แค่กลอนประตูหน้าต่างและลมพายุ ก็น่าจะทำให้ปลอดภัยจากผู้บุกรุกได้ในคืนนี้
ช่องทางเดินมาสิ้นสุดลงที่ห้องส่วนตัว เสียงฝีเท้าของเขาเงียบลง ขณะก้าวเหยียบไปบนพรมอีกผืนหนึ่ง
ทันทีที่หนึ่งเดือนสิ้นสุดลง สกลตกลงใจว่า เขาจะพาเธอลงมาในห้องนี้ และจัดการสร้างประชากรตระกูลพิทักษ์ถิ่นกับเธอ...
นั่นคือ... สิ่งที่คนแต่งงานต้องทำกัน...
ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น... ไม่อย่างนั้นพวกเด็กๆ จะมาจากไหนกันล่ะ?
ชายหนุ่มเคยผ่านตาเกี่ยวกับเรื่องความรัก และตัณหาราคะ แต่กับบุหงา เธอกลับไม่ได้ดูเหมือนอย่างที่อ่าน หรือเห็นรูปภาพ แล้วเคยสร้างความตื่นเต้นให้กับเขา
เมื่อการสร้างประชากรเสร็จสิ้น หญิงสาวก็จะสามารถกลับขึ้นไปห้องชั้นบนได้ทันที ถ้าหากว่าเธอต้องการ
สกลไม่รู้ว่า ต้องใช้เวลานานเท่าไรกับการมีอะไรกับผู้หญิง...
อาจจะไม่มากกว่าสองสามนาที...
เขาเดาว่า อย่างนั้นนะ
แต่ก็น่าจะต้องมีการพูดจาอะไรกันก่อนหรือไม่ ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ?
ตอนชายหนุ่มสัมผัสมือเธอ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสองปี ที่เขาได้สัมผัสผิวกายของผู้หญิง
เมื่อสองปีที่แล้ว สกลเตร็ดเตร่เข้าไปในร้านขายเหล้า ในตัวอำเภอ
มีหญิงสาวคนหนึ่ง ทาปากแดง มีทรวงอกล้นออกมาจากชุดคับติ้ว หล่อนคว้ามือเขาแล้วพยายามดึงขึ้นไปชั้นบน
“ข้างบนสนุกกว่านะจ๊ะ ขึ้นไปด้วยกันเลยดีไหม?”
หญิงที่ทาตาทาปากเซ้าซี้ถาม การแสดงออกของหล่อน ดูราวกับรู้จักที่จะพูดอยู่เพียงแค่ประโยคนั้น
ทว่าสกลกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนรูปปั้นที่ถูกตีกระหน่ำ ด้วยความรู้สึกจากการลูบไล้ควักล้วง ทั้งที่ลำแขน ต้นขาและส่วนต่างๆ แบบที่เธอไม่คิดจะละเว้น
ด้วยกลิ่นกาย ที่คล้ายกลิ่นกุหลาบชื้นๆ เฉาๆ ทำให้เขาได้แต่มอง ขณะหล่อนเบียดหน้าอกกับแขนของเขา หล่อนยิ้ม ราวกับกำลังจะให้ของขวัญแก่เขา
ลมหายใจของหญิงนางนั้น เหม็นแบบกลิ่นกุหลาบที่จมน้ำมาหลายปี
การเสียดสีของหล่อน ทำให้บางส่วนของชุดเลื่อนหลุดจากไหล่ จนมองเห็นเสื้อชั้นในสีน้ำตาลที่ชื้นเหงื่อ
“เอาน่า คุณน้อง พี่จิ๋มจะพาคุณไปเที่ยวในสวนสวรรค์เชียวนะจ๊ะ”
สาวร้านเหล้ากระซิบ พร้อมกับส่งกลิ่นสุราโชยออกมากับลมหายใจ
“ผู้ชายมาที่นี่ ก็เพราะอยากขึ้นข้างบนกันทั้งนั้น...”
เมื่อสกลยังไม่ตอบ ชายที่บาร์ขายเหล้า ก็ตะโกนเรียกหล่อนกลับไป
“เขาไม่ชอบพวกคนเป็นๆ อย่างพวกเราหรอกน่า”
ชายคนนั้นบอก นั่นทำให้สกลยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ในร้าน
“บ้านมันอยู่ลึกไปทางบางแม่นางโน่น บ้านสวนของพ่อแม่ที่ถูกปล้นฆ่าไปนั่นละ ขนาดสารวัตรไปช่วยจัดการศพ พากลับมาที่ในเมือง แล้วเขาก็ยังหนีไปจากอีตามัคนายก ที่อุตส่าห์ยอมให้อยู่ด้วย
“นั่นละ... นั่นละ... ถึงบอกว่า เขาไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับคนที่ยังมีชีวิต”
อีกคนเข้ามาผสมโรงทันที
“จริงด้วย... ข้าจำได้ พ่อเคยบอกว่า สารวัตรน่าจะพาเด็กนั่นไปส่งสถานสงเคราะห์มันไม่น่าให้เด็กไปอยู่บ้านสวนที่ไกลและเปลี่ยวขนาดนั้นคนเดียว แต่สารวัตรวิกรมก็ใจอ่อนตลอดแหละ สำหรับพวกสัตว์บ้าใบ้ รวมทั้งตัวที่เดินด้วยสองขานั่นด้วย”
ฝูงชนห้อมล้อมเข้ามาใกล้สกล พากันพึมพำเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เขาไม่เคยไปโรงเรียนหรือเข้าวัดเข้าวา... หรือแม้แต่จะบวชเรียน หรือการแวะดื่มเหล้าสักกั๊กสองกั๊กก่อนกลับบ้าน
“นายมาทำอะไรที่นี่?”
ใครบางคนตะโกนถาม ขณะคนทั้งฝูงขยับเข้าใกล้ นั่นสร้างความอึดอัดให้กับสกลอย่างมหาศาล
“ยังหนุ่ม ยังแน่นปั๊กขนาดนี้ ก็ต้องมาหาความสุขสิจ๊ะ!”
สาวจิ๋มร้องประกาศ ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ใบหูของสกล แล้วกระซิบ
“หล่อล่ำขนาดนี้พี่ลดพิเศษ ถ้าถูกใจจะให้กินฟรีๆ แล้วถ้า... ถ้าทำดีๆ พี่จะแถม...”
หล่อนเริ่มฉุดลากเขา ราวกับคิดว่าจะทำได้ง่ายๆ
กลิ่นสาบของผู้คนมากมาย กลิ่นเหล้าเบียร์ต่างๆ รายล้อมเอาไว้ ด้วยกลิ่นขนาดนี้ เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใครจะเป็นคนต่อไป ที่จะพ่นคำพูดออกมา
สกลขยับตัว ด้วยพละกำลังคล้ายช้างสาร เขาสามารถแหวกทางผู้คน ก้าวพ้นออกมาจากร้าน ตรงดิ่งมาที่เรือของตน โดยไม่มีใครกล้าจะยับยั้ง
นั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขายอมก้าวเลยไปจากร้านขายส่งผักผลไม้ของนายสมาน กับที่คอกรับดูแลวัวและม้า...
อย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่ง... เมื่อหัวค่ำวานนี้
สกลเดินผ่านผนังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหนังสือสารพัด โดยไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่าง
เขารักความเงียบสงบของห้องใต้ดิน กลิ่นชื้นๆ ที่ล่องลอยอยู่ทั่วไป รวมกับกลิ่นของหนังสือ ที่สะสมมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ พวกมันยินดีต้อนรับเขาเสมอ
สกลค้นพบว่า มีโลกอีกโลกหนึ่งอยู่ในหนังสือ ในปีที่เขาต้องสูญเสียพ่อแม่ การต้องมาอยู่ในเมือง ที่บ้านของมัคนายกที่ไม่เคยมีปากมีเสียงอะไรกับภรรยา เวลาที่นางจิกใช้เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเยี่ยงทาส
ทั้งการทำความสะอาดบ้านและการซักล้าง สกลจำได้ดีว่ากี่คืน ที่ตนถูกลากลงจากที่นอน เพื่อไปเช็ดกระจกทุกบานในบ้าน ให้เงางามจนกว่านางจะพอใจ
สกลได้หัดอ่านเขียนที่วัดกับหลวงตา แทนที่จะได้ไปโรงเรียน วันพระต้องไปเป็นศิษย์วัด ขณะที่วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปรับจ้างดำนา แบบที่ไม่เคยได้เห็นค่าจ้าง
ที่จริงหลวงตาที่วัดใจดีกับเขามาก ให้อ่านหนังสือทุกเล่มที่สนใจ แต่ก็มักถูกทำร้ายและดุว่าเสมอ เมื่อเขาเอามันกลับมาอ่านที่บ้านมัคนายก
นางใจยักษ์พูดเสมอว่า
“เป็นวัวเป็นควาย ถึงจะอ่านออกเขียนได้ไปก็เปล่าประโยชน์”
ในที่สุด เมื่อเขาคิดว่า ไม่มีความจำเป็นจะต้องพึ่งพานางคนใจมารนั่นอีกแล้ว สกลในวัยสิบสองปี ก็เดินเท้าตลอดทั้งคืนเพื่อกลับบ้านสวนบางแม่นาง
ตลอดเวลาเดินกลับมานั้น เขาก็วางแผนการ ที่จะทำให้บ้านของเขา เป็นป้อมปราการ เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สำหรับเขาตลอดไป
ลุงมัคนายกตามมาถึงบ้านสวนในวันรุ่งขึ้น พยายามตะโกนเรียกและตามหา แต่เด็กชายสกลซ่อนตัวอย่างมิดชิด แล้วหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ลุงสารวัตรวิกรมก็มาวางเถาปิ่นโตและลังใส่ของกินไว้ให้ตรงหน้าระเบียง
เด็กชายสกลค้นพบห้องลับใต้ดินในที่สุด เขารู้ว่าพ่อแม่มีบัญชีกับร้านรับฝากเงิน เลยยอมออกมาพบกับสารวัตรวิกรมครั้งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยจัดการเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เพื่อให้สะดวกขึ้น เวลาที่เขาสั่งซื้ออะไรๆ จากร้านของนายสมาน
แน่นอนว่า นอกจากขนมปังก้อนโตๆ กับของใช้ต่างๆ เกือบทุกครั้ง เขาจะสั่งซื้อหนังสือด้วย และหลายครั้งที่นายสมานจะนำมันมาส่งให้ด้วยตัวเอง
ลุงสารวัตรจะขี่ม้าออกมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว แต่หลังจากครั้งที่คุยกันเรื่องจัดการเงินทอง สกลก็ไม่เคยออกมาพบอีกเลย
แต่ชายชราผู้อารีก็มักจะมานั่งอยู่ตรงระเบียงครั้งละนานๆ เพื่อที่จะหว่านล้อมกับลมกับแล้ง ว่าเด็กชายควรกลับเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอเพราะอะไร
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขาอีก สกลจะเก็บเกี่ยวพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
ชายชราผู้ช่วยที่ชื่อประกอบ แวะผ่านมาถึงที่นั่นเมื่อตอนที่ในกรุงเทพวุ่นวายหนัก เขาอาสาช่วยทำงาน เพื่อแลกกับอาหารและที่หลับนอน
นายประกอบหรือ ลุงกอบ ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำสวนผลไม้ และสอนวิชาการช่างไม้ให้เพิ่มเติม โดยไม่เคยรุกล้ำหรือตั้งคำถามอื่นใด เกี่ยวกับการต้องอยู่ตัวคนเดียวของสกลเลยสักครั้ง
ลุงกอบ ไม่ได้อยู่ตลอด เมื่อถึงฤดูทำนา ชายชราจะหายหน้าไป จากนั้นก็กลับมาพร้อมข้าวสารสองสามถัง กลับไปนอนในกระต๊อบเล็กๆ ที่ปลูกขึ้นแถวกลางสวน
หลังจากผ่านไปหลายปี ลุงกอบเริ่มหายหน้าไปครั้งละนานๆ ยิ่งขึ้น โรงเรือนอีกหลังที่เขาเคยช่วยกันปลูกไว้ถาวร ก็แทบจะเป็นแค่โกดังเก็บอุปกรณ์ แต่สกลก็ยังกันไว้ห้องหนึ่งเสมอ เผื่อเวลาที่ลุงกอบของเขาจะมีเวลากลับมา
สกลลูบมือไปตามสันหนังสือที่อัดแน่นอยู่บนชั้น หลายปีแล้วที่เขาได้สั่งซื้อหนังสือประเภทวิธีการปลูกและดูแลไม้ดอกไม้ผล...
แต่ไม่มีสักเล่มเดียว ที่จะบอกถึง วิธีการเป็นสามี?