เผด็จการหัวใจ บทที่ 2

กระทู้สนทนา
เผด็จการหัวใจ
http://ppantip.com/topic/32503484


*********************************************



แอบถี่เรียกลูกค้านิดนึงนะครับ อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยียน ชม ชิม นิยายรัก(น่าจะ)ละมุน เรื่องนี้ครับ
ขอบคุณกำลังใจมหาศาลจากทุกจิ้ม... คุณ มานีโอลา , คุณ Inverness และ คุณ thezircon
ขอบคุณความคิดเห็นที่ทำให้หัวใจคนเขียนแสนจะเบิกบานจาก คุณ thezircon อีกหน


**************************




เผด็จการหัวใจ



บทที่สอง





ศรีนายกับนงเยาว์หลับสนิทไปก่อนแล้ว ตอนที่บุหงายังยืนอยู่หลังหน้าต่างลูกกรงห้องขัง และเฝ้ามองเงาผู้คนเดินผ่าน บนถนนที่เต็มไปด้วยหลุมหล่มและเฉอะแฉะ ที่ชาวตัวอำเภอนี้เรียกว่า ทางสายหลัก

อาจพูดได้ว่า ขณะนี้คือช่วงชีวิตที่ย่ำแย่สุดของบุหงา เธอรู้สึกว่า มันแทบไม่ต่างจากการจมดึ่งลงสู่นรกขุมที่ลึกที่สุด

บางนาที...

หญิงสาวชาวใต้ก็เกือบจะยิ้มออก เมื่อนึกถึงเช้าวันที่จำต้องอำลาจากบ้านเกิด นั่นเป็นวันที่เธอต้องจดจำมันด้วยตัวคนเดียว เพราะไม่มีใครมาส่งเลยสักคน

หรือการที่ต้องถูกฉุดคร่า จนได้มาเจอกับอีกสองสาว

แต่เหล่านั้นก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรนัก เมื่อเทียบกับสถานการณ์มีความดำมืดเป็นอนาคต อย่างในขณะนี้

บุหงามองข้ามความจริงที่ว่า เธอไม่รู้จักเมืองนี้ ลำคลองสายใหญ่ วัดวาใหญ่โต อาคารสถานที่ทำการของทางราชการ หลังเพิ่งเปลี่ยนแปลงปกครองมาได้ไม่กี่ปี มีถนนลูกรังตัดผ่าน ทั้งหมดล้วนเคยคุ้นตา กับสภาพที่เห็นได้ทั่วไปตามหัวเมืองใหญ่น้อย ทว่า ที่เห็นอยู่นี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับเธออยู่ดี

ดังนั้นหญิงสาวจึงบอกตัวเองว่า จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นกับตัวเพียงเท่านั้น แม้บรรดาผู้คนที่ผ่านเข้ามาในสายตา จะแทบดูไม่ต่างจากเสือผาด ซึ่งเธอค่อนข้างมั่นใจว่า ที่ชายโฉดชั่วคนนั้น บอกว่าเพิ่งไปจากที่นี่ ก็คงเหมือนเขากำลังออกจากบ้าน และมิตรสหายที่คุ้นเคยนั่นละ

คำสอนของย่า เวียนเข้ามาในหัว...

“แม่หอม ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีเข้าไว้”

บุหงาคิดหนัก เมื่อพวกเขาพบร่างของเสือผาดในวันพรุ่งนี้ นั่นหมายถึงว่า อย่างน้อยเธอจะถูกยิงเป้า หลังจากได้นอนหลับเต็มที่ ได้กินอย่างอิ่มหนำ ได้อาบน้ำชำระร่างกาย และได้อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านเรียบร้อยแล้ว

สารวัตรวิกรมเป็นคนใจดีอย่างเหลือเชื่อ หลังจากเขาทำตามคำขอของพวกเธอทุกอย่าง ให้ใช้น้ำได้มากมาย ใช้สบู่และยาสระผม แบบไม่ต้องกลัวว่าหมดแล้ว จะหาจากที่ไหนได้อีก

น่าจะช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ที่เธอได้แสดงฝีมือทำกับข้าวเต็มที่ในมื้อค่ำ เพื่อให้พ่อใจอ่อน กับจดหมายจากคนรัก ที่จะบอกว่า เขาพร้อมแล้วสำหรับการส่งเถ้าแก่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ ให้เธอถักผ้าคลุมเตียงรอไว้ได้เลย...

ทว่า... กระทั่ง... คืนนี้ เธอกลับตกมาอยู่ในเมือง ที่ดูจะน่ารังเกียจไปหมดทุกสิ่งอย่าง รวมทั้งยังได้ ทำฆาตกรรมเพิ่มขึ้นอีกคดีหนึ่ง... สดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้ามืดวานนี้เอง

ดาวประกายพรึกส่งแสงพริบพราวอยู่ระหว่างลูกกรงเหล็กสองช่องที่ตระหง่านง้ำ ไก่ขันเจื้อยแจ้วบอกเวลาใกล้รุ่ง

บุหงาอดคิดเตลิดไปไม่ได้ว่า ชีวิตเธอคงต้องถึงจุดจบในไม่กี่วันนี้แล้ว

กระนั้น... หากจะทำอย่างที่ย่าเคยบอก หญิงสาวก็ต้องบอกว่า ถ้าผ่านไปได้ เธอก็อาจได้เป็น นักเขียนนิยายชีวิตรันทด ชื่อดังที่สุดแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

บุหงาเฝ้ามองชายขี้เมาคนหนึ่ง เดินเปะปะผ่านแสงสลัวระหว่างบ้านเรือนสองฟากถนน ชายคนนั้นเดินโซเซอยู่ได้ไม่กี่ก้าว ก่อนจะก็ล้มพับลง มีแค่ศีรษะกับแขนข้างหนึ่งขึ้นไปเกยอยู่บนทางเท้า ส่วนที่เหลือยังกองอยู่บนถนน แต่ก็ดูเหมือนเขากำลังจะหลับสบาย อยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม ที่มีโลกทั้งใบเป็นบ้านอันแสนสุข

“ฝันดีนะคะ...”

บุหางกระซิบแผ่ว คิดไปว่า ชายผู้นั้น อาจนอนหลับสนิท และฝันดีกว่าเธอเสียอีก

“มีอะไรหรือเปล่า... คุณบุหงา”

สารวัตรผู้เมตตา ส่งเสียงถามขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่ง ของห้องที่มีลูกกรงคั่นกลาง

“ไม่มีอะไรค่ะ”

บุหงาตอบเสียงเบา ขณะเคลื่อนตัวกลับมาทางซี่ลูกกรงที่แบ่งเป็นห้องขังกับส่วนนั่งทำงานของชายชรา หญิงสาวเหลือบมองนงเยาว์และศรีนาย ก็เห็นสภาพว่า พวกเธอคงเหนื่อยมาก ถึงขนาดตะโกนปลุกเรียกก็ยากที่จะตื่น

นงเยาว์นั้น พยายามทำตัวให้แข็งแรง และฝืนงัวเงียอยู่นานกว่าที่เคย นับตั้งแต่การเสียชีวิตของสามี แต่บุหงาสาบานได้ว่า เห็นหล่อนสัปหงกมากกว่าสองครั้ง ระหว่างการเริ่มจัดแจงที่หลับนอนในห้องขัง

ส่วนศรีนายก็ร้องไห้จนหลับไปเหมือนกับเด็กๆ เธอสะอึกสะอื้นจนหมดแรงไปเอง

ขณะฝันร้ายที่ผ่านมาทั้งวัน ทำให้ตัวบุหงาเองกลับตาแข็งค้า

“ฉัน... นอนไม่หลับน่ะค่ะ...”

เธอเอ่ยสารภาพกับสารวัตรวิกรม

“และ... นึกไม่ออกเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราอีกบ้าง...”

ชายผู้มากวัยและเปี่ยมไปด้วยไมตรี เกาคางที่เคราสั้นๆ เริ่มงอกยาวออกมา

“ก็... โทษประหาร ยิงเป้า... คิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะบอกว่าพวกคุณเป็นคนดี เป็นญาติห่างๆ แล้วจะจัดการเรื่องฌาปณกิจให้เอง”

บุหงาเงยหน้ามองชายชรา เขาก็เป็นคนแปลกๆ พอๆ กับความแปลกของที่นี่ นี่เขานึกอย่างที่กำลังพูดอยู่จริงๆ หรือว่าเพียงแค่อยากเธอขบขันขึ้นมาบ้าง ด้วยมุกญาติผู้ใหญ่ใจดีอย่างนั้น

“คือ... โทษประหาร ต้องดีกว่าติดคุกตลอดชีวิตแน่ๆ”

สารวัตรชราเอ่ยขึ้นอีก

“เรือนจำผู้ต้องขังหญิง เป็นอะไรที่... เลวร้าย... และผมคิดว่า ทางเดียวที่จะหลุดพ้นมาได้ ก็คือหมดลมหายใจออกมา หรือไม่ก็กลายเป็นคนสติเสีย เพื่อจะเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์ ซึ่ง... นั่นแย่กว่าอยู่ในเรือนจำเสียอีก”

อย่างนี้นี่เอง บุหงาคิด เขาถึงได้เริ่มกระบวนการตั้งแต่ยังไม่ทันจะสว่างดี เพื่อให้เธอเป็นบ้า เผื่อว่าถ้าเกิดศาลปรานีไม่ตัดสินประหารชีวิต นั่นก็หมายถึงท่านเข้าใจว่า เธอเป็นพวกสติวิปลาสนั่นเอง

ชายสูงวัยยืนขึ้น เดินช้าๆ มาที่ห้องขัง มีกลิ่นยาสูบแม้ว่าตอนนี้ จะไม่มีบุหรี่ในมือ บุหงาสังเกตเห็นว่า เป็นเพราะเขาเคี้ยวยาเส้นนั่นเอง เครื่องแบบของนายตำรวจชราเงาวับในส่วนที่ควรขึ้นเงา แม้สิ่งประกอบอื่นๆ จะแลดูเก่าแก่จนซีดเซียว เธอก็ยังเห็นแววแห่งความภาคภูมิใจในตำแหน่งหน้าที่ จากนัยน์ตาเอื้ออาทรของเขา

“ผม... คือ... ว่ากันว่า...”

เขาเริ่มอีกครั้ง

“... ต่อให้พวกเธอใจแข็ง ไม่ร้องไห้หรือคร่ำครวญเพราะต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ พวกบรรดาเห็บ ไร หนู แมลงสาบ ตะขาบตะเข็บ ก็จะทำให้พวกเธอกรีดร้องออกมาได้เอง”

ชายชรายื่นหน้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

“คุณไม่กลัวแมลงใช่ไหม?”

บุหงาแทบจะอยากให้ตัวเองมีไม้ท่อนนั้นอยู่ในมือ และการฟาดจังๆ เข้าที่ก้านคอของชายตรงหน้า จะเป็นสิ่งแรกที่เธอจะทำในวินาทีต่อไป...

ทว่า... นั่นทำให้ต้องฉุกคิด หรือว่าเธอเป็นโรคจิตชนิดฆาตกรต่อเนื่องไปแล้วหรือไร ทำไมระยะนี้ การฆ่าคนถึงแวบเข้ามาในหัวบ่อยเหลือเกิน

“คุณรู้ไหมล่ะ... ว่า...”

คนพูดเคาะนิ้วกับลูกกรงเหล็ก

“ผมมาคิดๆ ดูแล้ว มันน่าจะมีทางออกสำหรับสาวๆ อย่างพวกคุณ แต่มันก็ต้องใช้ความกล้า... เอ่อ... หมายถึงอาจจะต้องใจเด็ดกันพอสมควร และพวกคุณทุกคนก็ต้องยินยอม”

“หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายหรอกนะคะ... หรือว่าใช่?”

แล้วบุหงาก็คิดได้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องยินดียินร้าย ถึงแม้จะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะยังไงเสีย โทษประหารชีวิต ก็เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

“ไม่สิ นี่เป็นเรื่องถูกกฎหมาย และ... เชื่อไหมล่ะ ทุกอย่างจะจบลงได้อย่างเบ็ดเสร็จเลยละ ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่เริ่มเจรจากับพวกคุณหรอก”

“ค่ะ... อย่างนั้น ฉันก็กำลังฟังอยู่แล้วละ”

สิ่งที่สารวัตรวิกรมคิดอยู่ในใจ คงไม่เลวร้ายไปกว่าการที่เธอต้องสิ้นใจเพราะคมกระสุนหลังศาลพิพากษา หรือการนอนลืมตาโพลงอยู่ในทัณฑสถานที่ไหนสักแห่ง เพื่อรอให้หนูสักฝูงมารุมแทะปลายเท้าของเธอ

“ด้วยเพราะพวกคุณทั้งสามคนเข้ามอบตัว และรับสารภาพทั้งหมด ผมสามารถเขียนสำนวนว่าเป็นการป้องกันตัว... อย่างที่ทุกคนอ้างมา แต่ก็แน่นอนว่า มันเป็นกรณีแบบที่สามรุมหนึ่ง และอาจกลายเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ เราอาจให้ประกันตัว แต่คงต้องใช้เงินก้อนใหญ่ รวมทั้งต้องไปในที่ที่เราจะตามตัวได้ทุกเมื่อ”

บุหงาขมวดคิ้ว

“ถึงแม้ว่าฉันจะขายรถนั่น หรือทุกอย่างที่มี อย่างมากก็คงได้สักร้อยบาทกระมังคะ หรือต่อให้นั่นพอจ่ายค่าประกันตัว จากนั้น เราก็คงไม่มีปัญญาจะไปไหนอยู่ดี”

อยู่ๆ ความคิดที่ว่า พวกเธอจะต้องมาตกเป็นประชากรของอำเภอนี้ก็เกิดขึ้น

“แต่... ถ้ามีใคร สมมติว่าเป็นพ่อ พี่ชาย... หรือสามีที่สามารถจ่ายค่าประกันและรับประกันให้...”

สารวัตรวิกรมยิ้มๆ แววตานั้นบอกชัดว่า ไม่คิดจะแสวงหาประโยชน์อะไรสักนิดจากคนที่กำลังพูดด้วย

บุหงาตามความคิดของชายสูงวัยไม่ทัน...

“นงเยาว์เป็นคนเดียวที่มีสามีค่ะ และเขาก็ตายไปแล้ว ส่วนศรีนายตัวคนเดียว เหมือนกับ... ฉัน  คือไม่มีพ่อ ไม่มีพี่ และ... ไม่มีสามี”

“แต่อาจจะมีก็ได้นี่”

ชายชราขยับใกล้เข้ามาอีก

“ถ้าหากพวกคุณทุกคนเต็มใจที่จะแต่งงาน และผมก็พอที่จะทำให้ชายโสดสักสามสี่โหลในแถวย่านนี้ พร้อมที่จะเสนอตัว เพื่อช่วยจัดการเรื่องการรับรองและประกันตัว”

บุหงาฟังอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

“คุณ... คุณลุง จะขายพวกเรา?”




(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่