ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 12 ปิดฉากรักสามเส้า เราสามคน

กระทู้สนทนา


ริษยาซ่อนร่าง



ตอนที่ 12


ปิดฉากรักสามเส้า เราสามคน


โดย...ล. วิลิศมาหรา

พ่อหมอบอกให้อำนาจและทรงศักดิ์ปล่อยมือจากการรวบชายผ้ากดติดกับพื้น เพื่อกักร่างผีร้ายเอาไว้ข้างใต้

"เมื่ออยู่ใต้ผ้ายันต์นางผีกะมันก็สิ้นฤทธิ์แล้ว คุณสองคนถอยห่างออกมาอยู่ด้านหลังผมเถอะครับ ขณะผมบริกรรมคาถาส่วนที่เป็นวิญญาณก็จะหาทางไปของตัวเองพบ ว่าจะต้องออกเดินทางไปไหน ส่วนซากร่างของคุณฝนก็จะถูกย่อยสลายลุกไหม้กลายเป็นฝุ่นเถ้าไป"

ผู้ชายทั้งสองจึงขยับตัวลุกขึ้นผละจากการกดชายผ้า แล้วเดินมายืนรวมกลุ่มกับพวกผู้หญิง ซึ่งขณะนี้ยังตกอยู่ในอาการหวาดผวาและเศร้าสลด คนทั้งกลุ่มต่างยืนดูด้วยใจอันสั่นระทึกอยู่ด้านหลังของหมออาคมตามคำบอก ไม่แน่ใจว่าปีศาจร้ายจะหมดอิทธิฤทธิ์ลงแล้วจริง ๆ

พ่อหมอนั่งขัดสมาธิหลับตาพนมมือบริกรรมคาถาบทใหม่ อยู่เบื้องหน้ากองผ้ายันต์สีขาวลงอาคม ซึ่งมีร่างของแสงสินีอยู่ข้างใต้ เสียงท่องคาถาด้วยภาษาอักขระโบราณที่ยากเข้าใจดังสูงต่ำ บางครั้งกระแทกเสียงราวออกคำสั่ง ยิ่งนานเสียงยิ่งดังและเข้มขลังอย่างน่าประหลาด จนในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับกองผ้าสีขาวผืนนั้น

เริ่มจากปรากฏควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากผืนผ้าเป็นสายบาง ๆ เล็ก ๆ ตรงกลางผืน ซึ่งคาดว่าจะเป็นบริเวณกลางลำตัวของนางปีศาจในซากร่างทนายความสาว แล้วจึงค่อย ๆ ทวีกรุ่นกระจายออกจนทั่วผืน เพียงไม่นาน กองผ้าก็ตกอยู่ในกลุ่มควันลึกลับที่ลอยฟุ้งตลบ ท่วมมิดบดบังผืนผ้า

เสียงบริกรรมคาถาของหมออินทรยังดังไม่ขาดระยะ และดูเหมือนยิ่งน้ำเสียงเร่งเร้าหนักหน่วงคล้ายกดดันรุกไล่  ควันสีขาวก็ยิ่งหนาทึบขึ้นทุกที

พรึบ!

ทันทีนั้น อย่างไม่ทันรู้ตัว เกิดประกายไฟสีส้มแดงแลบแปลบปลาบ ก่อนลุกพรึบขึ้นกลางกองผ้าซึ่งยังมีกลุ่มควันลอยคลุ้ง ทำเอาทุกคนยกเว้นหมอผีสะดุ้งโหยง เปลวเพลิงประหลาดลุกโชติช่วง ลามเลียไหม้เป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนสุดขอบชายผ้า กระทั่งมอดไหม้หมดผืน ท่ามกลางอาการตะลึงมองอย่างทึ่งของสายตาทุกคู่ในที่นั้น ประกายไฟย่อมก่อให้เกิดสามเหลี่ยมแห่งไฟ ซึ่งต่อมาทำให้มีเปลวเพลิงลุกไหม้ แต่ทว่าสะเก็ดประกายไฟนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร...ช่างไร้คำตอบ

เพลิงกำลังเผาไหม้ทั้งผ้าลงอาคมและซากร่างข้างใต้ สิ่งนี้ราวเป็นตัวแทนการฌาปนกิจศพให้สาวคนรัก สุดจะทนทานไหว เอกกวีที่ยืนมองด้วยใบหน้าอาบน้ำตาไม่อาจหักห้ามความอาดูร หัวใจชายหนุ่มเหมือนโดนบีบเค้นรุนแรงจากสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ร่างสูงหมดแรงหยัดกายยืน ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น แผดเสียงร้องโอดโอยโหยหวนราวเจ็บปวดสุดชีวิตออกมา

โว้ยยยย....โอ้ยยยยย

สองมือทึ้งดึงเส้นผมบนศีรษะแรง ๆ ก่อนฟาดฝ่ามือลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่กลัวเจ็บ สุดท้ายชายหนุ่มกระแทกหมัดลงกับพื้นซีเมนต์ระบายความคับแค้น จนหลังมือปริแตก เลือดสด ๆ ไหลซึมเปรอะเปื้อน จรุงจิตผวาเข้าหาลูกชายร้องห้ามเสียงหลง เข้าจับมือของเขาเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง

"อย่า เต้ย อย่าทำร้ายตัวเองแบบนั้น" ชายหนุ่มสะบัดมือออกจากมือมารดา เหวี่ยงกำปั้นลงพื้นซ้ำอีก เอกกวีเหมือนสติแตกเพราะความคับข้องขุ่นแค้น ซึ่งเมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็หันมาทำให้ตัวเองเจ็บปวดแทน

"เต้ย หยุดเถอะ อย่าทำอีกเลย" ทันใดนั้น ทุกคนได้ยินเสียงร้องห้ามของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น พร้อม ๆ กับมีกลุ่มควันกลุ่มใหม่เกิดขึ้นข้าง ๆ ฝุ่นเถ้ากองน้อย ที่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นซากร่างใต้ผืนผ้ายันต์ ซึ่งบัดนี้ ไฟลึกลับที่ลุกเผาไหม้กองผ้าได้มอดดับไปแล้ว ควันประหลาดลอยวนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน ม้วนตลบไปมาก่อนก่อเกิดเป็นรูปร่างให้เห็นต่อหน้าต่อตาของทุกคน

กลุ่มหมอกควันรวมตัวกันเป็นรูปร่างของคนสองร่าง สีขาวหม่นมัวค่อย ๆ แปรเปลี่ยน เกิดเป็นสีสันอย่างร่างกายมนุษย์...สองร่างนั้นคือแสงสินีและกวินตา

"ฝน...แก้ม" เสียงเรียกชื่อหญิงสาวทั้งสองดังขึ้นพร้อมกันเอ็ดอึง สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาอย่างไม่คาดฝัน ร่างสว่างราวมีแสงเรื่อเรือง เปล่งรัศมีออกรอบข้างของสองหญิง ซึ่งพวกเธอสวมชุดสีขาวยาวกรอมเท้า ใบหน้าและผิวเนื้อของคนทั้งคู่แจ่มใสผุดผาด ผิดปกติของผิวกายมนุษย์ เอกกวีผุดลุกขึ้นอย่างแสนดีใจ ชายหนุ่มเปิดยิ้มกว้างละล่ำละลักเรียกชื่อ ก่อนก้าวถลันไปหาร่างหญิงคนรักทันที

"ฝนยังไม่ตาย แก้มด้วย เต้ยดีใจจัง"

"เข้ามาหาฝนกับแก้มไม่ได้หรอกเต้ย" เสียงร้องห้ามดังขึ้นจากร่างของแสงสินี เสียงเข้มของเธอทำให้เขาหยุดชะงัก หมออินทรซึ่งนั่งหลับตาบริกรรมคาถาอยู่หยุดท่องบทสวดมนต์ เขาลืมตาขึ้นมอง ก่อนหันมาอธิบายให้ทุกคนฟัง

"สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเราทุกคนตอนนี้คือดวงวิญญาณของคุณฝนกับคุณแก้ม เธอทั้งสองหลุดพ้นจากอำนาจมืดครอบงำของปีศาจแล้ว และบัดนี้ได้พบหนทางไปของตัวเอง ซึ่งอีกไม่นานพวกเธอก็จะออกเดินทางไปตามทางนั้น เธอปรากฏกายขึ้นได้ด้วยอาคมของผม เพื่อมาล่ำลาพวกเราเท่านั้นเอง"

รำเพยซึ่งอยู่ในอ้อมแขนประคองของทิพย์วิภา พร้อมด้วยวิชัยที่ประคองสายหยุด และเพื่อนสาวทั้งสองของดวงวิญญาณหญิงสาวเคราะห์ร้าย พากันขยับเดินเข้ามาใกล้ มารดาของแสงสินีร้องไห้ พร่ำเรียกหาลูกสาวราวใจจะขาด

"ฝนลูกแม่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฝน...คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกฝนของฉันด้วย"

"แก้มเอ้ย หมดเวรหมดกรรมกับนางผีกะเสียทีนะลูก จงไปสู่สุขคติเถิดลูกแม่"

"หากชาติหน้ามีจริง ขอให้แก้มมาเกิดเป็นลูกของพ่ออีกนะลูกเอ๋ย"

วิชัยกับสายหยุดนั้นพอทำใจยอมรับได้ว่า กวินตาตายไปนานแล้ว และขณะนี้ยังรู้สึกดีใจที่วิญญาณของลูกสาวได้รับอิสรภาพจากปีศาจ ลูกสาวของเธอกำลังจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที แต่ถึงกระนั้น ครอบครัวของหนุ่มสาวทั้งสามต่างหันมาสวมกอดกันน้ำตาไหลพราก เมื่อรู้ว่าไม่อาจอยู่ร่วมภพเดียวกันกับสองสาวได้อีกต่อไป

"แม่จ๋า...แม่กับลุงป้าฟังพวกหนูสองคนนะจ๊ะ" คราวนี้ดวงวิญญาณของกวินตาเป็นคนพูดขึ้นมา

"อย่าเสียใจไปเลยจ้ะ ลูกสาวทั้งสองของแม่ทนทุกข์ทรมานนานนับสิบปี แม่ควรดีใจที่หนูสองคนหลุดพ้นจากตกเป็นทาสของนางผีกะ ตลอดเวลาที่มันสิงร่างของฝน พวกหนูต้องหาของสกปรก ดิบ ๆ หรือแม้แต่เลือดสด ๆ มาสังเวยให้มันกิน ลูกนกลูกหนูตัวแดง ๆ มันก็ไม่เว้น มันบังคับให้ทำในสิ่งเลวทราม สร้างเวรสร้างกรรมหลอกลวง โป้ปดมุสา จนแก้มคิดว่าดวงวิญญาณจะหมดโอกาสสร้างคุณงามความดี ไม่ได้ไปผุดไปเกิดกับเขา บัดนี้เราสองคนพบทางสว่างสดใสอยู่ไม่ไกลนัก มันสวยงามและปลอดโปร่งอย่างที่มนุษย์ไม่อาจพบเจอ ลูกจึงมาลาเพื่อไปยังสถานที่อันสมควร"

ขณะที่พูด ใบหน้าหวานซึ้งของกวินตายิ้มแย้มเบิกบาน ไม่มีร่องรอยของความหมองเศร้า เธอหันมาทางเอกกวี บอกลาเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเหมือนกาลก่อนว่า

"แก้มลาก่อนนะเต้ย เมื่อหมดอายุขัยจากโลกมนุษย์ เราสามคนคงได้พบกันในดินแดนหลังความตายอีกครั้ง แก้มกับฝนจะล่วงหน้าไปรออยู่ที่โน่น"

เอกกวีพูดไม่ออก ได้แต่พึมพำเรียกชื่อผู้หญิงที่เขารักทั้งสองออกมาซ้ำ ๆอยู่อย่างนั้น เหล่าเพื่อนชายหญิงต่างสะอื้นฮักไม่เว้นแม้แต่บุรินทร์ซึ่งใจแข็งที่สุด ต่างไม่อยากเชื่อว่าต้องสูญเสียเพื่อนรักไปถึงสองคนเพราะอาถรรพ์ผีร้าย

"ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถอะเพื่อน พวกเราจะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำไปให้ ชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้เกิดมาเป็นเพื่อนกันอีก" บุรินทร์บอกเพื่อนทั้งน้ำตา ส่วนพาฝันกับลักขณานั้นเอาแต่ร้องไห้โฮ ๆ ออกมาดัง ๆ พอหักห้ามใจได้ทั้งสองก็ล่ำลาวิญญาณเพื่อนสนิท

"พวกเรารักแกสองคนนะฝน แก้ม แกอย่าลืมมาเข้าฝันแพมบ้าง เข้าฝันใครก็ได้ในกลุ่มพวกเรา แพมคงคิดถึงฝนกับแก้มมาก ลาก่อนเพื่อนรัก"

"อุ้มก็รักฝนกับแก้มนะ ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าพวกเราต้องมาจากกันแบบนี้ ลาก่อนนังเพื่อนรัก อุ้มจะไม่มีวันลืมพวกแกสองคนเลย"

แสงสินีส่งยิ้มให้เพื่อนทั้งสาม แล้วมองมาที่ชายคนรักด้วยสายตาละห้อย บอกเขาอย่างเศร้าสร้อยว่า

"ฝนต้องไปแล้วจ้ะเต้ย ฝนไปก่อนนะ ชาติที่แล้วเราทำบุญด้วยกันมาน้อย ชาตินี้จึงต้องพลัดพราก หากเต้ยใส่บาตรทำบุญให้หมั่นระลึกถึงฝน ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อชาติหน้าเราจะได้สมรักกันเสียที ไม่จากกันไปไหนอีก"

เอกกวีได้แต่พยักหน้ารับ น้ำตายังนองใบหน้า แสงสินีกวาดสายตามองทุกคนซึ่งขยับตัวเข้ามายืนรวมกับเอกกวี หญิงสาวส่งรอยยิ้มคมขำจริงใจของเธอให้พวกเขาก่อนยกมือขึ้นโบกลา

ครั้นแล้วคนทั้งหมดก็เห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลง ร่างดวงวิญญาณหญิงสาวซึ่งปรากฏตัวให้เห็นแจ่มชัดตั้งแต่แรกนั้น บัดนี้ค่อย ๆ รางเลือน มันเริ่มจากช่วงล่างก่อน เห็นเป็นภาพพร่าเลือนลายริ้วเหมือนเงาสะท้อนในสายน้ำ จากนั้นจึงเลือนลงเรื่อย ๆ จนช่วงล่างเรือนกายจางหาย ริ้วลายขยับสูงขึ้นไปทุกทีจนถึงช่วงบนของลำตัว หญิงสาวทั้งสองยังคงโบกมือลาหยอย ๆ ครั้นแล้วมือของพวกเธอก็เลือนหายตามไป...กระทั่งถึงลำคอและใบหน้า

รอยยิ้มละไมยังแต่งแต้มใบหน้าแสนสวยอ่อนหวานของกวินตาและใบหน้าสวยเข้มคมขำของแสงสินี ภาพใบหน้าหญิงสาวทั้งสองพร่าเลือนสั่นไหว สุดท้ายก็จางหาย พวกเธอหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

"ฝน ฝน... " เอกกวีผวาเข้าหาหมายยื้อยุด ทว่าเขาคว้าได้เพียงอากาศธาตุ

"ฝนที่รัก รอเต้ยก่อนนะ อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นาน เดี๋ยวเราก็ได้พบกันแล้ว ฝนจำได้ไหม เต้ยไม่เคยผิดสัญญา"

ในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ เขายืนซึมอย่างหมดอาลัยตายอยาก เอกกวียอมรับแล้วว่า ต่อไปนี้เขาจะไม่มีแสงสินีเคียงข้างอีกแล้ว...คงต้องรอชาติหน้าจริง ๆ

สายลมหอบเอากระไอเยือกเย็นเข้ามาวูบหนึ่ง  เอกกวีพึมพำแผ่วเบาฝากสายลมไป เขาฝากคำสัญญาไปกับสายลมนั้น ถึงรักแรกรักเดียวและรักสุดท้ายของเขา...แสงสินี

(มีต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่