ตั้งกระทู้ » เลือกประเภทกระทู้ » ใส่รายละเอียดกระทู้สนทนา
แก้ไข
พี่ มาลา
แก้ไข
สวัสดีค่ะ นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก พิมพ์ในโทรศัพท์ตกหล่นประการใดต้องขออภัย ส่วนตัวเคยเจอผี(รึเปล่าไม่แน่ใจ) แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง ที่อาจจะบังเอิญ หรือยังไงแต่ในเรื่องนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมมากกว่า10ชีวิต คือเมื่อพ.ย.ปี53 เจ้าของกระทู้อายุเพียง15ปี มีพี่ชายคนละพ่อตอนนั้นพี่อายุ31ปี พี่ชายเป็นคนอารมณ์ร้อน เมาเหล้ามาก็อาละวาด แกมีภรรยาอายุไล่ๆกัน มีลูกสาว1คน ตอนนั้นน่าจะ5ขวบ พี่ชายจะทำงานที่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ทีนี้ได้ทราบข่าวประมาณพี่สะใภ้หนีไปกับผู้ชาย ด้วยพี่ชายเราเป็นคนขี้โมโห เมามาก็อาละวาด ญาติๆก็ไม่แปลกใจที่เมียแกจะหนีไป ทีนี้เมื่อเมียไม่อยู่แกก็กลับมาบ้าน สีหน้าไม่สู้ดี เหมือนคนเครียดมากๆ วันๆก็เมา แกก็มาหาลูก ลูกสาวแกอยู่กับยาย บางครั้งก็มาบ้าน มาขอร้องเจ้าของกระทู้ให้ไปซื้อยาพารา มาให้ทีเยอะๆบอกปวดหัว ด้วยความไม่รู้จึงไปซื้อยามาให้ตามที่แกขอ ทีนี้พี่สาวที่เป็นญาติกัน แกก็ทักว่าจะเดินไปใหน เลยบอกว่าไปซื้อยาให้พี่ชาย แกบ่นปวดหัว พี่สาวแกเลยบอกว่า ไม่ใช่พี่ชายเจ้าของกระทู้จะกินยาตายหรือนั่น ซึ่งแกบอกแค่พาราคงไม่เป็นไร เพราะแกกินมาก่อนแล้ว ก็ขำๆกันไป ไม่คิดว่าพี่ชายจะฆ่าตัวตายจริงๆ ผ่านไปสัก2-3วัน เมื่อเที่ยงๆวันอาทิตย์ ได้ทราบข่าวว่าพี่ชายกินยาฆ่าแมลง ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อาการหนัก โรงพยาบาลในอำเภอจึงได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งยาฆ่าแมลงอันนี้พี่ชายอีกคนผสมแบบแรงไว้ฉีดพ่นในสวน แต่ใช้ไม่หมด เหลือครึ่งขวดน้ำอัดลมใหญ่ ซึ่งพี่ก็คงกินทั้งหมดนั่นเลย กินพร้อมเหล้าขาว พอดื่มเข้าไปคงจะร้อนทุรนทุราย แกบอกให้ลูกสาวไปเรียกคนมาช่วยลูกสาวแกเห็น ก็วิ่งไปบอกยาย แต่เด็กก็คงไม่รู้ว่าพ่อตัวเองกินอะไร เลยบอกยายว่าพ่อกินสี(ยาเป็นน้ำสีเขียว) ทางยายก็ว่าคงกินสีจริงๆ แกก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ก็ไม่ได้มาดู สักพักหลานวิ่งมาบอกอีกว่า พ่อน้ำลายฟูมปาก นั่นแหละทุกคนที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งมาทั้งหมด มาเจอสภาพพี่คือน้ำลายฟูมปากพยายามตักน้ำในห้องน้ำราดตัวเองทั้งเสื้อผ้า ก็เรียกรถกันให้วุ่น เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอได้แจ้งกับญาติๆว่า ให้ทำใจ เพราะยามันกัดกระเพาะหมดแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้น ในตอนเช้าพี่ก็จากไป ญาติที่อยู่ทางบ้านก็จัดข้าวของ (คือประเพณีทางอีสานจะจัดงานศพที่บ้าน ไม่ได้จัดที่วัด) โรงพยาบาลกับบ้านก็ไกลกันพอสมควร ญาติๆก็จัดหารถ ไปเอาศพพี่กลับมา ไปถึงโรงพยาบาล จะเปลี่ยนชุดให้พี่ แต่ศพอืดแล้วก็แข็ง ทุลักทุเลพอสมควร รถที่ไปรับศพมาเป็นรถกระบะตอนเดียว คนไป5-6คน สมัยนั้นโรงพยาบาลไม่มีแม้กระทั่งผ้าห่อศพให้ ทางบ้านก็ไม่ได้เตรียมไป จึงเอาเสื้อห่อไว้ พอคนไปเยอะตอนกลับก็ต้องนั่งท้ายกระบะมา รถวิ่งเร็วเสื้อก็เปิด ก็ต้องช่วยกันจับเอาไว้ พอรถเลี้ยวโค้งศพก็กลิ้ง คนที่อยู่ท้ายกระบะก็ต้องกระโดดไปนั่งด้านข้างรถแทน ทุลักทุเลพอสมควร เอาศพมาบ้านก็มาจัดแจงเพื่อจะใส่โลง เจ้าของกระทู้ก็ได้ไปดู การตายที่ผิดธรรมชาติ กินยาตายด้วยทำให้ศพ อืดและบวม จนไม่เหลือเค้าโครงของพี่เจ้าของกระทู้เลย งานศพก็ดำเนินไปจนวันที่จะเผา ป้าเจ้าของกระทู้ได้ไปรับศพวันนั้นด้วย แกก็ไปหาหมอดู ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นหมอดูเขมร หมอดูบอกว่า พี่ชายไม่อยากตาย แค่อยากประชด หมอดูก็เมียแกเคยแท้งลูกมั้ย มีวิญญานเด็กขี่คออยู่ ทางบ้านก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ จนไปถามเมียแกถึงรู้ว่าเคยแท้งจริงๆ หมอดูทักว่า มุมบ้านมีต้นตีนเป็ดมั้ย ก็มีจริงๆ แกบอกตัดทิ้งมันไม่ดี แล้วหลังวันเผา(เค้าบอกวันมาที่ด้วยแต่จำไม่ได้แล้ว)พี่จะมาลาครั้งสุดท้าย พอถึงวันเผา เมรุจะเป็นแบบชั่วคราว ก็จัดแจงตามพิธีกรรม แต่เผายังไงก็เผาไม่ไหม้ รอแล้วก็แล้ว สัปปะเหร่อบอกว่า เค้ายังห่วงอยู่ ให้เอาเสื้อผ้า ลูกเมีย เผาไปพร้อมกัน ก็ไปหามาเผา ก็ยังไม่ไหม้ จนต้องตัดผม ตัดเล็บลูก โยนไปในกองไฟเลย ก็ให้เมียพี่ชายไปบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละคะ เพราะร่างที่นอนอยู่บนกองฟืน ค่อยๆไหม้จนหมด เมียแกทีแรกจะไม่ยอมมางานศพ นึกยังไงไม่รู้ถึงยอมมา ยังไม่เผาศพสามีแกก็จะกลับแล้ว จะกลับแต่เช้า แต่ทางญาติเจ้าของกระทู้ขอไว้ ให้เผาศพก่อน เผาศพเสร็จแกก็จะเดินทางไปกรุงเทพเลย ตอนมาวัดขับมอไซด์มา ตอนกลับสตาร์ทยีงไงก็ไม่ติด รถก็ดีๆ จนต้องเข็นกลับไป พอเก็บอัฐิเสร็จ งานเสร็จ จะมีการรวมญาติกินข้าวร่วมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้าย เพราะบางคนทำงานอยู่กรุงเทพ ก็จะได้กลับไปทำงานต่อ ตอนเย็นญาติก็มาช่วยกันทำกับข้าว สักทุ่มนึง อยู่ๆไฟก็ดับ มีพี่สะใภ้อีกคนเข้าห้องน้ำอยู่ เพราะเรื่องที่พี่จะมาลาทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นวันนี้ พี่สะใภ้ที่เข้าห้องน้ำนี่หากลอนประตูไม่เจอจนได้ถีบประตูจนพังออกมา ป้าที่ไปดูดวงแกฉี่ใส่ผ้าถุงเลย ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายซักพัก หาไฟฉายหาเทียนมา ก็มานั่งขำกัน เพราะบางคนก็วิ่งชนเสาบ้าง ดีที่เจ้าของกระทู้นั่งอยู่หลายคนเลยไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ก็ใช้ไปฉายส่องจนทำกับข้าวเสร็จ ต้องใช้ไฟรถปิ๊กอัพส่อง ละปูเสื้อกินข้าวนอกบ้านกัน พอกินข้าวเสร็จ จะเก็บจานข้าว ไฟก็มาพอดี ในความมืดนั้นอาจจะมีใครบางคนมาลาญาติพี่น้องอยู่ก็ได้ แต่ไม่ได้มาให้เห็นจะๆ ไม่รู้เรื่องบังเอิญหรืออะไร ไม่มีลม ไม่มีฝน แต่ไฟดับ ผ่านมาหลายปี ยังจำเรื่องราวนี้ได้เสมอ.... รักใครก็รักได้ แต่อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง สวัสดีค่ะ
พี่ มาลา
แก้ไข
พี่ มาลา
แก้ไข
สวัสดีค่ะ นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก พิมพ์ในโทรศัพท์ตกหล่นประการใดต้องขออภัย ส่วนตัวเคยเจอผี(รึเปล่าไม่แน่ใจ) แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง ที่อาจจะบังเอิญ หรือยังไงแต่ในเรื่องนี้มีผู้ร่วมชะตากรรมมากกว่า10ชีวิต คือเมื่อพ.ย.ปี53 เจ้าของกระทู้อายุเพียง15ปี มีพี่ชายคนละพ่อตอนนั้นพี่อายุ31ปี พี่ชายเป็นคนอารมณ์ร้อน เมาเหล้ามาก็อาละวาด แกมีภรรยาอายุไล่ๆกัน มีลูกสาว1คน ตอนนั้นน่าจะ5ขวบ พี่ชายจะทำงานที่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ทีนี้ได้ทราบข่าวประมาณพี่สะใภ้หนีไปกับผู้ชาย ด้วยพี่ชายเราเป็นคนขี้โมโห เมามาก็อาละวาด ญาติๆก็ไม่แปลกใจที่เมียแกจะหนีไป ทีนี้เมื่อเมียไม่อยู่แกก็กลับมาบ้าน สีหน้าไม่สู้ดี เหมือนคนเครียดมากๆ วันๆก็เมา แกก็มาหาลูก ลูกสาวแกอยู่กับยาย บางครั้งก็มาบ้าน มาขอร้องเจ้าของกระทู้ให้ไปซื้อยาพารา มาให้ทีเยอะๆบอกปวดหัว ด้วยความไม่รู้จึงไปซื้อยามาให้ตามที่แกขอ ทีนี้พี่สาวที่เป็นญาติกัน แกก็ทักว่าจะเดินไปใหน เลยบอกว่าไปซื้อยาให้พี่ชาย แกบ่นปวดหัว พี่สาวแกเลยบอกว่า ไม่ใช่พี่ชายเจ้าของกระทู้จะกินยาตายหรือนั่น ซึ่งแกบอกแค่พาราคงไม่เป็นไร เพราะแกกินมาก่อนแล้ว ก็ขำๆกันไป ไม่คิดว่าพี่ชายจะฆ่าตัวตายจริงๆ ผ่านไปสัก2-3วัน เมื่อเที่ยงๆวันอาทิตย์ ได้ทราบข่าวว่าพี่ชายกินยาฆ่าแมลง ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อาการหนัก โรงพยาบาลในอำเภอจึงได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งยาฆ่าแมลงอันนี้พี่ชายอีกคนผสมแบบแรงไว้ฉีดพ่นในสวน แต่ใช้ไม่หมด เหลือครึ่งขวดน้ำอัดลมใหญ่ ซึ่งพี่ก็คงกินทั้งหมดนั่นเลย กินพร้อมเหล้าขาว พอดื่มเข้าไปคงจะร้อนทุรนทุราย แกบอกให้ลูกสาวไปเรียกคนมาช่วยลูกสาวแกเห็น ก็วิ่งไปบอกยาย แต่เด็กก็คงไม่รู้ว่าพ่อตัวเองกินอะไร เลยบอกยายว่าพ่อกินสี(ยาเป็นน้ำสีเขียว) ทางยายก็ว่าคงกินสีจริงๆ แกก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ก็ไม่ได้มาดู สักพักหลานวิ่งมาบอกอีกว่า พ่อน้ำลายฟูมปาก นั่นแหละทุกคนที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งมาทั้งหมด มาเจอสภาพพี่คือน้ำลายฟูมปากพยายามตักน้ำในห้องน้ำราดตัวเองทั้งเสื้อผ้า ก็เรียกรถกันให้วุ่น เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอได้แจ้งกับญาติๆว่า ให้ทำใจ เพราะยามันกัดกระเพาะหมดแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้น ในตอนเช้าพี่ก็จากไป ญาติที่อยู่ทางบ้านก็จัดข้าวของ (คือประเพณีทางอีสานจะจัดงานศพที่บ้าน ไม่ได้จัดที่วัด) โรงพยาบาลกับบ้านก็ไกลกันพอสมควร ญาติๆก็จัดหารถ ไปเอาศพพี่กลับมา ไปถึงโรงพยาบาล จะเปลี่ยนชุดให้พี่ แต่ศพอืดแล้วก็แข็ง ทุลักทุเลพอสมควร รถที่ไปรับศพมาเป็นรถกระบะตอนเดียว คนไป5-6คน สมัยนั้นโรงพยาบาลไม่มีแม้กระทั่งผ้าห่อศพให้ ทางบ้านก็ไม่ได้เตรียมไป จึงเอาเสื้อห่อไว้ พอคนไปเยอะตอนกลับก็ต้องนั่งท้ายกระบะมา รถวิ่งเร็วเสื้อก็เปิด ก็ต้องช่วยกันจับเอาไว้ พอรถเลี้ยวโค้งศพก็กลิ้ง คนที่อยู่ท้ายกระบะก็ต้องกระโดดไปนั่งด้านข้างรถแทน ทุลักทุเลพอสมควร เอาศพมาบ้านก็มาจัดแจงเพื่อจะใส่โลง เจ้าของกระทู้ก็ได้ไปดู การตายที่ผิดธรรมชาติ กินยาตายด้วยทำให้ศพ อืดและบวม จนไม่เหลือเค้าโครงของพี่เจ้าของกระทู้เลย งานศพก็ดำเนินไปจนวันที่จะเผา ป้าเจ้าของกระทู้ได้ไปรับศพวันนั้นด้วย แกก็ไปหาหมอดู ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นหมอดูเขมร หมอดูบอกว่า พี่ชายไม่อยากตาย แค่อยากประชด หมอดูก็เมียแกเคยแท้งลูกมั้ย มีวิญญานเด็กขี่คออยู่ ทางบ้านก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ จนไปถามเมียแกถึงรู้ว่าเคยแท้งจริงๆ หมอดูทักว่า มุมบ้านมีต้นตีนเป็ดมั้ย ก็มีจริงๆ แกบอกตัดทิ้งมันไม่ดี แล้วหลังวันเผา(เค้าบอกวันมาที่ด้วยแต่จำไม่ได้แล้ว)พี่จะมาลาครั้งสุดท้าย พอถึงวันเผา เมรุจะเป็นแบบชั่วคราว ก็จัดแจงตามพิธีกรรม แต่เผายังไงก็เผาไม่ไหม้ รอแล้วก็แล้ว สัปปะเหร่อบอกว่า เค้ายังห่วงอยู่ ให้เอาเสื้อผ้า ลูกเมีย เผาไปพร้อมกัน ก็ไปหามาเผา ก็ยังไม่ไหม้ จนต้องตัดผม ตัดเล็บลูก โยนไปในกองไฟเลย ก็ให้เมียพี่ชายไปบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละคะ เพราะร่างที่นอนอยู่บนกองฟืน ค่อยๆไหม้จนหมด เมียแกทีแรกจะไม่ยอมมางานศพ นึกยังไงไม่รู้ถึงยอมมา ยังไม่เผาศพสามีแกก็จะกลับแล้ว จะกลับแต่เช้า แต่ทางญาติเจ้าของกระทู้ขอไว้ ให้เผาศพก่อน เผาศพเสร็จแกก็จะเดินทางไปกรุงเทพเลย ตอนมาวัดขับมอไซด์มา ตอนกลับสตาร์ทยีงไงก็ไม่ติด รถก็ดีๆ จนต้องเข็นกลับไป พอเก็บอัฐิเสร็จ งานเสร็จ จะมีการรวมญาติกินข้าวร่วมกันก่อนที่ทุกคนจะแยกย้าย เพราะบางคนทำงานอยู่กรุงเทพ ก็จะได้กลับไปทำงานต่อ ตอนเย็นญาติก็มาช่วยกันทำกับข้าว สักทุ่มนึง อยู่ๆไฟก็ดับ มีพี่สะใภ้อีกคนเข้าห้องน้ำอยู่ เพราะเรื่องที่พี่จะมาลาทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นวันนี้ พี่สะใภ้ที่เข้าห้องน้ำนี่หากลอนประตูไม่เจอจนได้ถีบประตูจนพังออกมา ป้าที่ไปดูดวงแกฉี่ใส่ผ้าถุงเลย ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายซักพัก หาไฟฉายหาเทียนมา ก็มานั่งขำกัน เพราะบางคนก็วิ่งชนเสาบ้าง ดีที่เจ้าของกระทู้นั่งอยู่หลายคนเลยไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ก็ใช้ไปฉายส่องจนทำกับข้าวเสร็จ ต้องใช้ไฟรถปิ๊กอัพส่อง ละปูเสื้อกินข้าวนอกบ้านกัน พอกินข้าวเสร็จ จะเก็บจานข้าว ไฟก็มาพอดี ในความมืดนั้นอาจจะมีใครบางคนมาลาญาติพี่น้องอยู่ก็ได้ แต่ไม่ได้มาให้เห็นจะๆ ไม่รู้เรื่องบังเอิญหรืออะไร ไม่มีลม ไม่มีฝน แต่ไฟดับ ผ่านมาหลายปี ยังจำเรื่องราวนี้ได้เสมอ.... รักใครก็รักได้ แต่อย่ารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง สวัสดีค่ะ