+ + + ตำนานนักสู้แห่งภูพาน (Pechnamnil) + + +

กระทู้คำถาม
เคยให้สัญญากับคุณซีเอ็นซีเคและคุณชุนเทียนไว้ว่าจะมาเขียนกระทู้เล่าเรื่องราวนักสู้ของคุณปู่ให้อ่าน วันนี้พอว่างนิดหน่อยก็เลยมาเขียนตามสัญญา  จากกระทู้นี้ Comment 26 – 3,4,5

https://ppantip.com/topic/36082753/comment26

อย่างที่ได้เล่าไปแล้ว คุณปู่ของดิฉันเป็นคนเมืองน้ำดำ กาฬสินธุ์ เป็นลูกพ่อค้าแต่ไม่ชอบการค้าขาย เป็นคนรักการผจญภัยและอิสรเสรี จึงออกจากบ้านมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ท่องเที่ยวมาเรื่อยๆจนมาถึงเมืองสกลฯ ก็ได้พบรักกับคุณย่า ซึ่งขณะนั้นรับราชการเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนประถมในเขต อ. สว่างแดนดิน

เนื่องจากคุณย่าเป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกคนเล็กของขุนไชยนุชิต (ตำแหน่งระบบศักดินาคนสุดท้ายของหมู่บ้าน) ท่านขุนรักมากจึงให้ไปเรียนหนังสือเพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคนในอนาคต เมื่อคุณย่าได้พบรักกับคุณปู่ ญาติพี่น้องจึงไม่ค่อยพอใจนัก เนื่องจากเห็นว่าคุณปู่เป็นคนเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่ง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เสือโคร่งตัวนั้นเป็นเสือสมิงเพราะเคยกินเนื้อคนมาแล้ว วิญญาณคนที่ถูกกินจะสิงอยู่ในตัวเสือและเมื่อเคยกินเนื้อคนแล้ว ก็จะออกล่าคนกินเป็นอาหารอยู่ร่ำไป และครั้งนั้นเสือสมิงตัวนั้นได้เข้าตะปบปูแพทย์ไซ เมื่อตอนที่ออกไปถางไร่ที่ชายป่า ปู่แพทย์ไซได้ใช้พร้าฟันเข้าที่ขาเสือ และสู้กับเสือจนตัวตายถูกเสื้อขย้ำฉีกเนื้อจนเหลวเละ

เพื่อนปู่แพทย์ไซได้ยินเสียงร้องต่อสู้ จึงส่งเสียงเอะอะ  เสือจึงหลบหนีเข้าป่าไป ทั้งที่ขาหน้าได้รับบาดเจ็บจากการถูกฟัน เพื่อนปู่แพทย์ไซจึงรีบวิ่งเข้ามาแจ้งความกับขุนไชยนุชิตเจ้าหมู่บ้าน  ท่านขุนจึงระดมลูกบ้านผู้ชายออกไปตามล่าเสือ แต่ก็คว้าน้ำเหลว

คุณปู่รู้ความเข้าจึงรีบตามคณะล่าเสือไป เมื่อเจอกับคณะล่าเสือ เป็นตอนที่ชาวบ้านกำลังสานไม้ไผ่ทำแคร่เพื่อหามศพปู่แพทย์ไซกลับหมู่บ้าน คุณปู่จึงได้เข้าขวางไว้ พร้อมบอกว่า ถ้ายังล่าเสือไม่ได้ ชาวบ้านจะไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุข เพราะเสือตัวนี้กลายเป็นเสือลำบากไปแล้ว และโดยวิสัยของเสือจะไม่ทิ้งเหยื่อที่ล่า มันจะกลับมาแน่นอน

ชาวบ้านได้ฟังดังนั้น ก็พากันหวาดกลัวเพราะขณะนั้นก็เริ่มใกล้ค่ำลงไปทุกที ท่านขุนจึงหันมาถามลูกเขยว่า ถ้าเป็นแบบนี้จะจัดการยังไง เพราะโดยธรรมเนียมแล้ว “ไม่มีใครล่าเสือตอนกลางคืน” และญาติพี่น้องของปู่แพทย์ไซก็รอคอยอยู่ที่หมู่บ้าน


ขอบคุณภาพจากเน็ต


คุณปู่ของดิฉันเป็นนักสู้ทั้งยังมีใจกล้าเด็ดเดี่ยว ได้หันมาถามทุกคนว่า จะ”ล่าเสือ” หรือ จะให้ “เสือล่า”  ถ้าล่าเสือก็ก็ต้องทิ้งศพไว้รอให้เสือเข้ามาตามเหยื่อ  แต่ถ้าจะให้เสือล่าก็เอาศพกลับแล้วคอยระวังระแวงว่าเสือจะเข้าอาละวาดอีกเมื่อไหร่  ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าอยู่ล่าเสือซักคนเดียว เพราะตอนนี้ทุกคนกลัวทั้งยิ้มลัวทั้งศพ หันไปมองศพทีไรก็ต้องขนลุกกับดวงตาที่เบิกโพลงเนื้อตัวเหลวเละ ชิ้นเนื้อขาดกะร่องกะแร่งที่กำลังเริ่มส่งกลิ่น

คุณปู่จึงขอให้ท่านขุน ช่วยพูดกับญาติของปู่แพทย์ไซว่า คุณปู่จะขอล่าเสือในคืนนี้แต่ขอศพไว้เป็นเหยื่อล่อให้เสือเข้า แค่คืนนี้คืนเดียว ถ้าพรุ่งนี้คุณปู่ล่าเสือไม่ได้ คุณปู่จะออกจากหมู่บ้านไปไม่กลับมาอีกเลย ท่านขุนก็พยักหน้ารับคำแล้วออกเดินนำลูกบ้านกลับหมู่บ้านไป

(คุณย่าเล่าให้ฟัง)  เมื่อชาวบ้านลับตาไปแล้ว คุณปู่ได้พาศพปู่แพทย์ไซไปนั่งพิงไว้ที่จอมปลวก จัดท่านั่งให้เรียบร้อย แล้วตัวคุณปู่ก็ปีนขึ้นไปนั่งบนคาคบของต้นหว้าใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นโดยไม่ได้ขัดห้างแต่อย่างใด

วันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ดึกสงัด คุณปู่นั่งนิ่งเงียบ ตามองลงไปที่ศพปู่แพทย์ไซอยู่บ่อยๆ เสียงน้ำค้างตกกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะๆ  ทันใดนั้นเองคุณปู่ก็ต้องตกใจแทบลืมสติ เมื่อเห็นศพของปู่แพทย์ไซ ยกมือขึ้นและชี้ขึ้นมายังที่คุณปู่นั่งอยู่ ทั้งยังกวักมือเรียกขึ้น - ลง  ร่างตะคุ่มๆของศพก็ขยับลุกขยับนั่ง เหมือนจะเร่งให้คุณปู่ปีนลงจากต้นหว้าเข้าไปหา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ยืนต้นอยู่จนมาถึงยุคที่ดิฉันเกิด จำได้ว่าตอนเด็กๆ คุณย่าจะพาดิฉันไปกราบและระลึกถึงคุณปู่อยู่เสมอทุกวันพระตอนกลางวัน เพิ่งจะถูกฟ้าผ่าและยืนต้นตายไปเมื่อดิฉันเรียนอยู่มัธยมปลายนี่เอง

คุณปู่ของดิฉัน เป็นคนที่ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ เกลียดความอยุติธรรม  (พ่อเล่าให้ฟัง) มีอยู่วันหนึ่ง ไก่ชนของคุณปู่หลุดเข้าไปคุ้ยเขี่ยหากินในเขตบ้านของพี่ชายคุณย่าที่ไม่ถูกกันกับคุณปู่ พี่ชายของคุณย่าจับไก่ชนของคุณปู่ได้ก็หักคอแล้วโยนเข้ามาในรั้วบ้าน คุณปู่ก็ไม่ว่าอะไร เก็บซากไก่สุดรักไปฝังเงียบๆ

แล้วในอีก 3 วันถัดมา แม่หมูกับลูกของมัน ซึ่งเป็นหมูของพี่ชายคุณย่าคนนั้น เกิดหลุดจากคอกเข้ามาในเขตบ้านของคุณปู่ คุณปู่คว้าปืนมายิงหมู 2 ตัวตัวละโป๊ง  แล้วคุณปู่ก็ลากหมู 2 ตัวโยนเข้ากลับไปยังรั้วบ้านของพี่ชายคุณย่าทันที ....

เมื่อคุณทวด (ท่านขุน) สิ้นชีวิตแล้ว ลูกๆก็แบ่งมรดกกัน แต่เนื่องจากพี่น้องของคุณย่าที่ไม่ชอบคุณปู่เป็นทุนเดิม ก็ได้แบ่งที่ให้คุณย่าในส่วนที่เป็นที่เป็นป่ารกชัฏยากต่อการบุกเบิก แล้วโยนพร้าด้ามหนึ่งมาให้คุณปู่ พร้อมบอกว่า มีปัญญาก็ไปถางป่าทำไร่เลี้ยงลูกเมียเอาเอง คุณปู่ก็โยนพร้านั้นกลับคืนแล้วบอกว่า “ไม่เอา”

จากนั้นคุณปู่ก็ได้ว่าจ้างให้คนไปปักหลักและถางป่าบริเวณเชิงภูเป็นบริเวณกว้างเกือบ 200 ไร่  แล้วให้คนเช่า โดยทำสัญญาไว้ 15 ปี ให้พวกเค้าทำมาหากินในพื้นที่นี้ ได้อย่างเสรี คุณปู่ขอค่าเช่าแค่ 10 % ของผลผลิตในแต่ละปี จนกว่าจะครบสัญญา จากนั้นคุณปู่ก็ไปเป็นนักมวยอาชีพ โดยมีฉายา “มังกรไฟ”

คุณปู่ของดิฉันเป็นนักประชาธิปไตย  คุณปู่ก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มการเมืองของคุณปู่เตียง ศิริขันธุ์  ต่อต้านกลุ่มอำนาจเผด็จการของรัฐที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนในยุคนั้น ต้องหลบหนีการกวาดต้อนขึ้นไปซ่อนตัวในถ้ำ ในป่า บนเทือกเขาภูพาน

ในบั้นปลายของชีวิตคุณปู่ได้ถามความคิดเห็นจากภรรยาและลูกๆว่า จะย้ายไปทำมาค้าขายที่กาฬสินธุ์ บ้านเกิดของคุณปู่หรือไม่ ที่นั่นจะไม่ลำบากเพราะคุณพ่อของคุณปู่ทำการค้ามีฐานะดีคนหนึ่งของเมืองน้ำดำ โดยคุณปู่ให้ยกมือโหวตเลือก ปรากฏว่ามีเพียงคุณย่าคนเดียวเท่านั้นที่ยกมือว่าจะย้ายไปอยู่กาฬสินธุ์

ดิฉันได้เคยถามพ่อว่า ทำไมคุณย่าถึงอยากไปอยู่กาฬสินธุ์ พ่อบอกว่า “เพราะความรักลูก”  ไม่อยากให้ลูกๆลำบาก คุณย่าถึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น ทั้งๆที่คุณย่ารักบ้านเกิด รักพี่ชายทุกคนเป็นที่สุด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ถ้าพูดถึง สกลนคร นอกจากจะเป็นแดนสาวงามแล้ว

ในเรื่องการเมือง ที่จังหวัดนี้ก็มีวีรบุรุษคนหนึ่งที่ลูกหลานชาวสกลนครไม่เคยลืม นั่นคือ

ครูเตียง ศิริขันธ์  วีรบุรุษภูพาน




ครูเตียงได้ชื่อว่าเป็น  1 ใน 4 เสือ แดนอีสานร่วมกับ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์  ถวิล  อุดล  และ จำลอง ดาวเรือง

(สามคนนั้นถูก พล.ต.อ เผ่า ศรียานนท์ สั่งฆ่าพร้อมกันกลางกรุง )


ครูเตียง ไม่ใช่ครูธรรมดา แต่เป็นถึงหัวหน้าใหญ่ เสรีไทย ในภาคอีสาน เป็น ส.ส และ รัฐมนตรีหลายสมัย

แต่ยืนคนละฝั่งกับคณะ รปห ของจอมพล ป  สุดท้ายจึงโดนฆ่ารัดคอตายในปี พ.ศ 2495


ป.ล ปู่น้องนิด เคยร่วมอุดมการณ์กับครูเตียง ก็น่าเกืดก่อนปี 2475  คนยุคนั้นมีความรักชาติสูง

ความคิดความอ่านเรื่องการเมืองยังเหนือกว่าคนบางกลุ่มของไทยเวลานี้ซะอีก

ป.ล 2 พรุ่งนี้ถ้าว่าง จะมาเขียนต่อเรื่อง การเมืองทมิฬ สังหาร 4 รัฐมนตรี ต่อด้วย จิตร ภูมิศักดิ์

ป.ล 3 วาทะอมตะของครูเตียง เปิดหาได้ในกูเกิ้ล พิมพ์ไม่สะดวก มันอ่อนไหว 555
ความคิดเห็นที่ 15
.....ร่างของมนุษย์ตนหนึ่ง นั่งคร่อมมาบนหลังเสือโคร่งตัวนั้น ตาของเสือและตาของสิ่งที่นั่งอยู่บนหลังเสือสีเขียวเรืองวาวกล้าเช่นเดียวกัน ป่ารอบด้านดูมืดมิดไปหมด เห็นวาวจ้าอยู่เฉพาะดวงตาสองคู่นั้นเท่านั้น มันวิ่งปราดมาที่ต้นตะเคียนที่หล่อนและพรานใหญ่ซ่อนตัวอยู่ มนุษย์หรืออะไรชนิดหนึ่งที่นั่งคร่อมมาบนหลังของมัน กระโดดลงมายืนตระหง่านกับพื้น ตบมือขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วแหงนขึ้นชี้มายังคาคบตำแหน่งที่หล่อนและรพินทร์นั่งอยู่ เสือร้ายก็แหงนดวงตาวาวขึ้นมาเห็นในบัดนั้น หล่อนได้ยินเสียงโฮกสนั่น พร้อมๆกับร่างของนับลายพาดกลอนที่พุ่งทะยานขึ้นมา.....
- เพชรพระอุมา ตอนไพรมหากาฬ เล่มที่ 4 หน้า 1,420-1,421
ความคิดเห็นที่ 10
เนตรน้อย ศ.วรสิงห์ เป็นนักมวยตัวเตี้ยสูงไม่ถึง 150 ซ.ม เป็นคนพังโคนเหมือนกัน

เนตรน้อย โด่งดังตอนชิงแชมป์โลกมวยสากลกับ หลุยส์ เอสตาบ้า

โดยไปชกที่เวเนซุเอล่า บ้านเกิดของ เอสตาบ้า

ตลอดการชกครั้งนั้นที่ถ่ายทอดมาเมืองไทย เอสตาบ้า ชกตุกติกตลอด โดยใช้เท้าเหยียบเท้าของ เนตรน้อย ตลอดเวลา

และยิ่งตอนรวมคะแนน ก็โกงไปด้านๆ  คนไทยที่ได้ชมทางทีวี ก็ก่นด่าตามระเบียบ

โชคดีที่ เนตรน้อย ได้แก้มือที่สนามกีฬากองทัพบก และก็ได้เป็นแชมป์โลกคนที่ 6 สมใจ


แต่ชะตาชีวิตของ เนตรน้อย อาภัพ (อีกแระ)

หลังจากเป็นแชมป์โลก คณะผู้จัดการเนตรน้อย ก็แบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ทำให้ เนตรน้อย ไม่มีกำลังใจชก

ผลออกมาจึง แพ้มากกว่าชนะ  และไฟท์สุดท้ายของการชก เนตรน้อย ถูกส่งมาเป็นบันไดให้กับ

ยอดมวยอัจฉริยะของไทยคือ สามารถ พยัคฆ์อรุณ  

ยิ่งไปกว่านั้น เนตรน้อย ประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนเสาไฟฟ้า เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 ปี


ป.ล บังเอิญจริงๆเขียนถึงนักมวย 2 คน อาภัพทั้งคู่  อวยพรให้ หนูนิด lucky in love นะ 555

ป.ล 2 เขียนจากความทรงจำล้วนๆ แอบดูกูเกิ้ล แค่อายุตอนเสียชีวิต  อย่างนี้ต้องให้เครดิตเปล่า ?

รูป เนตรน้อย vs สามารถ

ความคิดเห็นที่ 17
ในเม้นท์ครูเตียงได้กล่าวถึงอีก 3 เสืออีสานว่าถูกฆ่าพร้อมกันกลางกรุง เรื่องมีอยู่ว่า

หลังจากจอมพล ผิน ชุณหวัณ รัฐประหารรัฐบาลหลวงธำรง (คนของ อ. ปรีดี ) ก็เชิญ จอมพล ป กลับมาเป็นนายก

การกวาดล้างผู้เห็นต่างทางการเมืองก็เริ่มต้น จนเมื่อเกิดกบฏวังหลวงในปี พ.ศ 2492

โดยมี อ.ปรีดี เป็นหัวหน้า รัฐบาลจอมพล ป ก็ยิ่งใช้ความรุนแรงมากขึ้น และเหยื่อชุดแรกๆก็คือ อดีต 4 รัฐมนตรีคือ

ทองอินทร์ ภูริพัฒน์   ถวิล อุดล  จำลอง ดาวเรือง และ ทองเปลว ชลภูมิ

ทั้งหมดถูกสังหารโดยตำรวจ ขณะที่นั่งรถมาด้วยกัน และยังมีกุญแจมือคาอยู่


โดยตำรวจอ้างว่า มีโจรมลายู จะมาชิงตัว  จึงเกิดการยิงกันหูดับตับไหม้  ในที่สุด 4 รัฐมนตรีตาย

แต่ตำรวจไม่มีใครบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว (รูปแบบมาตรฐาน 555)


เบื้องหลังคนสั่งการคือ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ผู้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง จอมพล ป


และคนควบคุมงานนี้คือ อัศวินแหวนเพชรข้างกาย เผ่า  คือ พ.ต.อ พุฒ บูรณสมภพ



ป.ล  การเมืองช่วงปี พ.ศ 2490 -2500 ถือเป็นการเมืองยุคทมิฬ เกิดการฆ่ากันตายมากมาย

ป.ล 2  คดีนี้ชื่อว่า "คดีฆ่า 4 รัฐมนตรี" ภายหลังมีการรื้อคดีจะเอาผิดตำรวจในเหตุการณ์

แต่สุดท้ายศาลยกฟ้องหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่