ทริปสาวเหลือน้อย ปีนเขาที่ภูสอยดาว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทุกคน 

เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ ปีเก่าที่ผ่านมา เหน็ดเหนื่อยกันมากไหมคะ ถ้าใครเหนื่อยมาก ก็แวะเข้ามาอ่านกันได้นะคะ รับรองได้ค่ะว่า รีวิวท่องเที่ยวที่จะมาแชร์ในวันนี้ ไม่ใช่แค่การเดินทาง ไปอย่างไร มาอย่างไรแค่นั้นนะคะ แต่ดิฉันหวังว่า รีวิวการท่องเที่ยวครั้งนี้ จะเป็นกำลังใจดีๆ และแรงบันดาลใจ ให้ใครหลายๆ ที่คิดว่าตัวเองแก่แล้ว ไม่สามารถ พัฒนาศักยภาพ หรือทำในสิ่งต่างๆ ที่คนอายุน้อยๆ เค้าทำกัน ปีใหม่แล้ว มาทำตัวเป็นคนแก่หัวใจวัยรุ่นกันดีกว่าค่ะ 

หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยได้เที่ยวในเมืองไทยเท่าไหร่ค่ะ เพราะคิดว่า เที่ยวเมืองไทย จะเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันคือบ้านเรา เอาแรงเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศไกลๆ ก่อนดีกว่า แก่แล้วค่อยเที่ยวเมืองไทยค่ะ จนมาถึงวัย 44 ปี ที่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนแล้ว ก็เลยกลับมามองดูเมืองไทย ว่าจะไปไหนดี มองดูแผนที่ประเทศไทยตั้งแต่เหนือจดใต้ ก็หลายรอบ ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะไปไหนดี สุดท้าย เปิดดูรูปเก่าๆ สมัยเด็กๆ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปปีนเขาที่ภูสอยดาวค่ะ

สาเหตุที่ตัดสินใจจะไปปีนเขาที่ภูสอยดาว เพราะว่า ดิฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ กับพ่อแม่และน้องสาวใกล้ๆ กับภูสอยดาว ตั้งแต่อายุ 10 - 16 ปี เรียกได้ว่า ดิฉันเป็นเด็กหลังเขาอยู่ราวๆ 6 ปีเลยค่ะ ก่อนที่จะไปเรียนต่อในตัวเมืองพิษณุโลก ดิฉันอยากกลับไปเยี่ยมบ้านเก่า อยากไปดูบรรยากาศที่ตัวเองเคยอยู่อาศัย อยากกลับไปดูรากเง้าของตัวเองเมื่อก่อนนี้ ครอบครัวของเราไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่เกือบๆ สิบปีได้แล้วค่ะ แม่คือคนสุดท้าย ที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลังเขาแห่งนี้ แต่ตอนแม่ป่วยเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ดิฉันก็พาแม่ย้ายไปอยู่ด้วย และแม่ก็พึ่งจากไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ส่วนพ่อเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในหมู่บ้านแห่งนี้ ตอนที่ดิฉันอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ความทรงจำของดิฉันกับหมู่บ้านหลังเขาแห่งนี้ มันคือสิ่งที่ดิฉันเรียกว่า มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ยาก ลำบาก สำหรับครอบครัวของเราเหมือนกันค่ะ เราเป็นครอบครัว ชนชั้นรากหญ้า ทำไร่ ทำสวน หาของป่าขาย พ่อคือหัวหน้าครอบครัว ที่คอยวางแผนทุกอย่าง พ่อกับแม่ ทำงานหนักมาก ทั้งปลูกผัก ทำสวน เข้าป่า หาของป่ามาขาย เพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว ตัวดิฉันเองนั้น เสาร์ อาทิตย์ หรือปิดเทอม ก็ต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงาน ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เหนื่อย เบื่อ อยากไปเล่นสนุกกับเพื่อน แต่พอมองย้อนกลับไปในวันนี้ กลับรู้สึก โชคดี ที่มีโอกาสได้ทำงานหนัก ได้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อฝึกความอดทน ได้เรียนรู้ทักษะ การเอาตัวรอดต่างๆ มากมาย พอต้องออกมาเผชิญโลกด้วยตัวเอง ทำให้ดิฉันไม่กลัวอะไรเลย หมู่บ้านหลังเขาแห่งนี้ ได้หล่อหลอมให้ดิฉัน กลายเป็นคนที่เข้มแข็ง ทำงานหนัก ไม่กลัวความลำบาก อดทนกับสิ่งที่ไม่อยากทำได้ดี และกลายเป็นคนที่ อยากเอาชนะทุกอย่าง และสิ่งที่ดิฉันเอาชนะมาได้ก็คือ ความจนค่ะ 

ภูสอยดาวตั้งอยู่เขตติดต่อระหว่าง จังหวัดพิษณุโลก กับจังหวัดอุตรดิตถ์ค่ะ ดิฉันเคยปีนมาแล้ว 3 ครั้ง ช่วงสมัยเป็นวัยรุ่น พาเพื่อนๆ จากในเมืองไปเที่ยวบ้าน ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 4 ค่ะ และน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะไปภูสอยดาว ก็ต้องหาเพื่อนร่วมทริป ไปคนเดียวมันเปลี่ยวใจค่ะ สุดท้ายก็ได้สองสาว เพื่อนชาวเกาหลี กับชาวจีน ที่อาศัยอยู่ที่ภูเก็ตด้วยกัน สองสาวนี้ก็อายุคนละ 50 ปีนะคะ ทริปนี้ เพื่อนสาวชาวเกาหลีตั้งชื่อทริปว่า “Forever Young” แต่ดิฉันขอตั้งว่า “ทริปสาวเหลือน้อย” ก็แล้วกันนะคะ บางคนอาจจะคิดว่า แก่ปูนนี้แล้ว ยังจะไปปีนเขาอีกเหรอ จะไปเป็นลมเป็นแล้ง และเป็นภาระคนอื่นหรือป่าว อย่าพึ่งดูถูกกันนะคะ มาเป็นกำลังใจให้พวกดิฉัน เอาชีวิตรอดกลับมากันดีกว่าค่ะ 

และนี่คือแผนการเดินทางของพวกเรานะคะ เราไม่ได้ไปแค่ภูสอยดาวค่ะ หลังจากลงจากภูสอยดาวแล้ว พวกเราก็จะเดินทางท่องเที่ยวไปทางภาคอีสาน โดยเริ่มที่จังหวัดเลย ที่มีเขตติดต่อกับจังหวัดพิษณุโลก แผนการคร่าวๆ หลังลงจากภูสอยดาว เราจะเดินทางไปเชียงคาน และพักที่นั่น 1 คืน หลังจากนั้นก็จะขับรถเลาะริมโขงไป จังหวัดหนองคาย และพักที่นั่น 1 คืน พอตื่นเช้ามา ก็จะเดินทางไปเที่ยว เวียงจันทน์ ประเทศลาวค่ะ เป็น one day trip ค่ะ กลับจากลาวช่วงเย็น เราก็จะขับรถต่อไปที่ จังหวัดอุดรธานี พักที่อุดรอีก 1 คืนค่ะ และบินกลับภูเก็ตจากอุดร ทริปของเราคือ 4-10 ธันวาคม 2567 ค่ะ



ช่วงเย็นวันที่ 4 ธันวา หลังจากเสร็จภาระกิจประจำวัน และร่ำลา ลูกและสามีแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันค่ะ ขอเล่าความสัมพันธ์กับเพื่อนทั้งสองคนนี้ก่อนนะคะ นี้เป็นการเที่ยวค้างคืนด้วยกันครั้งแรก ก็แอบหวั่นใจนิดๆ ว่าจะไปด้วยกันได้ไหม แต่ดิฉันก็ดูแล้ว ว่าพวกเค้าสองคน เป็นคนง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย น่าจะไปด้วยกันรอด ลูกๆ หลานๆ ของพวกเรา เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน เลยทำให้พวกเราสนิทสนมกันและดิฉันก็สอนภาษาไทยให้พวกเค้า และพวกเค้าก็สอนภาษาเกาหลีให้ดิฉันด้วยค่ะ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของกันและกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น เราบินจากภูเก็ตไปกรุงเทพฯ โดยสายการบินนกแอร์ และลงที่ดอนเมือง พอถึงดอนเมือง พวกเราก็ไปรับรถเช่าที่จองไว้กับ Avis เราพักที่ กทม. 1 คืน ก่อนที่จะออกเดินทางในเช้าของวันที่ 5 ธันวา มุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลกค่ะ เรามาถึงตัวเมืองพิษณุโลก ราวๆ 11 โมงเช้า และแวะซื้ออาหาร เครื่องดื่ม ที่โลตัส สำหรับพักแรมบนภูสอยดาว 1 คืนค่ะ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปที่ หมู่บ้านหลังเขาของดิฉัน เพื่อพักที่นั่นอีก 1 คืน ก่อนจะเดินขึ้นภูสอยดาวในเช้าวันถัดไป เนื่องจากว่าดิฉันไม่มีครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ยังมีครอบครัวของเพื่อนสนิท ที่ยังอาศัยอยู่ที่นั่น ก็เลยถือโอกาสไปพักที่บ้านเพื่อน กินข้าวและสังสรรค์กัน กับเพื่อนเก่าๆ สมัยเรียน มีเพื่อนเก่า ของดิฉันหลายคนที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน พวกเค้าต่างก็มีครอบครัว มีลูก ปลูกผัก ทำสวน ใช้ชีวิตกับอากาศที่บริสุทธิ์ ได้อยู่ดูแลพ่อแม่ ที่แก่ชราแล้ว ได้กินข้าว ได้หัวเราะด้วยกันทุกวัน และอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมืองหลวง ซึ่งก็เป็นชีวิตที่เรียบง่าย และมีความสุขไปอีกแบบหนึ่งค่ะ เมื่อก่อนดิฉันเคยคิดว่า หมู่บ้านหลังเขาแห่งนี้ ไม่มีอะไรดีเลย มาอยู่ใหม่ๆ น้ำประปา ไฟฟ้า ก็ยังไม่มีเลย เหตุใดเพื่อนๆ หลายคน ที่เรียนจบแล้วถึงกลับมาอยู่ในที่ๆ มันไม่มีอนาคตแบบนี้ แต่ตอนนี้ดิฉันกลับรู้สึกอิจฉา ที่พวกเค้ามีชีวิตที่เรียบง่าย อยู่แบบพอเพียง ได้อาบน้ำเย็นๆ สะอาดๆ จากภูเขา มีอากาศที่สดชื่นหายใจทุกวัน ซึ่งต่างจากคนในเมืองใหญ่อย่างพวกเรา ที่วันๆ หายใจเอาแต่มลพิษเข้าไปในปอด ใครที่อยากจะกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ไปใช้ชีวิต slow life หรืออยู่กับพ่อแม่ เป็นความคิดที่ดีนะคะ อีกหน่อยท่านก็จะจากไปแล้ว ชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่เราคิดเสียอีกค่ะ ตัวดิฉันเองนั้น ผ่านการสูญเสีย คนในครอบครัวมาถึง 3 ครั้ง พ่อ แม่ และล่าสุด น้องสาวอันเป็นที่รัก ก็มาจากไปด้วยโรคร้าย ทุกวันนี้ ดิฉันอิจฉา คนที่มีพ่อแม่ พี่น้องอยู่ครบ อยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อใช้ชีวิตกับพวกเค้าให้มากขึ้น มันก็ทำไม่ได้แล้วค่ะ 

ก่อนถึงหมู่บ้าน พาเพื่อนแวะชมโรงเรียนที่ดิฉันเคยเรียนค่ะ บังเอิญมีการแข่งกีฬาที่โรงเรียนพอดี ก็เลยได้เจอรุ่นน้องที่รู้จัก และเป็นครูสอนที่โรงเรียน
สนามฟุตบอลที่รู้สึกว่ามันใหญ่มาก ตอนเป็นเด็ก โดนลงโทษครูให้วิ่งรอบสนาม เหนื่อยมาก แต่วันนี้ ทำไมมันดูเล็กจัง 
สนามกีฬาที่เคยเล่นเตะตะกร้อกับพวกเพื่อนผู้ชาย 5555 
ห้องเรียนที่เคยเรียน เด็กโง่คนนั้น กลายเป็นคนเก่งในวันนี้แล้วค่ะ 5555
หลังจากแวะชมโรงเรียนที่ดิฉันเคยเรียนตอนเป็นเด็กแล้ว เราก็มาถึงหมู่บ้านกันแล้วค่ะ กินข้าวเที่ยงที่บ้านเพื่อน กับอาหารบ้านๆ ที่แสนอร่อย 

กินข้าวเสร็จก็พากันไปเดินเล่นริมธารในหมู่บ้านค่ะ น้ำเย็น อากาศสดชื่น หายใจได้เต็มปอดมากเลยค่ะ ดิฉันไม่รอช้า กระโดดลงไปอาบน้ำในลำธารรำลึกความหลัง สมัยเป็นเด็กค่ะ ชอบอาบน้ำคลอง มันเย็นจับใจดีจริงๆ ค่ะ 


เพื่อนสาวคนจีนกับเกาหลีของดิฉัน ก็พากันชมหมู่บ้านหลังเขากันอย่างสนุกสนานค่ะ 

เด็กๆ ในหมู่บ้านก็พากันมาต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กันอย่างสนุกสนาน นึกถึงตัวเองสมัยเป็นเด็กดอยเลยค่ะ พอเห็นคนแปลกหน้ามาเที่ยวก็พากันตื่นเต้น ดีใจ สนุกสนาน 

หลังจากนั้นพวกเราก็พากันไปเช็คอินที่รีสอร์ตใกล้ๆ หมู่บ้าน เราจะพักที่นี่กัน 1 คืนค่ะ  ที่นี่น่าจะเป็นที่พักที่ดีที่สุด เพียงแห่งเดียวแถวนี้คะ ราคาคืนละ 1000 สะอาด บรรยากาศดี ติดทุ่งนาและภูเขา กลางคืนก็มีดาวเต็มท้องฟ้าเลยค่ะ มีบ้านพักอยู่ 3 หลัง พักได้หลังละ 2 คนค่ะ เจ้าของที่พัก ก็เป็นรุ่นน้องที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันค่ะ ก็เป็นการกลับมาอยู่บ้าน ทำธุรกิจเล็กๆ ซึ่งน่าชื่นชมมากค่ะ 

พอตกเย็นมา พวกเราก็ชวนเพื่อนเก่าๆ ที่เคยเรียนด้วยกันมากินข้าว สังสรรค์ ถามสารทุกข์ สุขดิบกันค่ะ คุยถึงเรื่องเก่าๆ สมัยเป็นเด็กกัน และพวกเราก็ได้เผาข้าวหลามให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทั้งสองคนได้เห็นเป็นครั้งแรกด้วยค่ะ เป็น solf power เล็กๆ ด้วยนะคะ ก็เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน และเต็มไปด้วยความหลังค่ะ 

เพื่อนสมัยเรียนของดิฉัน ที่โกรธแค้นกันมานานค่ะ 5555

และค่ำคืนที่ สนุกสนาน  หัวเราะน้ำตาเล็ด ก็จบลงไปค่ะ ต้องขอบคุณเพื่อนสนิท ที่อุตสาห์ขับรถตามมาจาก กทม. เพื่อมาเจอกัน และจัดแจงตระเตรียมอาหารต่างๆ ไว้ให้ดิฉันกับเพื่อนๆ กินกันค่ะ และพี่สาวกับพี่เขยของเพื่อนที่จัดเตรียมการเผาข้าวหลามไว้รอค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่