ชีวิตในสิงคโปร์ (2) : กว่าจะได้สัญญาเช่าบ้านมาครอบครอง... เสียน้ำตาไปหลายแกลลอน


ก่อนอื่น ขอขอบคุณหลายๆ ท่านที่กรุณาเข้ามาอ่านในกระทู้แรกของเรานะคะ ยิ้ม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วันนี้เลยจะขอระบาย เอ้ย เล่าต่อจากกระทู้ก่อนค่ะ 555

หลังจากที่ค้นหาบ้านเช่ามาหลายสิบที่ เรียกว่าเกือบร้อยเลยค่ะ (โรคจิตจริงๆ)
ก็ได้มาตรัสรู้ว่า เล็งห้องไว้นานๆ ก็เท่านั้น เพราะเรายังไม่ได้วางเงินมัดจำ
ที่สวยๆ ที่เล็งไว้ ก็หายวับไปกับตา.... T__T

แต่ทันทีที่เราได้รับ Email จาก HR แจ้งว่า
“Good news! We received your In-Principle Approval (IPA) letter for Employment Pass (EP)”

โอ้ววววว.... ชั้นวางมัดจำเช่าบ้านได้อย่างสบายใจแล้วถูกมั้ยยยยยยยยย
(ไม่ได้ถาม HR นะคะ คิดเองเออเองว่าคงได้แล้ว go ahead เต็มที่ 555)

แต่ปรากฎว่า T__T ทางเจ้าของบ้านหลายๆ ท่านที่เราติดต่อไป เค้าบอกว่า

“ยูวววว In-Principle Approval (IPA) มันไม่เพียงพอในการใช้เป็นหลักฐานเช่าบ้านนะ”

กรี๊ดดดดดดดดดดด....

“ยูวต้องมี Employment Pass ตัวจริงนะรู้วยังงงง”

โอ เอ็ม จี... แล้วทำไม HR ไม่บอกคะ เรื่องสำคัญนะคะ! กรีดร้องในใจพลางส่ง email ตาม HR ไปพลาง

HR ก็ตอบมาแบบน่ารักมาก “ใช่แล้วค่ะ ปกติทางเจ้าของบ้านเค้าจะขอ EP ตัวจริง...

อ้าวเฮ้ยยย.....! ถึงขั้นงงงวยค่ะ แล้ว HR ยังทำเรา stunt เพิ่มโดยกระซิบเบาๆ แต่เจ็บมากว่า...

หลักๆแล้ว ยูวอาจจะต้องไปพักตามโรงแรมก่อนสัก 1-2 weeks เพื่อรอ EP ตัวจริง

เราถึงขั้นไปไม่ถูกอยู่เป็นวันค่ะว่าจะเอายังไง เพราะจริงๆเลยคือไม่ ok  
กับคำอธิบายที่ได้มา ไหนยังเราจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการพักโรงแรมเองอีก T__T

เราเลยตัดสินใจว่า เราจะลองถามเจ้าของบ้านทุกคนที่เราเล็งห้องไว้
ถ้าไม่มีใครรับ In-Principle Approval (IPA) ในการเช่าบ้านเลย เราก็ตั้งใจว่า
เราจะคุยกับ HR ว่าเค้าต้องดูแลเรื่องค่าที่พักชั่วคราวให้เรา
เพราะเค้าไม่บอกเราไว้เลย ทั้งที่เค้าควรจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับเรา
เป็นอย่างแรกๆ ตั้งแต่ตอนอธิบายถึง package การจ้างงานด้วยซ้ำ (งอนนนน)

เลยกลับมาจดจ่อกับบ้านอีกรอบ โดยเราทำ short list
และเหลือห้องที่เราสนใจจริงๆ แค่ไม่กี่ห้องเท่านั้น จากเกือบร้อย 555

จากนั้นก็ถามเจ้าของบ้านไป... ใจก็ลุ้นมากว่าจะหัวหรือก้อย..

ปรากฎว่าโชคดีมากๆ ค่ะ มีเจ้าของบ้าน 2 ท่านที่เข้าใจสถานการณ์ของเรา
แต่ก็มีข้อแม้ว่าเราต้องเอา EP มาให้เค้าดูทันทีที่ได้มา
ซึ่งห้ามเกิน 3 สัปดาห์หลังวันที่ได้เข้าอยู่... เท่านี้ก็สววรค์โปรดแล้ว 555

สำหรับการดูสถานที่นั้น ถ้าเรามีเวลา เราก็อยากบินไปดูห้องด้วยตัวเองค่ะ
ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในรูปที่ทางเจ้าของห้องถ่ายมานะคะ
แต่การจะเลือกอยู่ที่ไหนสักที่ เราต้องรู้ facility รอบๆ ด้วย
ซึ่งตัวเราเองจะให้ความสำคัญกับอาหารมากเป็นพิเศษ 5555

แต่ติดที่ว่างานสุมร่างจริงๆ จังๆ เลยต้องขอให้เพื่อนสิงคโปร์ไปดูให้
ปรากฎว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีเกินคาด เนื่องจากเพื่อนจะรู้แหล่งต่างๆ
รู้ว่าตึกที่เราสนใจอยู่ สะดวกมากน้อยแค่ไหน และแนะนำเราได้หลายๆ อย่าง
แนะกระทั่งว่ามีศูนย์อาหารใกล้ๆไหม มีร้านสะดวกซื้อหรือเปล่า
เพราะเราออกตัวกะเพื่อนไปเลยว่า เดี๊ยนทำอาหารไม่เป็นค่ะ ยูวโน๊ว 5555

จนมาจบในที่ๆ ชอบมากที่สุดค่ะ ก็ได้จ่ายเงิน ทำสัญญากันไป
กว่าจะได้สัญญามากอดนี่คือเหนื่อยใจค่ะ น้ำตาเล็ดไปหลายรอบ

Tips ในการเลือกบ้านของเรา

- ถ้าห้องที่มีห้องน้ำในตัวแพงเกินไป (หมายถึงแพงกว่างบที่ตั้งไว้เนาะ)
เราจะสอบถามเจ้าบ้านว่าเราต้อง share ห้องน้ำกับคนอื่นอีกกี่คน อันนี้โชคดีค่ะ
เราไม่ต้อง share ห้องน้ำกับใคร แค่ห้องน้ำไม่ได้อยู่ในห้องนอนเท่านั้นเอง

- สอบถามเรื่องกฎต่างๆ ของเจ้าของบ้านให้ดี อย่างของเรา ทางเจ้าของแจ้งว่าเค้าเป็นคนตื่นง่ายมาก
ดังนั้นตอนกลางคืน ถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากให้เราส่งเสียงดัง (แล้วชั้นจะกรีดร้องตอนกลางคืนทำไม 555)

- ถามในสิ่งที่เราต้องการทราบให้แน่ใจ เช่น เราจะถามว่า เราสามารถเลือกวันซักผ้าได้ไหม
มี internet ในห้องหรือไม่ เป็นต้น

- บางท่านที่ต้องการทำอาหารเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ต้องสังเกตุดีๆนะคะ
ว่าเจ้าของบ้านอนุญาตให้ทำอาหารหรือไม่ แบบใด บางที่ระบุเลยว่า light cooking แปลว่า... มาม่า skill only ค่ะ
ซึ่งตัวเราไม่ serious เพราะถึงให้ทำก็คงกินไม่ลงอยู่ดี 555

- เพิ่มเติมอีกสักนิด มีเพื่อนๆ ถามว่า ถ้าไปอยู่ที่ Malaysia แล้วเดินทางมาทำงานที่สิงคโปร์
จะประหยัดกว่าไหม แน่นอนว่าประหยัดกว่าค่ะ แต่ถ้าต้องเดินทางมาทำงานทุกๆ วัน จะเหนื่อยมากไปค่ะ
ขอแนะว่า น่าจะเป็น choice สำหรับคนที่ทำงานแบบ home office ได้นะคะ เพราะไม่ต้องล้ากับการเดินทางมากไป

ไว้เท่านี้ก่อน แล้วค่อยมาต่อกระทู้ที่ 3 นะคะ ^____^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่