ราหุล ! เมื่อเธอกระทำกรรมใดด้วยกายแล้ว
พึงพิจารณากรรมนั้น ว่า “กายกรรมที่เรากระทำแล้วนี้
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง เป็นกายกรรมที่เป็นอกุศล
มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก หรือไม่หนอ ?” ดังนี้.
ราหุล ! ถ้าเธอพิจารณา รู้สึกอยู่ดังนี้ไซร้,
เธอพึงแสดง พึงเปิดเผย พึงกระทำให้เป็นของหงาย
ซึ่งกายกรรมนั้น ในพระศาสนาหรือในเพื่อนสพรหมจารี
ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย, ครั้นแสดง ครั้นเปิดเผย ครั้นกระทำ
ให้เป็นของหงายแล้ว พึงถึงซึ่งความระวังสังวรต่อไป.
ราหุล ! ถ้าเธอพิจารณา รู้สึกอยู่ดังนี้ว่า
“กายกรรมที่เรากระทำแล้วนี้ ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียน
ตนเองบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ไม่เป็นไป
เพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง เป็นกายกรรมที่เป็นกุศล
มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก” ดังนี้ ไซร้.
ราหุล ! เธอพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์
ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ทั้งกลางวันและ
กลางคืนเถิด.
วินิจฉัยกรรม เมื่อกระทำแล้ว
พึงพิจารณากรรมนั้น ว่า “กายกรรมที่เรากระทำแล้วนี้
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
เบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง เป็นกายกรรมที่เป็นอกุศล
มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก หรือไม่หนอ ?” ดังนี้.
ราหุล ! ถ้าเธอพิจารณา รู้สึกอยู่ดังนี้ไซร้,
เธอพึงแสดง พึงเปิดเผย พึงกระทำให้เป็นของหงาย
ซึ่งกายกรรมนั้น ในพระศาสนาหรือในเพื่อนสพรหมจารี
ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย, ครั้นแสดง ครั้นเปิดเผย ครั้นกระทำ
ให้เป็นของหงายแล้ว พึงถึงซึ่งความระวังสังวรต่อไป.
ราหุล ! ถ้าเธอพิจารณา รู้สึกอยู่ดังนี้ว่า
“กายกรรมที่เรากระทำแล้วนี้ ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียน
ตนเองบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ไม่เป็นไป
เพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง เป็นกายกรรมที่เป็นกุศล
มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก” ดังนี้ ไซร้.
ราหุล ! เธอพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์
ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ทั้งกลางวันและ
กลางคืนเถิด.