ปฏิบัติระยะยาว
อันนี้ก็เริ่มที่ 'รู้สักแต่รู้' หนะแหละ ผู้มีบารมีมาก แจ่มแจ้งนิพพานทันที ผู้มีบารมียังไม่มากพอ ก็ต้องฝึกจิตในสติ รู้สักแต่รู้ ได้ยินสักแต่ได้ยิน ฯลฯ จนกว่าจะเกิดเป็น โลกุตตรสติธรรม ให้ผลทันที สิ้น อยาก สิ้น ยึด สิ้น กรรม ภพหลง โลกหลง ตนหลง (ในขันธ์ห้า)
แค่นี้ก็พอ "รู้" เป็นวิญญาณธรรมดา "รู้สักแต่รู้" เป็นวิญญาณสติ ทรงไว้ซึ่งพุทธธรรมเหนือโลก วิญญาณสติ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็น จิตสติ ปรากฏขึ้น (เป็น โลกุตตรจิต ถึงโลกุตตรธรรม คือ พุทธสติ) เป็นจิตสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่อง ไม่เดือดร้อนขาดเหลือ(perfect)
ย่อมเข้าถึง ธรรมสมบูรณ์ สัจธรรม อมต นิพพาน) เป็นจิตธาตุ (จิตเดิมแท้) ไม่ใช่สังขาร โลกภพตนหลง เป็นจิตวิสังขาร (ถึง วิสังขารสัจธรรม อมต นิพพาน) หยั่งหลงสู่ วิสังขารธรรม (วิสังขารคตังจิตตัง)
จิตตถาคต (บริสุทธิ์) หยั่งหลงสู่วิสังขารธรรม (ไม่มีหลงเสียแล้ว) ในตอนนี้ ถ้า วิราคะจิต ขั้นโลกุตตรจิตเกิดถึง โลกุตตรธรรม คือ วิราคะธรรม (พระนิพพาน) ได้ ถ้าเป็นจิตคลายกำหนัดในกาม เกิดขึ้น สังโยชน์ เครื่องผูกจิตละได้ยาก ก็ขาดไปเด็ดขาด (ไม่ใช่ชั่วคราว เช่น เข้าฌานสมาธิ)
ทั้งสังโยชน์ที่มาด้วยกัน คือ โทสะ ปฏิฆะ ขัดเคืองใจ พยาบาท ก็ถูกตัดขาดจากจิตพร้อมกันเด็ดขาด รวมทั้งวิหิงสา ความคิดเบียดเบียนสัตว์โลก กามภพดับไปจากจิต ถ้าจิตวิราคะในรูปฌานอรูปฌาน เกิดต่อไป สังโยชน์เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ ก็ถูกต้องออกไปเด็ดขาด
พร้อมสังโยชน์ที่เหลือ มีมานะ เป็นต้น เป็นอัน ภพสาม กาม, รูป, อรูดับ หรือ ลูกตุ้มนาฬิกา (pendulum) ที่แกว่งไปสุดทางหนึ่ง (คือ กาม) แล้วก็แกว่งกลับไปจนสุดอีกทางหนึ่ง คือ สมาธิ แกว่งไปมาไม่รู้จักสิ้นสุด (หรือโคจรของจิตอวิชชา) เป็นอันหยุดนิ่ง
ตอนนี้สิ้นวัฏฏสงสาร ตัวทุกข์แท้ หรือ อุปาทานขันธ์ห้า อริยสัจทุกข์ ไม่ใช่แบบความคิดปุถุชน เสียโน่น เสียนี่ แต่เป็นทุกข์เพราะโง่ เพราะหลงตน ego concept สักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้าเป็นต้น
สรุปแนวปฏิบัติสติ
ธรรมทั้งหลายไม่พึงถือมั่น เป็นยอด พุทธสติ นั่นก็คือ รู้ สักแต่รู้ (hearing, hearing only-no doing - end, the world หรือ ธรรมเป็นธรรม (Dhamma be Dhamma) นโสเหตวัง วิวาโท ปรากฏ (สุดสมมุติภาษาไม่มีถามตอบ) น ตลัง กา สลัง โลกุตตรสันต์ เป็น สันติสุขเหนือโลก
เท่านี้แหละโยม ทั้งหมด
นอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพานํปรมํสุขํ เป็นสุขยอดเยี่ยม หรือ นอกจากสัจธรรม คือ นวโลกุตตรธรรม มรรคสี่ผลสี่นิพพานหนึ่ง แล้วก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะ เมื่อ สติคั่น วิราคะจิต เกิด กาย วาจา ใจ เป็น วิราคะทั้งหมด จิตถึงสัจธรรม
อตังที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ อันบรมนิวาส กล่าวว่า เห็นตนเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นตน (คือเห็นอริยสัจธรรม ขั้นใดขั้นหนึ่ง ในกายวาจาจิต) พอใช้ได้ จิต วิรัชชติ ไม่ติดในสรรพสิ่ง จึงเกิดขึ้น
จิตวิมุติ หลุดพ้น ถึง วิมุติธรรม (พ้นสมมุติ) พระนิพพาน เป็นโลกุตตรสุข วิมุติสุข จึงจะพ้นอำนาจโลกได้เด็ดขาด ต่อให้โลกระเบิดก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ว่าโดยย่อ รู้สังขารไม่เที่ยง วางกังวลทั้งหมด
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
โลกุตรธรรม
อันนี้ก็เริ่มที่ 'รู้สักแต่รู้' หนะแหละ ผู้มีบารมีมาก แจ่มแจ้งนิพพานทันที ผู้มีบารมียังไม่มากพอ ก็ต้องฝึกจิตในสติ รู้สักแต่รู้ ได้ยินสักแต่ได้ยิน ฯลฯ จนกว่าจะเกิดเป็น โลกุตตรสติธรรม ให้ผลทันที สิ้น อยาก สิ้น ยึด สิ้น กรรม ภพหลง โลกหลง ตนหลง (ในขันธ์ห้า)
แค่นี้ก็พอ "รู้" เป็นวิญญาณธรรมดา "รู้สักแต่รู้" เป็นวิญญาณสติ ทรงไว้ซึ่งพุทธธรรมเหนือโลก วิญญาณสติ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็น จิตสติ ปรากฏขึ้น (เป็น โลกุตตรจิต ถึงโลกุตตรธรรม คือ พุทธสติ) เป็นจิตสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่อง ไม่เดือดร้อนขาดเหลือ(perfect)
ย่อมเข้าถึง ธรรมสมบูรณ์ สัจธรรม อมต นิพพาน) เป็นจิตธาตุ (จิตเดิมแท้) ไม่ใช่สังขาร โลกภพตนหลง เป็นจิตวิสังขาร (ถึง วิสังขารสัจธรรม อมต นิพพาน) หยั่งหลงสู่ วิสังขารธรรม (วิสังขารคตังจิตตัง)
จิตตถาคต (บริสุทธิ์) หยั่งหลงสู่วิสังขารธรรม (ไม่มีหลงเสียแล้ว) ในตอนนี้ ถ้า วิราคะจิต ขั้นโลกุตตรจิตเกิดถึง โลกุตตรธรรม คือ วิราคะธรรม (พระนิพพาน) ได้ ถ้าเป็นจิตคลายกำหนัดในกาม เกิดขึ้น สังโยชน์ เครื่องผูกจิตละได้ยาก ก็ขาดไปเด็ดขาด (ไม่ใช่ชั่วคราว เช่น เข้าฌานสมาธิ)
ทั้งสังโยชน์ที่มาด้วยกัน คือ โทสะ ปฏิฆะ ขัดเคืองใจ พยาบาท ก็ถูกตัดขาดจากจิตพร้อมกันเด็ดขาด รวมทั้งวิหิงสา ความคิดเบียดเบียนสัตว์โลก กามภพดับไปจากจิต ถ้าจิตวิราคะในรูปฌานอรูปฌาน เกิดต่อไป สังโยชน์เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ ก็ถูกต้องออกไปเด็ดขาด
พร้อมสังโยชน์ที่เหลือ มีมานะ เป็นต้น เป็นอัน ภพสาม กาม, รูป, อรูดับ หรือ ลูกตุ้มนาฬิกา (pendulum) ที่แกว่งไปสุดทางหนึ่ง (คือ กาม) แล้วก็แกว่งกลับไปจนสุดอีกทางหนึ่ง คือ สมาธิ แกว่งไปมาไม่รู้จักสิ้นสุด (หรือโคจรของจิตอวิชชา) เป็นอันหยุดนิ่ง
ตอนนี้สิ้นวัฏฏสงสาร ตัวทุกข์แท้ หรือ อุปาทานขันธ์ห้า อริยสัจทุกข์ ไม่ใช่แบบความคิดปุถุชน เสียโน่น เสียนี่ แต่เป็นทุกข์เพราะโง่ เพราะหลงตน ego concept สักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้าเป็นต้น
สรุปแนวปฏิบัติสติ
ธรรมทั้งหลายไม่พึงถือมั่น เป็นยอด พุทธสติ นั่นก็คือ รู้ สักแต่รู้ (hearing, hearing only-no doing - end, the world หรือ ธรรมเป็นธรรม (Dhamma be Dhamma) นโสเหตวัง วิวาโท ปรากฏ (สุดสมมุติภาษาไม่มีถามตอบ) น ตลัง กา สลัง โลกุตตรสันต์ เป็น สันติสุขเหนือโลก
เท่านี้แหละโยม ทั้งหมด
นอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพานํปรมํสุขํ เป็นสุขยอดเยี่ยม หรือ นอกจากสัจธรรม คือ นวโลกุตตรธรรม มรรคสี่ผลสี่นิพพานหนึ่ง แล้วก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะ เมื่อ สติคั่น วิราคะจิต เกิด กาย วาจา ใจ เป็น วิราคะทั้งหมด จิตถึงสัจธรรม
อตังที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ อันบรมนิวาส กล่าวว่า เห็นตนเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นตน (คือเห็นอริยสัจธรรม ขั้นใดขั้นหนึ่ง ในกายวาจาจิต) พอใช้ได้ จิต วิรัชชติ ไม่ติดในสรรพสิ่ง จึงเกิดขึ้น
จิตวิมุติ หลุดพ้น ถึง วิมุติธรรม (พ้นสมมุติ) พระนิพพาน เป็นโลกุตตรสุข วิมุติสุข จึงจะพ้นอำนาจโลกได้เด็ดขาด ต่อให้โลกระเบิดก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ว่าโดยย่อ รู้สังขารไม่เที่ยง วางกังวลทั้งหมด
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต