ครอบครัว...ในบ้านเช่า

สวัสดีครับ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับ ‘คนรู้จัก’ ของผมซึ่งตัวผมเองก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้จนมีโอกาสพบเจอกับเรื่องราวแปลกๆในบ้านหลังนั้น เรื่องที่จะเล่าส่วนหนึ่งมาจากคำบอกเล่าและพูดคุยกันกับเจ้าตัว แล้วนำมาเขียนใหม่ด้วยคำพูดของผม และมีเรื่องราวในส่วนที่ผมได้พบเจอรวมเข้าไปด้วย
          เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากสาวโสดวัยทำงานคนหนึ่งผมขอเรียกเธอว่า พี่ส้ม แน่นอนว่าเป็นนามสมมตินะครับ พี่ส้มเป็นสาวโสดที่ยังไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับความรักสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนเก่งในหลายๆด้านจนสามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ไม่น้อย แม้ว่าทางบ้านนั้นจะไม่อำนวยให้เธอสักเท่าไหร่
          พี่ส้มหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยได้ไม่นานก็หางานทำใกล้ๆบ้านก่อน แต่ก็ไม่หยุดความพยายามที่จะหางานใหม่ที่มั่นคงกว่าและตอบโจทย์ของเธอได้มากกว่า และในที่สุดความพยายามของเธอก็สัมฤทธิ์ผล เธอได้งานที่มีค่าตอบแทนค่อนข้างดี แต่ว่าเป็นจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่ในละแวกบ้านของเธอ
          พี่ส้มได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ แม้ว่าจะเป็นจังหวัดที่ไกลจากบ้านเดิมมากนักแต่มันก็ถือว่าใหม่ สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว พี่ส้มหาที่พักอย่างเร่งรีบโดยที่มีข้อจำกัดด้าน การเงิน เพราะฐานะทางบ้านของพี่ส้มนั้นก็ไม่ได้ถือว่าจะดีเท่าไหร่นัก มีเพียงพี่ส้มและพี่สาวอีกหนึ่งคนที่คอยช่วยกันหาเงินจุนเจือครอบครัว
          ในที่สุดพี่ส้มก็หาบ้านพักได้อย่างที่ต้องการ บ้านที่หาได้นั้นเป็นบ้านทาวเฮาส์คูหาเล็กๆในเขตชุมชนหนึ่ง ซึ่งสะดวกในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน และการเดินทาง แต่ที่ถูกใจเธอมากที่สุดคงจะเป็น ค่าเช่าบ้านที่ถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับราคาทั่วๆไปตามท้องตลาด เมื่อทราบราคาแล้วเธอก็รีบตอบตกลงทันทีทั้งที่ยังไม่ได้เข้าไปดูสภาพภายในเลยสักนิด
          เธอย้ายของเข้าบ้านในไม่กี่วันถัดมาเพื่อให้ทันเวลาเริ่มงานที่กระชั้นเข้ามาทุกที ทุกๆอย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดี หลังจากที่ทุกคนมาช่วยเธอย้ายของเข้าบ้าน จัดข้าวจัดของ จนแน่ใจแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่ได้ ญาติๆจึงลากลับไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อ
          ในช่วงแรกๆที่เริ่มงานนั้นเธอยังคงอยู่ในช่วงเรียนรู้งานทำให้ยังไม่มีภาระให้รับผิดชอบมากนัก เธอจึงพอมีเวลาว่างในช่วงเย็นๆให้ได้มาเดินดูรอบๆชุมชนที่เธออาศัยอยู่ หากับข้าวกับปลากินอย่างมีความสุข
          เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มาอยู่ใหม่ บรรดาแม้ค้าและคนแถวนั้นต่างก็ทักทายเธอตามประสา โดยปกติแล้วเธอเป็นคนจิตใจดีและเข้ากับคนได้ง่ายทำให้ใครๆก็เริ่มรู้จักเธอ แต่เมื่อเธอบอกถึงที่อยู่อาศัยของเธอแล้วทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีปฏิกิริยาแปลกๆไปตามๆกัน
‘อยู่บ้านนั้นไม่กลัวหรอ ไม่เจออะไรหรอ’
          ประโยคเดิมๆที่เธอได้ยินทุกครั้งหลังจากที่เธอเล่าเรื่องบ้านที่เธอเช่าอยู่ และก็เป็นที่แน่นอนว่าเธออดไม่ได้ที่จะกังวล และถามหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านหลังนั้น ว่ามันมีประวัติอะไรหรือเปล่า แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมานั้นก็เป็นเพียงการบอกปัดไปของคนอื่นๆเท่านั้น อาจเป็นเพราคงจะกลัวว่าเธอจะกลัวจนอยู่ไม่ได้ หรือว่าไม่อยากพูดถึง อย่างไรก็แล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้สนิทกับผู้คนนั้นจนจะซักถามอะไรได้มากมาย
          แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาได้สักระยะแล้วแต่ก็ยังไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนบ้านและคนในละแวกนั้นรบกวนจิตใจเธออยู่ไม่น้อยจนบางครั้งก็ทำให้เธอเผลอคิดอะไรไปเองในตอนที่อยู่คนเดียว
          จนเวลาผ่านมาถึงเดือนที่สองเธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับบ้านหลังนี้ เพราะบางครั้งเธอเริ่มที่จะมีภาระงานมากขึ้นทำให้เธอต้องกลับดึกบ้าง บางทีก็ต้องหอบเอางานกลับมาทำต่อที่บ้านจนดึกดื่น บางคืนกว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปตีสองตีสาม และทุกๆครั้งที่เธอต้องนอนดึกจากการสะสางงานที่คั่งค้างเธอจะรู้สึกเหมือนกันว่า มีใครบางคนอยู่ในบ้างหลังนี้กับเธอ เธอเคยพยายามปลอบใจตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนเกินไป
         และที่ดูจะทำให้เธอวิตกมากที่สุดคงจะเป็นคำทักทายจากเพื่อนบ้านในบางวันที่เธอต้องกลับดึก มีอยู่คืนหนึ่งเธอมัวทำงานจนเพลินเลยทำให้กลับมาถึงบ้านในเวลาราวๆสี่ทุ่มเห็นจะได้ เธอเดินผ่านเพื่อนบ้านที่กำลังตากผ้าอยู่หน้าบ้าน เธอยิ้มทักทายให้เหมือนปกติ แต่เพื่อนบ้านกลับตอบเธอกลับมาว่า
‘อ้าว ออกไปซื้อของมาหรอ เห็นเดินผ่านไปรอบนึงแล้ว ไหนล่ะกับข้าว’
          ในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจและได้แต่ทำหน้างงๆกลับไปเท่านั้น เพื่อนบ้านก็ดูเหมือนจะงงกับอาการของเธอเช่นกัน เธอกลับเข้าบ้านมาด้วยความกังวลที่เริ่มมากขึ้น เธอเริ่มเกิดความระแวงในการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้จนเธอต้องเปิดไฟให้สว่าง เปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อนเพื่อลบความเงียบให้หายไป
           ความกังวลของเธอเริ่มมากขึ้นจากความรู้สึกอันเลือนรางที่ว่าเหมือนมีใครบางคนอาศัยอยู่ร่วมกับเธอ จนในคืนหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความกังวลของเธอก็เกิดขึ้นโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
           ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆจะเที่ยงคืนแล้ว เธอนอนเอนหลังอยู่ที่โซฟาพร้อมกับพิมพ์ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเธอ เธอเริ่มรู้สึกล้าจากการพิมพ์งานติดต่อกันหลายชั่วโมง เธอผละเอาโน๊ตบุ๊ควางไว้ข้างตัว เร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้น เปิดหารายการเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของเธอ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าสะสม จึงทำให้เธอง่วงๆ และในคอนที่เธอกำลังจะผลอยหลับไปนั้น หางตาของเธอก็มองไปเห็นเงาดำๆเงาหนึ่ง วิ่งผ่านหางตาไป เงานั้นมีรูปร่างเหมือนคน แต่ไม่สูงมากนักจิตใต้สำนึกของเธอบอกว่าน่าจะเป็นเงาของ เด็ก
           ในตอนเช้าพี่ส้มสะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้ให้ปลุกเธอในทุกๆวัน เธอเหลือบไปดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบจะสายแล้ว เธอจึงรีบร้อนจัดการธุระส่วนตัวของเธอให้เสร็จและไปนั่งรอรถประจำทางที่หน้าปากซอย ในระหว่างที่นั่งรอรถอยู่นั้นเธอก็นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนที่เธอจะหลับไป เธอจำมันได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะแน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริง ลึกๆในใจของเธอเริ่มจะกลัว แต่ก็ยังคงให้กำลังใจตัวเองว่า อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าก็ได้จำทำให้ตาฝาดไป
           เย็นวันนั้นเธอรีบกลับบ้านมาตั้งแต่หัววันโดยไม่ได้ทำงานล่วงเวลาเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา เพื่อที่ว่าเธอจะไปเดินเล่นแถวชุมชนที่เธออยู่เผื่อว่าจะไปหลอกถามเรื่องราวจากใครมาได้บ้าง แล้วยังเป็นการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียดของกรทำงานอีกด้วย
           เธอเดินไปตามถนนในซอย ลัดเลาะไปตามช่องเล็กๆผ่านตลาด เพื่อหากับข้าวมารับประทานในตอนเย็น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ถูกใจเธอสักที จนเธอเดินมาเจอร้านบะหมี่ที่มีขายอยู่ทั่วประเทศ เธอจึงเลือกที่จะเข้าไปจัดการกับมื้อเย็นของเธอที่นั่น
           ระหว่างที่เธอนั่งรอบะหมี่เธอก็ชวน เฮีย เจ้าของร้านคุยไปเรื่อยเปื่อย หน้าตาน่ารักๆกับอัธยาศัยที่ดีของเธอจึงทำให้เฮียยอมคุยกับเธอได้โดยง่าย เธอคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยจนวนกลับมาที่เรื่องบ้านพักของเธอ เธอยังไม่ได้บอกเฮียว่าเป็นเธอเองที่อาศัยอยู่ในนั้น บอกแต่เพียงว่าได้ยินคนเขาเมาท์กันแต่ไม่ชัดเจน
‘ อั๊วก็ไม่รู้มากหรอก อั๊วก็เพิ่งมาอยู่ได้ปีเดียวเอง แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างแหละ ไอ้บ้านเช่าที่ถัดจากนี่ไป สามสี่ซอยใช่ไหม ก็เห็นว่ามีผีนะ ถ้าจำไม่ผิด อั๊วก็เห็นว่ามีคนมาเช่าบ่อยนะ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเจ้ากันหมด เหมือนอยู่ไม่ได้ ’
           คำตอบของเจ้าของร้านบะหมี่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก เธอเดินกลับบ้านด้วยคำถามมากมายในใจ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? แล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับเราล่ะ? เราจะทำอย่างไรดี
           แล้วในระหว่างทางกลับบ้านนั้นเองเธอก็มองเห็นว่ามีร้านขายสังฆทานถัดไปอีกแยกหนึ่ง เธอรีบเดินตรงไปยังร้านสังฆทานนั้น เธอเลือกบูชาพุทธรูปองค์เล็กๆมาองค์หนึ่ง หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้ แล้วถ้ามันจริงอย่างที่เขาว่า ก็หวังว่าพระท่านจะช่วยคุ้มครองเธอจากสิ่งที่เธอกลัวได้ไม่มากก็น้อย
           ในคืนนั้นเธอเปิดไฟสว่างทั้งบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ห้องเดียว โทรทัศน์ที่เปิดเป็นเพื่อนก็เร่งเสียงให้ดังกว่าปกติ เธอโทรหาเพื่อนสนิทให้คุยเป็นเพื่อนพร้อมกับเล่าเรื่องที่เธอไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็แนะนำให้เธอย้ายออกเพื่อความสบายใจ แต่เธอก็ยังลังเลใจ เพราะว่ามันก็ยังไม่ครบสัญญาที่ทำไว้กับทางเจ้าของเลย เมื่อเธอคิดไปถึงเงินประกันที่จ่ายไป ก็ตัดสินใจไม่ย้ายออก
           ในคืนนั้นเธอคุยกับเพื่อนไปพลางทำงานไปพลาง ทุกๆอย่างดูเรียบร้อยดี อาจเป็นเพราะพุทธรูปที่เธอเพิ่งบูชามาก็เป็นได้ เธอคอยเหลือบตาไปมองพุทธรูปองค์เล็กๆที่วางไว้หลังโทรทัศน์อยู่ตลอด เหมือนกับกลัวว่ามันจะหายไป
           เธอทำงานจนรู้สึกเพลีย จึงลุกจะไปอาบน้ำ ซึ่งห้องน้ำนั้นอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน เธอเดินไปถึงราวตากผ้าก็หยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัวไว้ และในตอนที่เธอเดินผ่านบันไดเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆดังมาจากใต้บันได
‘ฮิ... ฮิ...’
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่