เอา...คืนมา

สวัสดีครับ วันนี้ก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันอีกสักเรื่องนะครับ ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นเรื่องของ ความเชื่อ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าคุณมีสิทธ์ที่จะ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็ได้ อย่างไรก็แล้วแต่ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงอะไร ถ้าหากมันขัดต่อความรู้สึกของคุณ ก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นครับ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วประมาณ 2 ปีเห็นจะได้ ตอนนั้นผมมีโอกาสได้ตามเพื่อนไปที่บ้าน ส่วนมากผมจะอาศัยตามเพื่อนไปเที่ยวเสียส่วนมากเพราะที่บ้านผมนั้นไม่ค่อยจะสะดวกออกไปเที่ยวกันไกลๆเนื่องด้วยภาระของงานที่มีอยู่ แม่จึงมักจะปล่อยให้ผมไปเที่ยวด้วยตัวเองไม่ก็ไปกับเพื่อน
     ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวผมจึงเลือกที่จะตามเพื่อนคนนึงกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ทางภาคเหนือเนื่องจากอยากไปเจออากาศหนาวๆบ้างอยู่ที่นี่เจอแต่อากาศร้อน อีกอย่างผมรู้สึกชอบบ้านเมืองและบรรยากาศของจังหวัดทางภาคเหนือมากเป็นพิเศษ
     ผมจะได้ว่าบ้านเพื่อนของผมนั้นห่างจากตัวเมืองออกไปเพียงนิดเดียวเรียกได้ว่าอยู่ในเมืองเหมือนกัน แต่ก็ค่อนข้างจะเป็นชายขอบทำให้บ้านเรือนแถวนั้นจะเป็นแบบเก่าๆที่ยังไม่ถูกทำใหม่ให้เป็นตึกแถวหรือบ้านปูนไปซะหมด รอบๆนั้นก็เป็นถนนหนทางตามปกติ ไม่กันดาร พอมีลมเย็นๆจากที่โล่งๆให้พอสดชื่น แต่ถ้าหากอยากสัมผัสกับธรรมชาติจริงๆต้องลงแรงเดินทางไปอีกหน่อย
     ในช่วงนั้นเป็นเพียงแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ทั่วๆไปเท่านั้นไม่ใช่ปิดเทอมหรือว่าเทศกาลอะไร เอาจริงๆผมแค่ อยากเที่ยว เท่านั้นขอให้ได้เดินทางได้ไปในที่ใหม่ๆต่อให้ไปแล้วได้แค่นอนอยู่บ้านก็ยังดีกว่าให้อยู่ที่เดิมๆ แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจเดินทางไปไหนไกลๆมันก็มักจะตามมาด้วยประสบการณ์แปลกๆเสมอๆ
     บ้านเพื่อนของผมนั้นอยู่ในชุมชนคล้ายๆกับหมู่บ้านจัดสรรแต่จะเล็กกว่าหน่อยเพื่อนบ้านสนิทกัน มีงานอะไรก็มาช่วยเหลือกันมาเรียกกัน เหมือนกันเป็นหมู่บ้านสมัยใหม่ที่มีความเป็นอยู่คล้ายชนบทค่อนข้างให้ความรู้สึกอบอุ่น
     ในช่วงที่ผมไปพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนนั้นบ้านใกล้ๆกันนั้นมีงานฉลองกันถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นงานหมั้นที่ไม่ใช่งานแต่งจริงๆ บ้านเพื่อนของผมถูกเชิญให้ไปร่วมงานตามธรรมเนียม แขก อย่างผมก็ได้รับเชิญไปด้วยเช่นกัน
     ผมไม่ค่อยคุ้นกับพิธีทางเหนือเท่าไหร่มันจึงรู้สึกแปลกใหม่สำหรับผมและที่แน่ๆเลยคือ ผมไม่รู้จักใครเลยมันก็ทำให้เกร็งๆไปบ้าง ผมจึงตั้งใจง่วนอยู่กับอาหารบนโต๊ะแทนที่จะเดินไปเดินมาในงานให้เกะกะคนอื่นเขา
     ในตอนที่ผมกำลังเพลินกับอาหารพื้นบ้านที่ไม่มีให้กินที่บ้านผมผมก็เหลือบไปเห็นโต๊ะนึงที่มีคุณลุงอายุน่าจะราวๆ 50 ได้นั่งกินเหล้าอยู่คนเดียว การแต่งตัวนั้นไม่เข้ากับงานเลยสักนิด ลุงใส่เพียงเสื้อโปโลกับกางเกงขาสั้นเลอะเทอะมอมแมม ไม่มีใครนั่งร่วมโต๊ะกับแก และเหมือนทุกๆคนจะเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปใกล้แก
     ด้วยความสงสัยผมจึงหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ได้ความว่าลุงแกเป็นคนอัธยาศัยไม่ค่อยดี เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่บางทีแกก็ใจดีนะเวลาใครจะเข้าไปยุ่งก็ต้องดูอารมณ์แกหน่อย ไม่ใช่ว่าเกลียดกันหรอก แต่เมื่อก่อนก็ไม่ขนาดนี้นะ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างที่ไปเรียนต่างจังหวัดมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า
     ผมหยุดคำถามของตัวเองเอาไว้ตรงนั้นเพราะผมเป็นคนนอกการจะไปซํกไซร้อะไรมากก็คงจะดูน่าเกลียดไม่น้อย ผมกลับมานั่งกินต่อให้เต็มที่เพื่อรอให้งานต่างๆสิ้นสุดลงแล้วจะได้กลับไปที่บ้านกันสักที
     งานดำเนินต่อไปอีกประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับโดยที่กับข้าวที่เหลือนั้นถูกจัดใส่ถุงเอาไว้เป็นชุดๆแจกให้กับทุกคนที่เดินทางมาร่วมงานรวมไปถึงเหล้าซึ่งมีทั้งเหล้านอกและเหล้าพื้นบ้านที่ทำกันเอง ผมกับเพื่อนมองหน้ากันอย่างนึกสนุกกะไว้ว่าคืนนี้จะปาร์ตี้กันให้สนุก
     ในตอนกลับเราเดินออกมาทางหน้าบ้านงานที่เต็มไปด้วยโต๊ะหลายตัวและแน่นอนว่าต้องเดินผ่านโต๊ะที่ลุงคนนั้นนั่งอยู่ด้วยความสงสัยที่มีผมจึงแอบมองลุงตอนที่กำลังจะเดินผ่าน แล้วมันก็พอดีกับที่ลุงลุกขึ้นมาจากโต๊ะเหมือนจะกลับแล้วเช่นกัน
     ทันทีที่ลุงลุกขึ้นเราก็ตกใจจนต้องขยับถอยหนีมาเล็กน้อยแต่เหมือนกับแกจะเริ่มมึนจากปริมาณเหล้าที่แกดื่มเข้าไปตั้งแต่ต้นงานทำให้แกเซมาทางพวกเรา ด้วยสัญชาตญาณผมที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงเอื้อมมือไปประคองแกเอาไว้โดยไม่ทันคิด
     แต่เรื่องราวน่าประหลาดมันก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่ผมเอื้อมมือไปประคองแก แกก็เกิดอาการตัวเกร็งแล้วทิ้งน้ำหนักลงไปที่พื้นในทันทีผมซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัวจึงไม่สามารถจะดึงลุงไว้ได้ทันปล่อยให้ลุงร่วงไปนอนกับพื้นในทันที
     ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่บวกกับความใกล้กันของโต๊ะภายในงานทำให้เก้าอี้แถวนั้นล้มระเนระนาดไปตามทางที่ลุงล้มลงไป ผมตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนหันมามองหน้าผมเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นมาได้แต่ส่ายปฏิเสธแทนคำตอบ
     ผมกับเพื่อนลงไปนั่งกับเพื่อนหวังว่าจะช่วยพยุงลุงให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆจากสภาพการนอนราบไปกับพื้นอย่างไม่มีทีท่าว่าแกจะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมกับเพื่อนจับไปที่ตัวของลุงสอดมือเข้าไปประคองลุงที่ตอนนี้หลับตาเหมือนคนหมดสติ ผมเริ่มกังวลว่าการล้มไปเมื่อสักครู่ของลุงนั้นทำให้มันเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นหรือเปล่า
    แต่แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ เสียง ครับ เสียงร้องโวยวายของลุงอย่างสุดเสียง เสียงดังที่เกิดขึ้นกะทันหันทำเอาผมกับเพื่อนตกใจสะดุ้งสุดตัวและหูอื้อในทันที พร้อมๆกับที่คนทั้งงานก็ได้ยินเช่นกัน
     ตอนนี้คนทางงานมามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น ผมกับเพื่อนยังไม่กล้าจะปล่อยลงเพราะน้ำหนักที่ลุงทิ้งลงมาบนมือผมสองคนนั้นถ้าปล่อยลงไปลุงคงจะต้องล้มลงไปอีกครั้งแน่ๆ ผมมองไปรอบๆตัวเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รอบๆก็มีแต่ผู้หญิงที่เป็นป้าๆยายๆเหมือนจะไม่สามารถช่วยอะไรได้
     แต่เพียงครู่เดียวหลังจากที่ลุงโวยวายเสียงดัง ก็มีกลุ่มผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับลุงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา จากน้ำเสียงและประโยคที่ใช้คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกัน
     ลุงๆอีกสองสามคนกำลังเขย่าตัวเรียกชายคนที่ยังคงส่งเสียงร้องไม่หยุด ผมที่อยู่ใกล้ๆจึงได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วผมก็สะดุดหูกับประโยคหนึ่งที่มาจากหนึ่งในคนกลุ่มนั้น ‘เอาอีกแล้วหรอวะ’
     พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นบ่อยมากพอที่จะทำให้คนในบริเวณนี้ดูสงบมากกว่าจะแตกตื่นเหมือนอย่างเหตุการณ์ทั่วๆไป
    สร้อยพระถูกคล้องลงไปที่ลุงคนนั้น และทันทีที่สร้อยสัมผัสกับร่างกายของลุง ลุงก็ยิ่งแผดเสียงออกมาให้มากกว่าเดิม เสียนั้นดังกว่าเดิมมากและมันแหลมขึ้น เสียงสูงนั้นทำเอาคนที่อยู่รอบๆต้องเอามือขึ้นมาปิดหูไว้ แต่เพียงไม่กี่วิทุกอย่างก็เงียบลงพร้อมๆกับลุงคนนั้นที่หลับไปในทันที
     ผมกับเพื่อนถูกขอให้ช่วยหามลุงไปนอนในที่ดีๆ ลุงที่นำมาวางไว้ตรงแคร่หน้าบ้านที่จัดงานป้าๆภายในงานก็รีบคว้ายาดมยารมออกมาช่วยกันบีบนวดและพัดให้กับลุงที่กำลังหมดสติอยู่
     ด้วยความอยากรู้ผมจึงยังยืนอยู่ตรงนั้นแต่ว่าทางแม่ของเพื่อนมก็บอกให้กลับบ้านกันไปก่อน อาจจะเพราะผมเป้นคนนอกไม่ควรต้องมารับรู้หรือร่วมรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ก็ไม่อยากให้ผมต้องเสียบรรยากาศในการมาเที่ยว
    ผมจำเป็นต้องกลับมาที่บ้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในใจก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วลุงจะเป็นอย่างไรต่อไป เพื่อนรับปากว่าเมื่อพ่อกลับมาที่บ้านจะหลอกถามมาให้ได้อย่างแน่นอน
     เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกลับมาบ้านด้วยความเบื่อพวกผมจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อไปหาซื้อข้าวของกลับมาทำอาหารกินกันในตอนเย็นรวมไปถึงเครื่องดื่มที่ต้องการด้วย
     ผมกับเพื่อนขัยรถออกมากันสองคนตลอดทางผมก็พยายามถามว่าลุงแกเป็นใครอะไรยังไง สรุปคือเมียแกเสียไปนานแล้วลูกแกก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัดแต่ก็กลับมาบ่อยด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่ลูกพยายามชวนให้ลุงไปอยู่ด้วยกันแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล ด้วยความห่วงบ้านหรือย่างไรไม่แน่ใจ
     เวลาผ่านไปจนมาถึงในช่วงกลางคืนที่เรารอคอย ผมกับเพื่อนช่วยกันเตรียมเตาถ่านเพื่อปิ้งย่างกันตามอัธยาศัย ในคืนนั้นมีผู้ร่วมสังสรรค์ทั้งหมด 3 คนถ้วนนั่นคือ ผม เพื่อน และพ่อของเพื่อน
     ในช่วงแรกบทสนทนาเป็นเรื่องของพวกผมตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนลืมเวลาไปเลย และในตอนที่เวลามาถึงในช่วงประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้เพื่อนผมก็วนเข้าไปถึงเรื่องของลุงคนนั้นอีกครั้งเพราะเพื่อนของผมก็อยากรู้ไม่แพ้ผมเช่นกัน
    พ่อที่เริ่มเมาได้ที่ก็เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ ในส่วนแรกเป็นภูมอหลังของลุงแกซึ่งก็เหมือนกับที่เพื่อนได้เล่าให้ผมฟังแล้วแต่นั่นมันไม่ใช่แระเด็นของเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น พ่อยังเล่าต่อไปเรื่องจนในที่สุดก็เข้าถึงประเด็นที่ต้องการ
    พ่อบอกว่าอาการแปลกๆของชายคนนี้มันเกิดขึ้นช่วง 3-4 เดือนก่อนหน้านี้ ปกติแกเป็นคนอารมณ์ร้อนขึ้นๆลงๆประจำแต่ก็มีน้ำใจทำให้มีเพื่อนมีคนเป็นห่วงตามปกติ แกเป็นคนติดเหล้ามาก จึงชอบเรียกเอาเพื่อนๆมานั่งกินกันเป็นประจำ จนในวันหนึ่งอยู่ดีๆแกก็เริ่มเก็บตัว นานๆจะชวนเพื่อนมาสักทีซึ่งผิดวิสัย นอกจากนั้นยังเริ่มมีอาการอาละวาดในบางวัน บ้างก็ส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาอย่างที่เห็น
     เมื่อแจ้งไปยังลูกของลุงเขาแล้วก็ได้มีการพาไปรักษาตามวิธีทางการแพทย์แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พบสาเหตุอะไร อาการดังกล่าวไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ชีวิตของเขาไม่ต่างจากคนปกติ สามารถทำมาหากินได้ทุกอย่าง จะมีก็เพียงแต่อาการแปลกๆที่เกิดขึ้นในบางครั้งเท่านั้น
    ด้วยความเป็นห่วงปนความกลัวของเพื่อนบ้านจึงมากล่อมให้แกลองไปหา ทรง แถวบ้านดูเขาว่าทรงคนนี้สามารถช่วยเหลือได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผีหรือคุณไสยอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่ทุกคนกลัว ทรง ลงความเห็นว่าชายคนนี้ถูกผีเข้า และผีที่มาเข้านั้นก็ไม่ใช่ผีที่จะคุยรู้เรื่องได้ในระดับทั่วๆไป เพราะมันคือ ผีเปรต
     พอเราได้ฟังอย่างนั้นความสนุกในการสังสรรค์ก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงแต่พ่อที่ดูสนุกมากกว่าใครเพื่อน และในตอนนั้นเองที่เพื่อนผมทำตาโตแล้วก็สะกิดคนเป็นพ่ออย่างแรง ชี้ไปที่ถนนหน้าบ้านที่มีเพียงไฟอ่อนๆจากแสงจันทร์และไฟถนนเท่านั้น ที่ตรงนั้นมีร่างของ ลุง คนที่เรากำลังพูดถึงเดินอยู่ในความมืด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่