ผี(ใน)บ้าน...ผี(ใน)เรือน

สวัสดีครัยคราวนี้ก็มีเรื่องมาเล่ากันอีกครั้งนะครับ แล้วก็คงจะต้องขอเกริ่นเหมือนกับทุกๆครั้งว่า เรื่องที่จะเล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ เพราะฉะนั้นมันอาจจะกระทบใจหรือความคิดของใครหลายๆคนผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากเรื่องนี้ไม่ถูกจริตของท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

          เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ผมยังอยู่ในมหาวิทยาลัยช่วงแรกๆ ตอนนั้นผมได้รับการติดต่อมาจากคนรู้จักอีกทีหนึ่ง ในช่วงแรกมีแค่การติดต่อปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้นไม่ได้นัดเจอกันแต่อย่างใด ผมให้คำปรึกษากับทางออกอย่างง่ายๆสำหรับปัญหานั้น แต่เรื่องราวมันกลับไม่ดีขึ้น เหมือนจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ
          เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นไปอย่างที่คิดก็คงถึงเวลาที่จะต้องมาเจอหน้ากัดเสียที ผมนั่งรอที่หน้าตึกภาควิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ที่เดิม เพียงไม่นานจากเวลานัดเท่าไหร่ครอบครัวของ พี่บี ก็มาถึงที่ที่เรานัดกันไว้
          หลังจากที่เราพูดคุยทักทายกันเรียบร้อยแล้วคราวนี้ก็มาถึงเรื่องที่เป็นปัญหาของทั้งสองคน นอกจากพี่บีกับแฟนแล้วยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งตามมาด้วย เด็กน้อยอายุเกือบจะขวบหนึ่งหน้าตานี่รักอยู่ในอ้อมกอดของแฟนพี่บี
          จากคำบอกเล่าของพี่บีนั้นตัวพี่เขาเองไม่ค่อยจะกลัวหรือว่ามีปัญหาอะไรมากมายเท่าไหร่ เพราะพี่เขาก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผีสางมาบ้างตั้งแต่เด็กๆเพราะโตมาที่บ้านนอก รวมถึงแฟนพี่เขาก็ไม่ถึงกับกลัวมากนักแต่ก็ไม่ถึงกับสบายใจ แต่ที่ทนไม่ได้จนต้องไปวิ่งหาคนมาช่วยเหลือก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดกับตัวเขาทั้งสองคน มันไปเกิดกับลูกของเขาแทน
          ผมมองไปที่เด็กคนนั้นก็ไม่พบอะไรผิดสังเกตแต่พี่ทั้งสองคนก็ยังยืนยันว่ามันเกิดขึ้นจริงๆแล้วมันก็ชัดเจนมาก และที่ทำให้แน่ใจว่ามันต้องเป็นปัญหาที่เกิดจาก บ้าน แน่ๆก็เพราะเรื่องราวแปลกๆที่กล่าวมานั้นทั้งหมดมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่บ้านเท่านั้น ถ้าไปพักข้างนอกไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือไปนอนบ้านยายก็ไม่เคยปรากฏอาการดังกล่าวให้ได้เห็น
          พี่ทั้งสองคนเล่าในส่วนของลูกก่อนเพราะคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับทั้งสองคน เรื่องมันมีอยู่ว่าในช่วงกลางคืนเกือบจะทุกคืนนั้นน้องจะร้องไห้แปลกๆ เป็นปกติของเด็กวัยเท่านี้ที่มักจะร้องในช่วงกลางคืนรือว่าต้องการอะไรบางอย่างจากคนเป็นพ่อและแม่ แต่เสียงร้องนั้นดังมากเป็นพิเศษเหมือนต้องการจะร้องให้คอพังจนไม่มีเสียงออกมาอีก
          พี่ทั้งสองคนจะเดินไปดูลูกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องอาจจะต้องการอะไรเช่น หิว หรือว่า ฉี่จนรู้สึกไม่สบายตัว แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเอานมป้อนแล้วอาการเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
          ด้วยความเป็นห่วงทั้งสองจึงพยายามคิดหาวิธีว่ามันเกิดจากอะไรอย่างหนึ่งที่คิดได้ในตอนนั้นก็คือ ลูกอาจจะติดพ่อกับแม่มากจนไม่อยากอยู่ห่างตัวหรือเปล่า ทั้งสองจนไม่ปล่อยให้ลูกต้องนอนในเปลคนเดียวอีกหลังจากนั้น แต่ก็เหมือนว่าวิธีนี้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย แม้กระทั่งตอนที่แฟนของพี่บีอุ้มน้องอยู่ น้องก็ร้องเหมือนไม่ได้มีแม่อุ้มอยู่ตรงนั้น เด็กน้อยยังคงแผดเสียงร้องอย่างสุดความสามารถ
          พี่ทั้งสองลองไปปรึกษาหมอดูเผื่อว่าน้องจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่าแต่หมอก็บอกเพียงว่า มันเป็นปกติ ของเด็กวัยนี้ แต่คำแนะนำเพียงเท่านี้ของหมอก็ดูจะไม่เพียงพอสำหรับความกังวลและความเป็นห่วงของทั้งสองคน สุดท้ายทั้งสองคนจึงหันมาพึ่งทางออกด้ายความเชื่อและไสยศาสตร์
          พี่บีและแฟนพาลูกน้อยไปปรึกษาแม่ของแฟนพี่บีหรือก็คือยายของน้องนั่นเอง ยายบอกว่าตามความเชื่อแล้วอาจเกิดจากแม่ซื้อหรือไม่ก็น้องอาจจะเป็นเด็กเห็นผีอย่างที่เราชอบได้ยินกัน ซึ่งในทางความเชื่อแล้วทางออกก็มีอยู่หลายทางหนึ่งในนั้นก็คือการสู่ขวัญเพื่อให้สิ่งดีๆหรือปู่ย่าตายายบรรพบุรุษนั้นมาช่วยปกป้องคุ้มครองน้อง รวมไปถึงการยกให้เป็นลูกของพระเพื่อขอบารมีของพระท่านช่วยคุ้มครองเด็กน้อยคนนี้
          ทุกคนช่วยกันจัดเตรียมพิธีสู่ขวัญอย่างง่ายๆเพื่อความสบายใจของทุกคน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและตลอดเวลาที่ไปพักอยู่บ้านยายนั้นน้องก็ไม่มีอาการอย่างที่ว่าไปเลย ทุกคนสบายใจขึ้นมากคิดว่าสิ่งที่น้องเป็นคงจะหายไปแล้ว ก่อนจะกลับมาที่บ้านของตัวเองก็พาน้องไปถวายตัวเป็นลูกของพระประธานที่วัดแห่งหนึ่งอีกด้วย
          แล้วความสบายใจก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นานเมื่อกลับมาถึงที่บ้านแล้ว ในคืนแรกนั้นเองน้องก็มีอาการอย่างเดิมอีกครั้ง ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราวกับตลอดเวลาที่ผ่านมาที่บ้านยายนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก ทั้งสองคนยังใจดีสู้เสือคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะการเดินทางไกลหรือการเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ อาจทำให้เด็กเกิดอาการผิดปกติ
          หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอาการของเด็กน้อยไม่ดีขึ้นเลย ไม่มีคืนไหนที่เด็กน้อยจะไม่ส่งเสียงอันน่าทรมานนั้นออกมา พ่อกับแม่แทบจะไม่ได้นอนพักเพราะทั้งเป็นห่วงและไม่สามารถนอนลงได้ด้วยเสียงที่ดังขนาดนั้น และเมื่อมาสังเหกตดีๆแล้วก็พบว่าน้องจะร้องเวลาเดียวกันในทุกๆวันระยะเวลาที่ร้องก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน
          เวลาประจำที่น้องจะร้องนั้นอยู่ในช่วงประมาณเที่ยงคืนจนเกือบตีหนึ่งและจะร้องต่อไปเรื่อยๆมีหยุดพักเหนื่อยบ้างแต่ก็จะไม่หยุดไปเสียทีเดียว น้องจะค่อยๆสงบลงช่วงประมาณตี 4 ขึ้นไปและจะเงียบสนิทในตอนที่พระมาบิณฑบาตรพอดี โชคดีที่ทั้งสองคนนั้นประกอบอาชีพเป็นธุระกิจส่วนตัวจึงทำให้ช่วงกลางวันสามารถที่จะอยู่กับลูกได้ทั้งวัน และได้นอนพักผ่อนก่อนจะต้องไปเปิดร้านในช่วงเย็นๆ
          สถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เวลาพักผ่อนที่ไม่เพียงพอบวกกับความเป็นห่วงก็รบกวนชีวิตทั้งสองคนเป็นอย่างมากทั้งในแง่ของจิตใจและร่างกาย
          เมื่อพยายามหาวิธีแก้ที่ตัวน้องแล้วไม่ได้ผล ซ้ำยังเกิดขึ้นแต่เฉพาะช่วงที่อยู่บ้านเท่านั้น ความสงสัยจึงมุ่งไปที่ประเด็นของ ตัวบ้าน ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านสร้างใหม่ทั้งหลังมือหนึ่งไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน ที่ดินที่สร้างนั้นก็เลือกซื้อด้วยตัวเองเป็นที่ดินโล่งๆ ไม่ได้มีการรื้อถอนสิ่งใด ซ้ำยังเป็นที่ในตัวเมืองอีก ดูแล้วไม่น่าจะเกิดความผิดปกติใดๆขึ้นมาได้
          แต่เพื่อความสบายใจพี่บีจึงตัดสินใจไปปรึกษาผู้รู้เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของบ้านหลังนี้ พี่บีเลือกที่จะติดต่อไปทางซินแซที่ค่อนข้างมีชื่อในย่านนั้น ซินแซรับดูฮวงจุ้ยและแก้ไขทุกอย่างเกี่ยวกับตัวบ้านและร้านค้า พี่บีค่อนข้างเชื่อใจซินแซวคนนี้เพราะว่าร้านของพี่เขาก็ได้ซินแซคนนี้แหละที่มาจัดฮวงจุ้ยให้จนขายดิบขายดีมีกำไรมากมาย
          พี่ยีนัดแนะซินแซมาที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์นั้นพอดี พี่ทั้งสองคนเตรียมต้อนรับอย่างเต็มที่และพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรขอเพียงให้ ลูก ของเขาและเธอกลับมาปกติไม่ต้องทรมานแบบนี้
          ซินแซเดินไปทั่วๆบ้านดูตามหลักฮวงจุ้ยที่ได้ศึกษามาอย่างแตกฉานแต่ก็ไม่พบจุดใดที่ดูจะเป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้ แต่อาการของเด็กน้อยนั้นก็น่าเป็นห่วงและมันก็ดูผิดธรรมชาติ ซินแซพยายามสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นที่อยู่ในบ้านหลังนี้หรือที่เราเรียกกันว่า เจ้าที่
          คำตอบของซินแซวก็คือที่บ้านหลังนี้มี วิญญาณ ของคนแปลกหน้าอาศัยอยู่ ใครบางคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทั้งครอบครัว และที่ดินผืนนี้ ไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไรแต่ที่นี่มี สมาชิกที่มองไม่เห็น อยู่อีกหนึงคน
          คำแนะนำและทางออกของเรื่องในตอนนั้นคือบอกให้พี่บีตั้งศาลไม่ก็ตาจูยิ้มไว้ในบ้าน ให้เจ้าที่เจ้าทางผีบ้านผีเรือนเขาช่วยคุ้มครองไม่ให้ผีสางนางไม้จากข้างนอกที่ไม่ประสงค์ดีนั้นออกไปจากบ้านเราโดยเร็วที่สุด พี่บียินดีและทำตามในทันทีเพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว
          พี่บีเลือกที่จะตั้งศาลพระภูมิตมความเชื่อแบบไทยๆ โดยมีพิธีการขึ้นศาลอย่างถูกต้องทุกอย่างพี่บียืนยันอย่างนั้น นอกจากนั้นยังพยายามตักบาตรให้ได้ในทุกเช้าที่ตื่นทันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ใครก็ตามที่มาอศัอยู่ในบ้านหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
          อีกครั้งที่ความหวังของทั้งสองคนต้องพังทลายเมื่ออาการของน้องไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คาดแม้ว่าจะมีเบาลงบ้าง แต่มันยังคงอยู่อาการของเด็กน้อยยังคงอยู่ ด้วยความไม่สบายใจของทั้งสองคนจึงตัดสินใจว่าในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่พอจะว่างจากงานหน่อยจะเดินทางไปพักที่บ้านยาย เพราะที่นั่นเด็กน้อยจะไม่มีอาการดังกล่าวปรากฏให้เห็น
          ทั้งสองคนยังคงไม่ละความพยายามที่จะจัดการกับบ้านหลังนี้ให้กลับมาเป้นที่อยู่อาศัยที่ดีได้ ผมสะดุดใจกับคำว่า กลับมาเป็น ผมถามออกไปในสิ่งที่ผมสงสัย
‘ทำไมถึงพูดว่า กลับมาเป็น ล่ะครับ’ ผมถามในสิ่งที่มันสะดุดใจเป็นอย่างมาก
‘บ้านหลังนี้พี่สร้างตั้งแต่ตอนที่พี่เพิ่งแต่งงานได้ใหม่ๆ ตอนนั้นทุกอย่างมันโอเคนะ ไม่มีปัญหาหรือเรื่องแปลกๆอะไรเลย จนวันที่พี่มีน้องนี่แหละ มันก็เริ่มมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ’ คนเป็นพ่อเล่าพร้อมลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
          พี่บีถอนหายใจพร้อมเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป หลังจากที่หาทางออกไมได้พี่บีจึงตัดสินใจไปหา ร่างทรง ที่อยู่ใกล้ๆบ้านซึ่งได้ยินมาจากเพื่อนบ้านที่พี่เขาไปเล่าเรื่องราวให้ฟังด้วยความไม่สบายใจ พี่บีไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เท่าไหร่แต่มาถึงตรงนี้ก็คงจำเป็นที่จะต้องทำจริงๆ
          พี่บีเชิญให้ร่างทรงนั้นมาที่บ้านตั้งแต่ในครั้งแรกเพราะคิดว่าอย่างไรก็ต้องเป็นที่บ้านแน่ๆ จะต้องไม่เกี่ยวกับตัวคนจึงไม่คิดที่จะไปนั่งต่อคิวเพื่อไปขอความช่วยเหลือที่ตำหนัก แม้ในตอนแรกร่างทรงนั้นจะไม่ยอมมาตามคำเชิญเพราะว่าเป็น ‘หน้าใหม่’ สำหรับตำหนักนี้ แต่แล้วก็สามารถต่อรองกันได้ด้วย เงิน
          ทันทีที่ร่างทรงมาถึงหน้าบ้าน ร่างทรงก็พูดกับพี่บีผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า ‘ที่นี่มีผี’ สองครั้งแล้วที่มีคนพูดแบบนี้ ความไม่สบายในใจมันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากใจที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เริ่มเอนเอียงไปทางเชื่อเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งสามคนเดินไปรอบๆบ้านเพื่อสำรวจตามที่ต่างๆเพื่อหาที่มาของเรื่องราวต่างๆ
         เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คำตอบอะไรเพิ่มเติม ร่างทรงดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นร่างทรงยืนยันว่าที่นี่มีผีจริงๆ และค่อนข้างจะแรงจึงออกมารบกวนคนในบ้าน ในตอนสุดท้ายร่างทรงเดินเข้าไปนั่งในตัวบ้านที่กลางบ้าน เอาไม้เท้าที่ติดตัวมาเคาะไปบนพื้นพร้อมขมุบขมิบปากเหมือนบริกรรมคาถาบางอย่าง
‘อืม อย่างนี้เอง’ ร่างทรงพูดกับตัวเองแต่ดังพอให้พี่ทั้งสองคนได้ยิน
‘ว่าอย่างไรบ้างครับ ตกลงว่ามันคืออะไร’ พี่บีเป็นฝ่ายถามด้วยความกังวล
         ร่างทรงยังไม่ตอบอะไรแล้วเดินออกมารอที่หน้าบ้านตรงที่โล่งๆบริเวณสวนหน้าบ้าน พี่ทั้งสองคนเดินตามมาติดๆเพื่อรอฟังคำตอบ ร่างทรงยืนเต๊ะท่าสักครู่หนึ่งจึงบอกทางออกของเรื่องนี้แก่ผู้เป็นเหมือนลูกค้าทั้งสองคน วิธีที่ร่างทรงแนะนำก็คือ ให้จัดเครื่องเซ่นเป็นข้าวปลาอาหาร 5 อย่างมาวางไว้กลางแจ้งตรงนี้ไหว้ด้วยธูป 1 ดอก เพื่อให้ผีมากิน ที่มันอาละวาดเพราะว่ามันหิว พอมันอิ่มเดี๋ยวมันก็ไป แล้วก็ทำบุญให้มันด้วย เท่านี้ก็จะหมดปัญหากวนใจอย่างที่เคยเจอแล้ว
         แม้ว่าคำแนะนำนั้นจะดูแปลกๆแต่พี่ทั้งสองก็ยอมทำตามเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจริงๆ ในวันนั้นพี่ทั้งสองคนเฝ้าแต่คิดกันจนปวดหัวไปหมดทั้งไม่มั่นใจ ทั้งกลัว และกังวลหลายๆอย่าง สิ่งที่ต้องทำก็ค่อนข้างจะน่ากลัวแต่เพื่อลูก ก็คงต้องยอม
         ในวันโกนถัดมานั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนจะต้องทำการ เลี้ยงผี ที่เขาเชื่อว่ามีอยู่ในบ้านหลังนี้แม้ว่าจะไม่เคยเห็นก็ตาม ในช่วงโพล้เพล้เครื่องเซ่นในถาดสังกะสีถูกนำไปวางไว้ตรงบริเวณที่ร่างทรงแนะนำ ทั้งสองทำด้วยความกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ต้องใจแข็งเข้าไว้
         ทั้งสองคนใช้วิธีนี้ทำต่อไปได้ประมาณเดือนหนึ่งระหว่างนั้นก็พยายามเอาลูกไปนอนกับยายให้ได้มากที่สุดคิดเอาไว้ว่าเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้วจะพาลูกกลับมาที่นี่อีกครั้ง และตลอดเวลาหนึ่งเดือนนั้นก็ไม่มีเรื่องราวแปลกๆให้ทั้งสองคนได้เจอเว้นก็แต่เพียงคืนไหนที่ลูกมาอยู่ด้วยก็จะยังมีอาการเช่นเดิมอยู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่