สวัสดีครับวันนี้เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนั้นยังคงเป็นเรื่องราวของ ความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกๆอย่างมันอยู่ที่ตัวของคุณว่าคุณจะ เชื่อ หรือไม่ แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อมันหรือไม่ก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ที่สำคัญ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะไม่ได้มีความต้องการจะหลวกลวงหรือมอมเมาอะไรเพียงแค่อยาก เล่า และ แบ่งปัน เท่านั้น
เรื่องมันเริ่มจากคืนว่างๆคืนหนึ่งของผม คืนนั้นผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์หาอะไรทำไปเรื่อยๆตามปกติ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเวลาได้ประมาณตี 1 หรือ ตี 2 ไม่แน่ใจ ผมไม่ได้สนใจเวลาจนได้ยินเสียงหมาในหมู่บ้านหอนรับกันเป็นทอดๆ ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในตัวบอกเวลาของคนในหมู่บ้านอย่างดี
ทุกๆวันหมาพวกนี้จะหอนรับพร้อมๆกันในช่วงเวลาเดิมๆ พอได้ยินอย่างนั้นผมจึงลุกไปอาบน้ำซึ่งห้องน้ำของบ้านผมนั้นจะอยู๋ที่ชั้นล่าง ผมเดินลงมาแล้วก็พบว่าแมวของผมมันไม่ได้นอนอยู่กับแม่มันนั่งอยู่บนชั้นวางหนังสือของบ้านโดยจ้องออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านอย่างสงสัย
ผมเดินเข้าไปสะกิดมันแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากมันแม้แต่น้อย ปกติแล้วแมวตัวนี้จะติดแม่มากเพราะแม่รับเอามันมาเลี้ยงจากที่เคยเป็นแมวข้างถนนมันมีนิสัยขี้ระแวงจึงไม่ค่อยยอมให้ผมจับเท่าไหร่ มีแค่แม่เท่านั้นที่จะจับมันได้ แต่ในวันนั้นมันปล่อยให้ผมทั้งสะกิด ทั้งเขี่ย จนในที่สุดผมก็อุ้มมันขึ้นมา
ผมตั้งใจว่าจะอุ้มมันไปนอนกับแม่เหมือนในทุกๆวัน ผมยกมันลงจากชั้นหนังสือมาไว้ในอ้อมกอด มันไม่ได้สนใจผมเลยมันยังคงมองผ่านกระจกบานเล็กๆข้างหน้าต่างไปยังประตูบ้าน ผมเริ่มจะแปลกใจในพฤติกรรมของมัน
ผมเดินกลับไปยังหน้าต่างบานนั้นแล้วลองมองผ่านช่องกระจกเล็กๆที่มันเคยมอง เผื่อว่าจะเจอโจรหรือใครที่มาวุ่นวายแถวๆนี้ แต่ท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนนั้นไม่ปรากฏเงาร่างของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็นแม้แต่น้อย
ผมอุ้มมันขึ้นไปบนบ้านเพื่อไปส่งมันที่ห้องนอนของแม่ ปกติแล้วแม่ผมจะไม่ปิดประตูห้องนอนเผื่อว่าแมวมันอยากจะไปเข้าห้องน้ำหรือว่าไปกินอาหารรอบดึกของมัน ผมส่งมันเข้าห้องนอนของแม่เสร็จก็ลงไปอาบน้ำตามความคิดในครั้งแรก
เวลาผ่านไปอีกสักพักผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงคงเป็นเพราะผมตื่นสายมากในช่วงนั้น ผมยังนั่งฟังเพลงหาอะไรทำไปเรื่อยๆ จนผมได้ยินเสียงแปลกๆ
ผมพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัดเจนก็แน่ใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากประตูห้องนอนของผม ผมเดินไปเปิดประตูห้องนอนออกดูก็พบเจ้าของเสียงนั้น แมวของผมมันมานั่งข่วนประตูผมอย่างตั้งใจ มันจ้องหน้ามาที่ผมเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง
สายตาที่มันจ้องมาที่ผมนั้นนิ่งกว่าปกติ มันไม่เคยมานั่งให้ผมได้เห็นใกล้ๆขนาดนี้และนานเท่านี้มาก่อน ผมมองมันอย่างสงสัย ผมเดินไปหามันแล้วก็เหมือนอย่างทุกทีมันเดินหนีผมแล้วเดินลงไปข้างล่าง ผมเดินตามมันลงไปข้างล่างก็เห็นมันกระโดดขึ้นไปนอนบนชั้นวางหนังสือที่เดิม สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่พื้นที่อันว่างเปล่านอกรั้วบ้าน
ผมปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั้นล้มเลิกความพยายามพามันขึ้นมาข้างบน
ผมกลับขึ้นมาบนห้องปิดทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้านอนแม้ว่าจะยังไม่ง่วงมากแต่มันก็ดึกมากแล้ว ผมหลับไปในเวลาอีกไม่นาน ผมรู้สึกตัวขึ้นมาระหว่างที่หลับอยู่เพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำที่ทางเดินหน้าห้องโดยไมได้เปิดไฟในห้องนอนเพราะที่บ้านจะเปิดไฟทางเดินไว้ตลอด
ในตอนที่ผมเดินกลับมาที่ห้องกลิ่นแปลกๆก็โชยมาเตะจมูก กลิ่นนั้นค่อนข้างชัดเจนทำให้ผมหายจากความงัวเงีย ผมรีบเดินเข้าไปในห้อง มันเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เงาร่างคล้ายรูปร่างของมนุษย์ยืนอยู่ตรงมุมห้องระหว่างหน้าต่างห้องนอนของผม แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกตกใจมันก็หายไปเสียแล้ว
เช้าวันต่อมาผมตื่นมาในเวลาสายๆด้วยความคาใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยากที่จะหาคำตอบอะไรได้
หลายวันต่อมาผมเริ่มที่จะลืมเรื่องในคืนนั้นไปบางส่วนผมก็ได้รับการติดต่อจากคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ติดต่อกันเป็นประจำแต่ก็ถือว่าสนิทกันพอที่จะพึ่งพากันได้ เนื้อความในการสนทนาวันนั้นเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาของ เพื่อน คนหนึ่ง ที่เจอเรื่องราวแปลกๆ
จากคำบอกเล่านั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วพักใหญ่ๆแต่มันไม่ได้รบกวนอะไรเจ้าตัวมากนัก เดิมตัวเองก็ไม่ใช่คนเชื่ออะไรมากมายในเรื่องผีสาง แต่มาช่วงหลังเรื่องราวที่มันค่อยๆมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา
ผมตกปากรับคำคนรู้จักว่าจะลองคุยกับเจ้าตัวเขาดู มันอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับตัวผมไปแล้วก็ได้ที่มักได้เจอกับคนมากหน้าหลายตาทั้งรู้จักและไม่รู้จักด้วยเรื่องราวเหล่านี้
ในช่วงค่ำๆผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าตัวคนที่พูดถึงผมขอเรียกพี่เขาว่า ‘พี่ทอป’ นะครับ เราทักทายทำความรู้จักกันเพียงเล็กน้อยแล้วก็วนมาเข้าเรื่องที่พี่เขาต้องการจะถาม ต่อไปจะเป็นคำบอกเล่าเท่าที่ผมจำได้จากตัวพี่ทอปนะครับ
ถ้าจะนับจริงๆเรื่องมันน่าจะเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ช่วงที่พี่ทอปเพิ่งจะตั้งตัวได้จากอาชีพที่ทำมาโดยตลอด รายได้ที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำให้ตัวเขาสามารถทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารผ่านโดยไม่ยากนักแล้วตัดสินใจที่จะ ปลูกบ้าน ให้ตัวเองกับพ่อแม่สักหลังหนึ่ง
ในตอนนั้นเขายังไม่มีแฟนทั้งหมดในชีวิตจึงทุ่มลงไปที่เรื่อง พ่อกับแม่ บ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองอยากได้ สวนที่พ่ออยากทำ ทั้งสองอย่างดูเป็นประเด็นสำคัญกับเขาไปเสียหมด เขาจึงตัดสินใจซื้อที่ดินในจังหวัดบ้านเกิดแถบชานเมืองซึ่งไม่แพงเท่าตัวเมืองแล้วน่าจะเหมาะสำหรับการทำสวนมากกว่า ส่วนตัวเองนั้นอย่างไรก็ต้องทำงานอยู่ที่กรุงเทพอยู่แล้วจึงเลือกที่จะอยู่หอพักหรือคอนโดไปพลางๆ
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี สวนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก่อนที่ตัวบ้านจะเสร็จเสียอีก ในวันที่เขาไปเลือกดูที่ดินนั้นเขาพาพ่อกับแม่ไปด้วยเพราะตัวเองเลือกที่ดินไม่เป็น แล้วก็อยากให้คนที่จะอยู่อาศัยจริงๆเลือกด้วยตัวเอง หลังจากตระเวนขับรถไปหลายที่ตัวเขาเองก็มาสะดุดใจกับที่ดินผืนหนึ่ง
ที่ตรงนั้นเป็นที่ดินรกร้างมีหญ้าขึ้นสูงไปหมด มีเพียงทางดินเล็กๆที่เจ้าของที่ถางเอาไว้เดิน เขารีบติดต่อไปยังเจ้าของเพื่อขอดูที่ ในที่ดินนั้นมีแต่หญ้าเต็มไปหมดจึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสภาพมันเป็นอย่างไร แต่จากการเดินไปตามที่ต่างๆมันก็ได้ระดับดี ไม่น่าจะต้องทำอะไรมากนัก ด้านหลังก็เป็นป่ากว้างๆ ทางพ่อและแม่ก็ดูจะถูกใจเช่นเดียวกัน
เขาตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ในทันทีและรีบดำเนินการกู้งานตามกระบวนการต่างๆ ด้วยความชอบส่วนตัวจึงเลือกที่จะสร้างบ้านในบางส่วนด้วย ไม้ บวกกับมีคนรู้จักทำธุรกิจแนวๆนี้อยู่แล้วจึงสามารถหาซื้อไม้เก่าไม้มือสองมาสร้างบ้านได้ในราคาที่ไม่แพงมาก
เวลาผ่านไปประมาณปีเศษๆบ้านที่สร้างนั้นก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ เขาลางานได้ช่วงสั้นๆก็รีบมาจัดแจงข้าวของให้ครอบครัว ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีมีแต่ความสุข แล้วเรื่องแปลกๆมันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่เขาเข้าไปอยู่
กลางดึกคืนนั้นเขายังไม่นอนเพราะกำลังเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ บ้านใหม่ทำให้เขามีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเขาพยายามทำงานทำผลงานให้มากเพื่อที่จะได้ทำเรื่องย้ายได้และกลับมาอยู่ใกล้ๆบ้านแม้ว่าจะไม่ได้ที่จังหวัดบ้านเกิดเลย แต่ก็ยังดีที่ได้จังหวัดใกล้เคียง
คืนนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากไกลๆ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเขารู้ว่าเสียงนั้นมันดังมาจากที่ไกลๆแต่ทำไมเขาถึงได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาพยายามเงี่ยหูฟังก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นเสียงของอะไรแต่มันน่าจะเป็นเสียงของแข็งกระทบกัน
หลายคืนที่เขาได้ยินเสียงนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นมากนักจนในที่สุดเสียงที่ได้ยินมันก็หายไปแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนคนเคาะบ้าน มันเป็นเสียงเหมือนคนเอามือหรือของแข็งๆมากระทบกับแผ่นไม้ที่ใช้สร้างบ้าน เสียงที่ได้ยินนั้นทิ้งช่วงห่างมากในแต่ละครั้ง ไม่ได้ดังอยู่ตลอด
เสียงนั้นแปลกมันจะดังทีหนึ่งก่อนแล้วเงียบไป เวลาผ่านไปได้สักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง เสียงนั้นจะกลับมาอีกครั้งด้วยความดังเท่าเดิม แบบเดิม แต่ไม่ใช่ที่เดิม เสียงมันดังมาจากชั้นล่างบ้าง ข้างบ้านบ้าง หลังคาบ้าง บางครั้งก็ที่หน้าต่าง
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่คนกลัวหรือใส่ใจมากนักแต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ถึงเร่องที่เกิดขึ้น คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้เขารู้สึกไม่ได้มากกว่าเดิม เพราะพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้สึกถึงเสียงดังกล่าวอย่างที่เขาบอกเลย
ด้วยความไม่สบายใจเขาจึงพยายามหาที่พึ่งในด้านต่างๆโดยเริ่มจากหาซื้อพุทธรูปดีๆสักองค์หนึ่งซึ่งบูชามาจากวัดที่ตัวเองเคยไปบ่อยๆ จากหิ้งพระที่ถูกจัดอย่างมักง่ายโดยใช้พื้นที่หลังตู้ใบหนึ่งเท่านั้นกลายเป็นโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่จัดวางไว้ตรงห้องโถงของบ้าน
คืนแรกที่โต๊ะหมู่บูชาถูกขัดเสร็จคนที่ดีใจที่สุดคือ แม่ เพราะเดิมที่แม่เป็นคนชอบสวดมนต์แต่ก็คงจะเกรงใจลูกถ้าจะขอให้ซื้อโต๊ะหมู่เพราะบ้านก็สร้างด้วยตัวคนเดียว แม่จุดธูปถวายพวงมาลัยสวดมนต์ตั้งแต่หัวค่ำก่อนเข้านอน เขาคิดว่าคืนนั้นคงจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้น
แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะเสียงนั้นยังคงดังอยู่ มันไม่ได้น้อยลงเลยและไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เขารู้สึกว่ามันถี่ขึ้น
สุดสัปดาห์นั้นเขาตัดสินใจ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ตามคำแนะนำของพ่อกับแม่ จริงๆตั้งใจจะทำอยู่แล้วตามระเพณีและความสบายใจของพ่อกับแม่แต่ว่าเขาก็ยังขี้เกียดอยู่เนืองๆบวกกับงานที่ค่อนข้างจะดึงเวลาไปพอสมควร จริงๆแล้วในวันนั้นก็ไม่ได้ว่างนักแต่มันไม่สบายใจก็ตัดสินใจที่จะทำในทันทีแม้ว่าในตอนบ่ายเขายังต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศอีก
งานบุญในวันนั้นผ่านไปได้ด้วยดีพ่อและแม่ก็สบายใจตามความเชื่อของคนรุ่นเก่า เขาเองก็มีกำลังใจมากขึ้นเช่นกัน แล้วในคืนนั้นมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด เขาไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก เสียงนั้นหายไปไม่มีแม้สักนิดเดียว
ช่วงเวลาแห่งความสบายใจอยู่กับเขาได้ประมาณเดือนกว่าๆหรือสองเดือนแล้วเสียงนั้นก็กลับมาดังอีกครั้ง คราวนี้มันดูจะถี่กว่าครั้งก่อนๆ แต่มันต่างจากเมื่อก่อนตรงที่มันไม่ได้ดังทุกวัน มันจะมาเพียงแค่อาทิตย์ละไม่กี่วัน และหนึ่งในนั้นมันจะดังในคืนวันโกนเสมอๆ
เขาทนอยู่ในสภาพนั้นได้อยู่เป็นเดือนเพราะมันไม่เท่าเมื่อก่อน และภาระงานที่มีก็มากพอที่จะดึงความสนใจของเขาไปเช่นกัน แต่ลึกๆนั้นก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
จนในวันหยุดวันหนึ่งเขานอนเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกด้านล่างเปิดทีวีดูรายงานข่าวตามปกตินิสัยของเขา พ่อกับแม่เข้าไปชื่นชมสวนเล็กๆของตัวเองในยามบ่าย เขาเผลอหลับไปเพราะอากาศเย็นสบายในบ่ายวันนั้น ในภวังค์นั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนคนพยายามจะเลื่อนบานประตูห้องรับแขกที่ติดกับด้านนอก
เสียงนั้นดังอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเข้ามา เขาคิดว่าคงเป็นพ่อกับแม่ที่กลับมาจากสวนแต่ด้วยความงัวเงียที่มีจึงขี้เกียดที่จะลุกไปยืนยันความคิดนั้นด้วยสายตา
‘เปิดเลย บ้านไม่ได้ล็อก’
เขาพูดออกไปทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ เขาตื่นมาในช่วงบ่ายแก่จากเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอนั้นแสดงชื่อแม่ให้เห็น เขารับสายในทันทีตามปกติ
‘ทอปลูก ฝากดูแมวให้แม่หน่อยมันตื่นรึยัง ถ้ามันตื่นแล้วให้ข้าวมันด้วย’
‘อ้าว แม่ไปสวนอีกแล้วหรอ กลับมารอบนึงแล้วนี่’
‘บ้า แม่ยังไม่ได้กลับเลย นั่งเล่นอยู่ในสวนกับพ่อแต่เช้าแล้วเนี่ย’
ถึงเวลา... ทวง
เรื่องมันเริ่มจากคืนว่างๆคืนหนึ่งของผม คืนนั้นผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์หาอะไรทำไปเรื่อยๆตามปกติ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเวลาได้ประมาณตี 1 หรือ ตี 2 ไม่แน่ใจ ผมไม่ได้สนใจเวลาจนได้ยินเสียงหมาในหมู่บ้านหอนรับกันเป็นทอดๆ ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในตัวบอกเวลาของคนในหมู่บ้านอย่างดี
ทุกๆวันหมาพวกนี้จะหอนรับพร้อมๆกันในช่วงเวลาเดิมๆ พอได้ยินอย่างนั้นผมจึงลุกไปอาบน้ำซึ่งห้องน้ำของบ้านผมนั้นจะอยู๋ที่ชั้นล่าง ผมเดินลงมาแล้วก็พบว่าแมวของผมมันไม่ได้นอนอยู่กับแม่มันนั่งอยู่บนชั้นวางหนังสือของบ้านโดยจ้องออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านอย่างสงสัย
ผมเดินเข้าไปสะกิดมันแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากมันแม้แต่น้อย ปกติแล้วแมวตัวนี้จะติดแม่มากเพราะแม่รับเอามันมาเลี้ยงจากที่เคยเป็นแมวข้างถนนมันมีนิสัยขี้ระแวงจึงไม่ค่อยยอมให้ผมจับเท่าไหร่ มีแค่แม่เท่านั้นที่จะจับมันได้ แต่ในวันนั้นมันปล่อยให้ผมทั้งสะกิด ทั้งเขี่ย จนในที่สุดผมก็อุ้มมันขึ้นมา
ผมตั้งใจว่าจะอุ้มมันไปนอนกับแม่เหมือนในทุกๆวัน ผมยกมันลงจากชั้นหนังสือมาไว้ในอ้อมกอด มันไม่ได้สนใจผมเลยมันยังคงมองผ่านกระจกบานเล็กๆข้างหน้าต่างไปยังประตูบ้าน ผมเริ่มจะแปลกใจในพฤติกรรมของมัน
ผมเดินกลับไปยังหน้าต่างบานนั้นแล้วลองมองผ่านช่องกระจกเล็กๆที่มันเคยมอง เผื่อว่าจะเจอโจรหรือใครที่มาวุ่นวายแถวๆนี้ แต่ท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนนั้นไม่ปรากฏเงาร่างของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็นแม้แต่น้อย
ผมอุ้มมันขึ้นไปบนบ้านเพื่อไปส่งมันที่ห้องนอนของแม่ ปกติแล้วแม่ผมจะไม่ปิดประตูห้องนอนเผื่อว่าแมวมันอยากจะไปเข้าห้องน้ำหรือว่าไปกินอาหารรอบดึกของมัน ผมส่งมันเข้าห้องนอนของแม่เสร็จก็ลงไปอาบน้ำตามความคิดในครั้งแรก
เวลาผ่านไปอีกสักพักผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงคงเป็นเพราะผมตื่นสายมากในช่วงนั้น ผมยังนั่งฟังเพลงหาอะไรทำไปเรื่อยๆ จนผมได้ยินเสียงแปลกๆ
ผมพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัดเจนก็แน่ใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากประตูห้องนอนของผม ผมเดินไปเปิดประตูห้องนอนออกดูก็พบเจ้าของเสียงนั้น แมวของผมมันมานั่งข่วนประตูผมอย่างตั้งใจ มันจ้องหน้ามาที่ผมเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง
สายตาที่มันจ้องมาที่ผมนั้นนิ่งกว่าปกติ มันไม่เคยมานั่งให้ผมได้เห็นใกล้ๆขนาดนี้และนานเท่านี้มาก่อน ผมมองมันอย่างสงสัย ผมเดินไปหามันแล้วก็เหมือนอย่างทุกทีมันเดินหนีผมแล้วเดินลงไปข้างล่าง ผมเดินตามมันลงไปข้างล่างก็เห็นมันกระโดดขึ้นไปนอนบนชั้นวางหนังสือที่เดิม สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่พื้นที่อันว่างเปล่านอกรั้วบ้าน
ผมปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั้นล้มเลิกความพยายามพามันขึ้นมาข้างบน
ผมกลับขึ้นมาบนห้องปิดทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้านอนแม้ว่าจะยังไม่ง่วงมากแต่มันก็ดึกมากแล้ว ผมหลับไปในเวลาอีกไม่นาน ผมรู้สึกตัวขึ้นมาระหว่างที่หลับอยู่เพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำที่ทางเดินหน้าห้องโดยไมได้เปิดไฟในห้องนอนเพราะที่บ้านจะเปิดไฟทางเดินไว้ตลอด
ในตอนที่ผมเดินกลับมาที่ห้องกลิ่นแปลกๆก็โชยมาเตะจมูก กลิ่นนั้นค่อนข้างชัดเจนทำให้ผมหายจากความงัวเงีย ผมรีบเดินเข้าไปในห้อง มันเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เงาร่างคล้ายรูปร่างของมนุษย์ยืนอยู่ตรงมุมห้องระหว่างหน้าต่างห้องนอนของผม แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกตกใจมันก็หายไปเสียแล้ว
เช้าวันต่อมาผมตื่นมาในเวลาสายๆด้วยความคาใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยากที่จะหาคำตอบอะไรได้
หลายวันต่อมาผมเริ่มที่จะลืมเรื่องในคืนนั้นไปบางส่วนผมก็ได้รับการติดต่อจากคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ติดต่อกันเป็นประจำแต่ก็ถือว่าสนิทกันพอที่จะพึ่งพากันได้ เนื้อความในการสนทนาวันนั้นเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาของ เพื่อน คนหนึ่ง ที่เจอเรื่องราวแปลกๆ
จากคำบอกเล่านั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วพักใหญ่ๆแต่มันไม่ได้รบกวนอะไรเจ้าตัวมากนัก เดิมตัวเองก็ไม่ใช่คนเชื่ออะไรมากมายในเรื่องผีสาง แต่มาช่วงหลังเรื่องราวที่มันค่อยๆมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา
ผมตกปากรับคำคนรู้จักว่าจะลองคุยกับเจ้าตัวเขาดู มันอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับตัวผมไปแล้วก็ได้ที่มักได้เจอกับคนมากหน้าหลายตาทั้งรู้จักและไม่รู้จักด้วยเรื่องราวเหล่านี้
ในช่วงค่ำๆผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าตัวคนที่พูดถึงผมขอเรียกพี่เขาว่า ‘พี่ทอป’ นะครับ เราทักทายทำความรู้จักกันเพียงเล็กน้อยแล้วก็วนมาเข้าเรื่องที่พี่เขาต้องการจะถาม ต่อไปจะเป็นคำบอกเล่าเท่าที่ผมจำได้จากตัวพี่ทอปนะครับ
ถ้าจะนับจริงๆเรื่องมันน่าจะเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ช่วงที่พี่ทอปเพิ่งจะตั้งตัวได้จากอาชีพที่ทำมาโดยตลอด รายได้ที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำให้ตัวเขาสามารถทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารผ่านโดยไม่ยากนักแล้วตัดสินใจที่จะ ปลูกบ้าน ให้ตัวเองกับพ่อแม่สักหลังหนึ่ง
ในตอนนั้นเขายังไม่มีแฟนทั้งหมดในชีวิตจึงทุ่มลงไปที่เรื่อง พ่อกับแม่ บ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองอยากได้ สวนที่พ่ออยากทำ ทั้งสองอย่างดูเป็นประเด็นสำคัญกับเขาไปเสียหมด เขาจึงตัดสินใจซื้อที่ดินในจังหวัดบ้านเกิดแถบชานเมืองซึ่งไม่แพงเท่าตัวเมืองแล้วน่าจะเหมาะสำหรับการทำสวนมากกว่า ส่วนตัวเองนั้นอย่างไรก็ต้องทำงานอยู่ที่กรุงเทพอยู่แล้วจึงเลือกที่จะอยู่หอพักหรือคอนโดไปพลางๆ
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี สวนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก่อนที่ตัวบ้านจะเสร็จเสียอีก ในวันที่เขาไปเลือกดูที่ดินนั้นเขาพาพ่อกับแม่ไปด้วยเพราะตัวเองเลือกที่ดินไม่เป็น แล้วก็อยากให้คนที่จะอยู่อาศัยจริงๆเลือกด้วยตัวเอง หลังจากตระเวนขับรถไปหลายที่ตัวเขาเองก็มาสะดุดใจกับที่ดินผืนหนึ่ง
ที่ตรงนั้นเป็นที่ดินรกร้างมีหญ้าขึ้นสูงไปหมด มีเพียงทางดินเล็กๆที่เจ้าของที่ถางเอาไว้เดิน เขารีบติดต่อไปยังเจ้าของเพื่อขอดูที่ ในที่ดินนั้นมีแต่หญ้าเต็มไปหมดจึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสภาพมันเป็นอย่างไร แต่จากการเดินไปตามที่ต่างๆมันก็ได้ระดับดี ไม่น่าจะต้องทำอะไรมากนัก ด้านหลังก็เป็นป่ากว้างๆ ทางพ่อและแม่ก็ดูจะถูกใจเช่นเดียวกัน
เขาตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ในทันทีและรีบดำเนินการกู้งานตามกระบวนการต่างๆ ด้วยความชอบส่วนตัวจึงเลือกที่จะสร้างบ้านในบางส่วนด้วย ไม้ บวกกับมีคนรู้จักทำธุรกิจแนวๆนี้อยู่แล้วจึงสามารถหาซื้อไม้เก่าไม้มือสองมาสร้างบ้านได้ในราคาที่ไม่แพงมาก
เวลาผ่านไปประมาณปีเศษๆบ้านที่สร้างนั้นก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ เขาลางานได้ช่วงสั้นๆก็รีบมาจัดแจงข้าวของให้ครอบครัว ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีมีแต่ความสุข แล้วเรื่องแปลกๆมันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่เขาเข้าไปอยู่
กลางดึกคืนนั้นเขายังไม่นอนเพราะกำลังเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ บ้านใหม่ทำให้เขามีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเขาพยายามทำงานทำผลงานให้มากเพื่อที่จะได้ทำเรื่องย้ายได้และกลับมาอยู่ใกล้ๆบ้านแม้ว่าจะไม่ได้ที่จังหวัดบ้านเกิดเลย แต่ก็ยังดีที่ได้จังหวัดใกล้เคียง
คืนนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากไกลๆ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเขารู้ว่าเสียงนั้นมันดังมาจากที่ไกลๆแต่ทำไมเขาถึงได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาพยายามเงี่ยหูฟังก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นเสียงของอะไรแต่มันน่าจะเป็นเสียงของแข็งกระทบกัน
หลายคืนที่เขาได้ยินเสียงนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นมากนักจนในที่สุดเสียงที่ได้ยินมันก็หายไปแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนคนเคาะบ้าน มันเป็นเสียงเหมือนคนเอามือหรือของแข็งๆมากระทบกับแผ่นไม้ที่ใช้สร้างบ้าน เสียงที่ได้ยินนั้นทิ้งช่วงห่างมากในแต่ละครั้ง ไม่ได้ดังอยู่ตลอด
เสียงนั้นแปลกมันจะดังทีหนึ่งก่อนแล้วเงียบไป เวลาผ่านไปได้สักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง เสียงนั้นจะกลับมาอีกครั้งด้วยความดังเท่าเดิม แบบเดิม แต่ไม่ใช่ที่เดิม เสียงมันดังมาจากชั้นล่างบ้าง ข้างบ้านบ้าง หลังคาบ้าง บางครั้งก็ที่หน้าต่าง
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่คนกลัวหรือใส่ใจมากนักแต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ถึงเร่องที่เกิดขึ้น คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้เขารู้สึกไม่ได้มากกว่าเดิม เพราะพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้สึกถึงเสียงดังกล่าวอย่างที่เขาบอกเลย
ด้วยความไม่สบายใจเขาจึงพยายามหาที่พึ่งในด้านต่างๆโดยเริ่มจากหาซื้อพุทธรูปดีๆสักองค์หนึ่งซึ่งบูชามาจากวัดที่ตัวเองเคยไปบ่อยๆ จากหิ้งพระที่ถูกจัดอย่างมักง่ายโดยใช้พื้นที่หลังตู้ใบหนึ่งเท่านั้นกลายเป็นโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่จัดวางไว้ตรงห้องโถงของบ้าน
คืนแรกที่โต๊ะหมู่บูชาถูกขัดเสร็จคนที่ดีใจที่สุดคือ แม่ เพราะเดิมที่แม่เป็นคนชอบสวดมนต์แต่ก็คงจะเกรงใจลูกถ้าจะขอให้ซื้อโต๊ะหมู่เพราะบ้านก็สร้างด้วยตัวคนเดียว แม่จุดธูปถวายพวงมาลัยสวดมนต์ตั้งแต่หัวค่ำก่อนเข้านอน เขาคิดว่าคืนนั้นคงจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้น
แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะเสียงนั้นยังคงดังอยู่ มันไม่ได้น้อยลงเลยและไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เขารู้สึกว่ามันถี่ขึ้น
สุดสัปดาห์นั้นเขาตัดสินใจ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ตามคำแนะนำของพ่อกับแม่ จริงๆตั้งใจจะทำอยู่แล้วตามระเพณีและความสบายใจของพ่อกับแม่แต่ว่าเขาก็ยังขี้เกียดอยู่เนืองๆบวกกับงานที่ค่อนข้างจะดึงเวลาไปพอสมควร จริงๆแล้วในวันนั้นก็ไม่ได้ว่างนักแต่มันไม่สบายใจก็ตัดสินใจที่จะทำในทันทีแม้ว่าในตอนบ่ายเขายังต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศอีก
งานบุญในวันนั้นผ่านไปได้ด้วยดีพ่อและแม่ก็สบายใจตามความเชื่อของคนรุ่นเก่า เขาเองก็มีกำลังใจมากขึ้นเช่นกัน แล้วในคืนนั้นมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด เขาไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก เสียงนั้นหายไปไม่มีแม้สักนิดเดียว
ช่วงเวลาแห่งความสบายใจอยู่กับเขาได้ประมาณเดือนกว่าๆหรือสองเดือนแล้วเสียงนั้นก็กลับมาดังอีกครั้ง คราวนี้มันดูจะถี่กว่าครั้งก่อนๆ แต่มันต่างจากเมื่อก่อนตรงที่มันไม่ได้ดังทุกวัน มันจะมาเพียงแค่อาทิตย์ละไม่กี่วัน และหนึ่งในนั้นมันจะดังในคืนวันโกนเสมอๆ
เขาทนอยู่ในสภาพนั้นได้อยู่เป็นเดือนเพราะมันไม่เท่าเมื่อก่อน และภาระงานที่มีก็มากพอที่จะดึงความสนใจของเขาไปเช่นกัน แต่ลึกๆนั้นก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
จนในวันหยุดวันหนึ่งเขานอนเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกด้านล่างเปิดทีวีดูรายงานข่าวตามปกตินิสัยของเขา พ่อกับแม่เข้าไปชื่นชมสวนเล็กๆของตัวเองในยามบ่าย เขาเผลอหลับไปเพราะอากาศเย็นสบายในบ่ายวันนั้น ในภวังค์นั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนคนพยายามจะเลื่อนบานประตูห้องรับแขกที่ติดกับด้านนอก
เสียงนั้นดังอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเข้ามา เขาคิดว่าคงเป็นพ่อกับแม่ที่กลับมาจากสวนแต่ด้วยความงัวเงียที่มีจึงขี้เกียดที่จะลุกไปยืนยันความคิดนั้นด้วยสายตา
‘เปิดเลย บ้านไม่ได้ล็อก’
เขาพูดออกไปทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ เขาตื่นมาในช่วงบ่ายแก่จากเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอนั้นแสดงชื่อแม่ให้เห็น เขารับสายในทันทีตามปกติ
‘ทอปลูก ฝากดูแมวให้แม่หน่อยมันตื่นรึยัง ถ้ามันตื่นแล้วให้ข้าวมันด้วย’
‘อ้าว แม่ไปสวนอีกแล้วหรอ กลับมารอบนึงแล้วนี่’
‘บ้า แม่ยังไม่ได้กลับเลย นั่งเล่นอยู่ในสวนกับพ่อแต่เช้าแล้วเนี่ย’