นิยายสั้น รักอมตะ ตอน 4

กระทู้สนทนา
***นิยายสั้นเรื่องนี้เขียนขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องหนึ่งจบลง หนังจบแต่ความรู้สึกคนดูยังไม่จบจึงขอเขียนให้จบตามใจตัวเอง มีข้อคิดเห็นหรือผิดพลาดประการใดช่วยแนะนำติชมด้วยนะคะ

ตอน 1 https://ppantip.com/topic/36071440
ตอน 2 https://ppantip.com/topic/36075417
ตอน 3 https://ppantip.com/topic/36078091


นิยายสั้น รักอมตะ ตอน 4

**แก้วกัญญา**



ความรู้สึกของผมต่อเจสซี่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว วันแรกๆผมต้องพยายามลืมภาพเหมือนฝันร้ายที่เห็นในตู้เย็น ซึ่งมันติดตาและตามหลอกหลอนจิตใจผมอยู่อย่างยากเย็น แถมตอนนั้นผมยังเกิดมโนคิดต่อเนื่องไปถึงภาพของเจสซี่ที่กำลังยกขวดพลาสติกใส่เลือดขึ้นดื่ม เธอดื่มอั่กๆอย่างหิวกระหายและดูเหมือนรีบร้อนจนไม่ระมัดระวัง ปล่อยให้เลือดกระฉอกออกจากปากขวดไหลเลอะเปรอะสองข้างมุมริมฝีปาก และมันได้ไหลย้อยลงมาจนถึงลำคอและเปื้อนหน้าอกจนเสื้อสีสวยหวานที่เธอสวมอยู่เลอะไปด้วยสีแดงของเลือดสดๆ เมื่อลดมือที่ถือขวดลงเธอก็หันมาแสยะยิ้มให้ผม ซึ่งมันเป็นยิ้มที่ชวนสยอง เพราะปากของเธอแดงเถือกไปด้วยเลือดเช่นกัน

แต่ความรักอันบริสุทธิ์ของผมที่มีต่อเจสซี่มีอานุภาพเหนือกว่า ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะถึงจะคิดกับเธอแบบนั้นขึ้นมาเป็นบางครั้ง แต่หลังจากผมเลิกไปที่ห้องของเจสซี่แล้วให้เธอจะมาหาผมที่ห้องแทน และพยายามลืมเรื่องตู้เย็นอุบาทว์หลังนั้น ประกอบกับวันเวลาที่ผ่านไปนานวันเข้า ในที่สุดผมก็ลืมเรื่องน่าสะอิดสะเอียนวันนั้นลงได้ เราสองคนกลับมาเล่นกระหนุงกระหนิงกันตามประสาต่อไป ปีนี้อายุของผมเขยิบมาเป็นสิบเอ็ดปี ตัวก็ยืดสูงขึ้นอีกหน่อย เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เริ่มคับแม่จึงซื้อชุดใหม่ให้อีกหลายชุด แต่ผิดกันกับเจสซี่ที่ดูเหมือนเธอจะไม่โตขึ้น ตัวเธอยังคงผอมบางเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาบ้างเลย แม่ถึงกับบอกว่าเจสซี่เป็นโรคขาดสารอาหาร เพราะตัวเธอขาวซีดมากอีกด้วย
“บาร์ตมัวแต่ทำงาน ไม่ดูแลเอาใจใส่ลูกสาวบ้างเลย น่าสงสารเจสซี่”
แม่บ่นถึงผู้ชายสูงอายุหัวเถิกที่แม่คิดว่าเป็นพ่อของเจสซี่ ซึ่งแม่ค่อนขอดเสมอว่าทำตัวพิลึก บาร์ตไม่ค่อยสุงสิงกับใครแม้แต่แม่ของผมที่อยู่ห้องติดกัน ผมได้แต่เออออ แม่คิดแบบนี้เพราะไม่รู้ความจริงเรื่องบาร์ตกับอาหารที่เพื่อนผมกิน
และตอนนี้ผมกับเจสซี่ก็ได้ขยับชั้นเรียนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งแล้วด้วย ปีหน้าเราสองคนจะได้เข้าเรียนระดับไฮสคูล

“ร้อบบี้”
ขณะเรากำลังวาดรูประบายสีเล่นด้วยกันอยู่ในห้องของผมในเช้าวันหนึ่งซึ่งเป็นวันพิเศษ เพราะเป็นวันเกิดของผม แม่ออกไปหาซื้อเค้กวันเกิดกับพวกขนมนมเนยมาจัดงานวันเกิดเล็กๆให้ผมกับเพื่อนรักเพียงคนเดียวของลูกชายและยังไม่กลับมา จู่ๆเจสซี่ก็เรียกผมขึ้นเบาๆ ผมหันไปมองก็เห็นตาโตของเธอจ้องมา เจสซี่มีแววตาเศร้าๆอีกแล้วซึ่งแววตาแบบนี้ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“มีอะไรเหรอ...” ผมถามออกไปแล้วรอฟังเธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมรู้สึกหวั่นใจยังไงชอบกลกับท่าทีแบบนี้ของเธอ
“สุขสันต์วันเกิด ปีนี้เธอสิบเอ็ดขวบแล้วสินะ”
“อืม เธอก็ด้วย เราอายุเท่ากันนี่” เจสซี่สั่นหน้า
“ไม่หรอก ฉันยังสิบขวบเท่าเดิม หนึ่งปีของแวมไพร์เท่ากับหนึ่งพันปีของมนุษย์ ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราถูกธรรมชาติลงโทษให้ต้องอยู่อย่างลำบาก โดนแสงแดดไม่ได้ กินอาหารก็กินได้แต่เลือด และมันทำให้เผ่าพันธุ์ของเราแพร่พันธุ์ลำบาก หนำซ้ำเรายังมีค่าหัวจากใครบางคนที่ไม่ต้องการให้พวกเราอยู่ร่วมโลกอีกด้วย เราจึงถูกตามล่าจากพวกนักล่าแวมไพร์ พวกเขากลัวแวมไพร์ครองโลก เพราะพวกเรามีอายุยืนเกินไป”
คงเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเธอ เจสซี่จึงเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยลงมาก ราวกับว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของเธอ
“มีนักล่าแวมไพร์ด้วยเหรอ อย่างกับในหนังแน่ะ เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ”
ผมใจหายวาบ ครางออกมาอย่างตกใจ นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมพึ่งรู้ มิน่า เจสซี่ถึงเรียนศิลปป้องกันตัวตั้งหลายอย่าง
“ใช่ ฉันจึงต้องระวังตัวให้ดี” ไม่น่าเชื่อว่าเด็กผู้หญิงน่ารักตรงหน้าผมจะต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆมากมายในชีวิต เจสซี่ช่างน่าสงสาร
“ตอนนี้ฉันอายุได้สิบปีในโลกของแวมไพร์กับอีกหกร้อยปีของโลกมนุษย์”
ผมตั้งใจฟังเรื่องประหลาดของเจสซี่โดยไม่เอ่ยถามขัดจังหวะ ปล่อยให้เธอเล่าอย่างต่อเนื่อง บางทีเจสซี่อาจรู้สึกดีขึ้นกับการได้เล่าสิ่งซึ่งเก็บกดอยู่ในใจออกมาให้ใครสักคนฟังก็ได้
“ฉันดีใจด้วยที่เธอโตขึ้นอีกหนึ่งปี และวันนี้ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ”
แต่แล้วทำไมเจสซี่ที่เหมือนกำลังจะบอกอะไรจึงนิ่งเงียบไปอีก พอเห็นเธอเงียบแบบนี้ผมกลับรู้สึกใจหาย เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เธอกำลังจะบอกกับผมต้องเป็นเรื่องที่ไม่สู้ดีแน่ๆ
“เจสซี่...ทำไมเธอดูเศร้าจัง” อดถามไม่ได้ที่เห็นอาการอ้ำอึ้งและสีหน้าแบบนั้นของเธอ
“ปีหน้าฉันก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ อยู่ที่นี่มันเป็นยังไงเหรอ” คราวนี้ผมตกใจร้องเสียงดัง ชะงักมือหยุดทำทุกอย่างเพื่อรอฟังคำตอบจากเธอ
“ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”
“เพราะฉันใช่ไหม เธอยังไม่หายโกรธฉัน”
ผมไม่เข้าใจว่าเธอพูดถึงอะไรกัน ใครหรืออะไรทำให้เธอโกรธไม่พอใจ เป็นเพราะเรื่องวันนั้นของผมล่ะสิ ต้องใช่แน่เลยจึงพยายามถาม ถ้าเป็นด้วยเรื่องนั้นจริงผมจะขอโทษเธออีกครั้ง หรืออีกหมื่นพันครั้งก็ได้ถ้าเธอต้องการ ผมหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจในที่สุด...แต่เธอส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้โกรธเธอเลย วันนั้นฉันก็ไม่โกรธเธอ ร้อบบี้ ฉันอยู่ที่ไหนนานๆไม่ได้ บอกแล้วว่าฉันอายุสิบขวบมานานในโลกมนุษย์ และจะต้องอายุเท่านี้ไปอีกสี่ร้อยปี เพราะงั้นทุกสามปีฉันจึงต้องย้ายที่อยู่เพื่อไม่ให้คนอื่นผิดสังเกตที่ฉันไม่โตขึ้นสักที ฉันกับบาร์ตวางแผนไว้แล้วว่าจะย้ายกลับไปโรมาเนียอีกสักครั้งสิ้นปีนี้ เราเคยอยู่ที่นั้นเมื่อสามร้อยปีก่อน ฉันอยากรู้ว่าจะมีแวมไพร์แบบฉันหลงเหลืออยู่อีกบ้างไหม”
“เธอจะต้องไปจริงๆเหรอ อยู่ที่นี่นานอีกหน่อยได้ไหม”
ผมอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ สะอึกสะอื้นอ้อนวอน บ้าจริง ทำไมผมต้องเสียน้ำตาในวันเกิดของตัวเองด้วยนะ
“อย่าร้องไห้สิ เธอกำลังทำให้ฉันไม่สบายใจนะ”
“ก็เธอบอกว่าจะไปแต่ฉันไม่อยากให้เธอไปไหนนี่ ฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอ เจสซี่ เธอเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันที่ฉันรักมากที่สุด” มือขาวซีดของเจสซี่เอื้อมมาจับมือผมไว้ มืออีกข้างเธอยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผม
“เธอเป็นผู้ชายควรเข้มแข็งนะร้อบบี้ และเธอต้องอยู่ให้ได้ จะอยู่รอฉันก็ได้”
“เธอจะกลับมาหาฉันเหรอ” เจสซี่พยักหน้า
“อีกหน่อยฉันจะกลับมาหาเธอแน่นอน แต่ว่าเธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
ผมไม่รู้ว่าเธอจะขอให้ผมช่วยอะไรแต่ก็พยักหน้าตอบตกลงทันทีแทบไม่ต้องคิด
“กินอาหารและขยันออกกำลังกายให้ตัวโตๆ ตั้งใจเรียนให้เก่ง เธอต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้ได้เพื่อจะได้ช่วยฉันไม่ให้ต้องกินเลือดไง ฉันไม่รู้ว่าอีกกี่ปีบาร์ตถึงจะคิดสูตรอาหารทดแทนเลือดได้ ตอนนี้บาร์ตอายุหกสิบห้าปีแล้ว เขาอาจอยู่ได้ไม่ถึงเวลานั้น ถ้าเธอทำได้ก็จะเป็นกุศลนึกว่าสงสารพวกเราเถอะนะ ไม่มีแวมไพร์คนไหนอยากทำร้ายมนุษย์หรอก แต่ที่ต้องทำก็เพราะความหิวมันโหดร้าย มันเปลี่ยนแปลงพวกเราให้กลายเป็นสัตว์กระหายเลือด”
ผมพยักหน้าอีกครั้งอย่างแห้งแล้ง เรื่องที่สัญญากับเธอผมไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ผมก็สัญญาและจะพยายามทำ...ผมจะทำเพื่อเธอ
เจสซี่ยิ้มอย่างพอใจ เวลาเธออารมณ์ดีหายเศร้าแม่สาวน้อยตุ๊กตาบาร์บี้ของผมน่ารักมาก ผมจึงยิ้มรับ เราสองคนจับมือกันเขย่าเพื่อยืนยันคำมั่นสัญญา
“ดีมาก นี่ร้อบบี้ ฉันกำลังคิดว่าจะขอบาร์ตให้อยู่ที่นี่ต่ออีกสักปีสองปี ฉันก็ไม่อยากจากเธอไปตอนนี้ ฉันคิดถึงเธอ”
“จริงเหรอเจส ดีใจจัง เธออยู่ต่ออีกสองปีเลยนะ ให้โอกาสฉันได้ทำใจอีกหน่อย เธอมาบอกกะทันหันแบบนี้ฉันยังทำใจไม่ได้”
เราสองคนยิ้มแป้นให้กันแล้วหันไปตั้งใจระบายสีในภาพวาดกันต่อ เราคิดจะทำเซอร์ไพรส์แม่ด้วยการวาดรูปพวกเราสี่คนแล้วให้แม่ลองทาย ผมวาดไม่สวยเลยแค่วาดเป็นโครงลายเส้นทื่อๆ แต่ใส่สัญลักษณ์ให้พอรู้ว่าเป็นใครเท่านั้นเอง เช่น แม่ก็ใส่กระโปรงไว้ผมซอยสั้น บาร์ตตัวสูง ๆ หัวล้าน ส่วนผมกับเจสซี่ก็วาดเป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ส่วนเจสซี่นั้นดูตั้งใจวาดจริงจัง เธอกำลังวาดรูปผมอยู่ซึ่ง ฝีมือดีทีเดียว เห็นเป็นรูปใบหน้าแก้มยุ้ยแดงแจ๋ของผมแล้ว
แต่แล้วความดีใจว่าเจสซี่จะยังอยู่ด้วยกันกับผมก็มีได้แค่เพียงวันนี้วันเดียว ไม่นึกเลยว่ามันจะรวดเร็วปานนั้นก่อนที่ผมจะสูญเสียเธอไปนานแสนนาน

“แม่กลับมาแล้วจ้า เด็กๆ”
เสียงแม่ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องชุดพร้อมกับร่างสูงโปร่งของแม่ที่เปิดประตูเข้ามา ในอ้อมแขนหอบของมาด้วยพะรุงพะรัง เจสซี่ลุกขึ้นไปช่วยถือของอย่างรู้มารยาท แม่ยิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู
“มานานแล้วเหรอเจสซี่ เอานี่ไปวางไว้บนโต๊ะในครัวให้ป้าที” แม่ยื่นกล่องกระดาษที่หอบอยู่ให้เจสซี่ถือพลางบอกร่าเริง
“รอเดี๋ยวนะเด็กๆ แม่ว่าจะทำพายอร่อยๆเพิ่มอีกอย่าง” แม่บอกก่อนจะหันไปปิดประตู แต่ทันใดนั้นเอง ประตูห้องของเราก็ถูกผลักให้เปิดผัวะออก!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมมองตามไม่ทัน ผู้ชายคนหนึ่งถลันเข้ามา รู้สึกว่าเขาจะสวมชุดหนังสีดำ ในมือถืออะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายปืน  มันกระแทกสิ่งนั้นเข้าใส่ท้ายทอยของแม่จนล้มลง ฉับพลัน ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมเงาวูบวาบผ่านตา อะไรบางอย่างตกลงมากระเด็นเกลื่อนห้อง

พอผมกระพริบตาอีกครั้งก็เห็นว่าเจ้าสิ่งที่หล่นกราดเกลื่อนเต็มห้องนั้นคือชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ ทั้งแขนขาขาดวิ่น ลำตัวถูกตัดขาดเป็นสองท่อน ศีรษะหล่นกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพอดี ผมตกตะลึงถือดินสอสีนิ่งขึง จ้องมองเจสซี่ที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องด้วยสภาพที่เนื้อตัวแปดเปื้อนไปด้วยคราบเลือด

จบตอน 4

ขอบคุณท่านที่อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
คุณGTW คุณเป่าซาง และนักอ่านเงาทุกท่าน
มีคำแนะนำติชมขอช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ
หมดเวลาวันหยุดเสียแล้ว พบกันวันหยุดอาทิตย์หน้านะคะ
*แก้วค่ะ*
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่