บังคับสื่อเป็นวิชาชีพ : ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่น นอกจาก “หลงประเด็น” ไม่ก็ “จงใจอยากควบคุม”!!!
.
. ฟังนายกฯ แถลง ก็ตามสไตล์แก ออกอาการไม่พอใจทุกครั้งที่ถูกสื่อตั้งคำถาม ถูกคนนั้นคนนี้วิพากษ์วิจารณ์ ( จะ 3 ปีแล้วนะครับ เมื่อไรท่านจะปรับตัว? โลกของพลเรือนการถกเถียงโต้แย้งคือปกติมาก ไม่ใช่โลกของทหารที่สั่งซ้ายหันขวาหันตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ) คราวนี้ก็ไม่ต่าง
.
ผมขอถอดมาทีละช็อตเลยนะครับ จากข่าวนี้
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000010538 นายกฯ ปัด สปท.ผุด กม.คุมสื่อ ยันต้องปฏิรูป มีสภาวิชาชีพ รัฐจุ้นสั่งปิดไม่ได้
.
.
-----------------------------------------
.
“..การสื่อสารให้ประชาชนมีโอกาสที่จะเลือกรับฟัง ติดตาม และเชื่อถือ ซึ่งต้องมีข้อมูลที่สมดุลกันทั้งสองทาง ไม่ใช่เอียงข้างใดข้างหนึ่งตลอดเวลาอยู่แบบนี้ทำไม่ได้ มันทำให้ประเทศชาติเกิดความสับสนวุ่นวายประชาชนก็ขัดแย้งกัน รัฐบาล ข้าราชการก็ทำงานไม่ได้นั่นคือปัญหา..”
.
โถ!..ท่านผู้นำ ถ้านี่คือปัญหานะ ผมว่าไปแก้ Mindset หรือวิธีคิดของบุคลากรภาครัฐก่อนเลยดีกว่าไหม? ก็พอจะทราบหรอกนะว่าคนในระบบราชการไม่ว่าทหาร ตำรวจ พลเรือน มัก
“รำคาญ” เสมอ เวลามีเสียงโต้แย้งหรือตั้งคำถามการทำงานของตัวเองจากภายนอก ไม่ว่าสื่อ นักวิชาการ NGO แถมหลายๆ คน ยังชอบเสียอีกที่มีรัฐบาลแบบนี้ โครงการแปลกๆ ที่ตัวเองคิดว่าดี ( แต่ไม่เคยหรือไม่ค่อยจะหาทางออกให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ) เร่งดันเร่งผลักกันเลยละ แทบจะกราบเท้าให้ท่านผู้นำใช้ช่องทางพิเศษให้ด้วยซ้ำ แต่โลกมันไปถึงไหนแล้ว? ไปดูเอกชนเขาเสียบ้างนะ เจอด่าเจอวิพากษ์วิจารณ์สารพัด ทั้งจริงทั้งมั่ว เขารับมือยังไง? เขาไม่เห็นต้องมีกลไกพิเศษมาควบคุม อย่างดีก็ฟ้องหมิ่นประมาทตามกฎหมายปกติ
.
แล้วเข้าใจว่าท่านและคนใน ครม. รวมถึงคนใหญ่คนโตในระบบราชการทั้งหลาย คงมีโอกาสไปดูงานในประเทศเจริญแล้ว อย่างเมืองฝรั่งทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ขอโทษนะครับ
"สื่อเลือกข้างกันปกติมาก" อย่างสื่อเก่าแก่พวกหนังสือพิมพ์นี่ชัดเลย คนจะรู้กันว่าฉบับไหนอนุรักษ์นิยม ฉบับไหนเสรีนิยม ไม่มีหรอกสื่อเป็นกลาง ( ไม่นับสื่อสาธารณะที่กินเงินภาษีประชาชน ) มีแต่ไม่ซ้ายก็ขวา ขึ้นอยู่กับว่าจะเอียงไปมากแค่ไหน ทุกคนมีสิทธิ์เลือกรับสารได้ตามใจปรารถนา ก็ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาอะไร? เพราะถ้าสื่อไหนล้ำเส้น เดี๋ยวคนถูกพาดพิงที่รู้สึกว่าตัวเองเสียหายเขาก็ฟ้องเอง ฟ้องทั้งแพ่งทั้งอาญา
.
ประเทศที่สื่อถูกควบคุมทิศทางโดยรัฐด้วยข้ออ้างด้านความมั่นคงก็ดี ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ดี มีแต่ประเทศเผด็จการเท่านั้น ไม่ว่าเผด็จการแบบตรงไปตรงมาอย่างจีนแดง ( นักข่าวถือเป็นบุคลากรประเภทหนึ่งของรัฐ ) หรือเผด็จการซ่อนรูปแบบสิงคโปร์ ( ถ้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือสกุลลี คุณจะมีอันเป็นไปจนเหยียบแผ่นดินสิงคโปร์ไม่ได้อีกชั่วชีวิต ) ถ้าจะเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ต้องปล่อยให้สื่อเสรีให้มากที่สุด ใครอยากจะพูดอะไรก็ได้นั่นแหละ ถ้าล้ำเส้นมันมีกฎหมายหลายฉบับฟ้องได้อยู่แล้ว สื่อมวลชนไม่เคยมีอภิสิทธิ์ เพราะไม่มีกฎหมายพิเศษว่าห้ามฟ้องคดี ตรงกันข้าม ภาครัฐต่างหากออกจะมีอภิสิทธิ์กว่าด้วยซ้ำ เพราะมีกฎหมายห้ามดูหมิ่นเจ้าพนักงานอยู่
.
-----------------------------------------
.
“..ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่มอบหมายว่าทุกคนจะต้องทำอะไรบ้าง มีการตรวจสอบมาตรฐาน มีการฝึกอบรมให้ความรู้ต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการจะเป็นผู้กำหนดมา เพียงแต่ทุกคนต้องไปผ่านมาตรฐานของเขา ไม่ได้คุมว่าไม่ให้นำเสนอข่าว ซึ่งอาชีพอื่นก็ถูกคุมเรื่องวิชาชีพเช่นกัน..”
.
โถ!.. เรื่องมาตรฐานน่ะ
“ใครๆ ก็เป็นสื่อได้” คำนี้ไม่ได้พูดกันขำๆ เอาง่ายๆ เลย ไปดูเพจดังๆ บนเฟซบุ๊ค เชื่อเหอะพวกทำ Content เจ๋งๆ หลายคนก็ไม่ได้จบนิเทศ-วารสาร-สื่อสารมวลชน ยังไม่นับคนตามสำนักข่าวต่างๆ จบมากันหลายสาย เก่าๆ แก่ๆ หน่อย ไม่จบ ป.ตรี เลยก็มี ถามว่าภาพแบบนี้สามารถเห็นได้จากอาชีพอย่างหมอหรือวิศวกรไหม? ไม่มีหรอก? ( หมอหรือวิศวกร ไม่ได้จบสายตรง แต่มาเป็นสื่อได้แค่หาตำรามาอ่านเอง แต่คนอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ได้เรียนแพทยศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ จะหาตำรามาอ่านเองแล้วทำตามไม่ได้ )
.
แล้วจะบอกให้อีกอย่างนะครับ การมีใบวิชาชีพไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้อาชีพมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับเสมอไป ท่านดูอย่าง
“ครู” ก็แล้วกัน อาชีพที่โดนบ่นมาตลอดตั้งแต่บังคับมีใบวิชาชีพ ว่ากลายเป็นการ
“ผูกขาด” ของคณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ กีดกันไม่ให้คนจบสายอื่นที่เก่งกว่ามาแข่งกับตัวเอง กลายเป็นเด็กๆ แห่ไปเรียนกับติวเตอร์ที่ไม่ได้จบครู เช่น พวกวิดวะ เภสัช พยาบาล มนุษย์เอกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ แล้วบอกว่าติวเตอร์พวกนี้สอนให้เข้าใจได้มากกว่าครูในระบบของกระทรวงที่มีใบวิชาชีพ
.
หรือ
“แท็กซี่-มอไซค์วิน” มีใบวิชาชีพแล้วยังไง? ถ้าดีจริงทำไมคนไทยจำนวนมากถึงสนับสนุนและเชิดชูกิจการที่รัฐบาลบอกว่า
“เถื่อน-อยู่นอกกฎหมาย” อย่าง Uber หรือ Grab Bike ทั้งที่พวกนี้ใบวิชาชีพก็ไม่มี รัฐบาลไม่ได้รับรองอะไรทั้งนั้น แต่ได้รับเสียงชมว่าบริการดีกว่ารถที่รัฐบาลรับรองอย่างเทียบกันไม่ได้
.
----------------------------------------
.
ผมแนะนำนะท่านผู้ยิ่งใหญ่นะ ถ้าท่านจะปฏิรูปสื่อ ทำเรื่องเดียวพอ
“ทำให้กระบวนการยุติธรรมแบบมีคุณภาพเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนทุกชนชั้น” คนใหญ่คนโตทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชน ท่านมีทนาย มีเงิน มีพรรคพวก พอสื่อพาดพิงท่านท่านฟ้องเขากลับได้เพราะสายป่านท่านยาว แต่คนทั่วไปเขาอาจจะเข้าไม่ถึงตรงนี้เพราะไม่มีทรัพยากรพร้อมแบบท่าน ภาครัฐต้องไปคิดมาว่าจะทำยังไงให้ประชาชนคนธรรมดาๆ เข้าถึงได้แบบเดียวกับที่ท่านผู้มีอำนาจเข้าถึง
.
ถ้าทำได้แล้วมันจะไม่ได้แก้แค่เรื่องสื่อ แต่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ทั้งระบบเลย เรียกว่าพอกันทีกับสำนวนที่คนไทยบ่นกันมานานว่า
“ขึ้นโรงขึ้นศาลกำอุจจาระดีกว่า” เพราะเขามองว่าต้นทุนกระบวนการยุติธรรมที่มีคุณภาพมันสูง คนเล็กคนน้อยทั้งหลายเลยยอมรับชะตากรรม มองเป็นคราวเคราะห์ทั้งหมด ไม่ว่าจะมีคดีกับนักการเมือง ข้าราชการ นายทุน สื่อ เจ้าพ่อ ฯลฯ เพราะเขามองว่าอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า ไม่มีปัญญาจะไปสู้ ถ้าแก้ตรงนี้ปุ๊บ เหมือนเมื่อก่อนประชาชนไม่กล้าฟ้องรัฐ โดนเวนคืนไม่เป็นธรรมก็ได้แต่ทำใจ พอมีศาลปกครองเกิดขึ้นฟ้องกันใหญ่เลย หลายเรื่องรัฐต้องยอมถอยเพราะเจอศาลปกครองท้วงติง
.
ฉะนั้นผมสรุปอย่างที่ตั้งไว้บนหัวข้อละครับ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้-ไม่เข้าใจ ก็คงเป็นเพราะท่านมี Mindset แบบข้าราชการแท้ๆ ที่ไม่ต้องการการเจรจาต่อรอง แต่ต้องการระบบสั่งการแบบเดิมๆ ที่ท่านคุ้นเคย
.
มันก็เท่านั้นเอง..จริงไหม?
.
.
ปล. เรื่องสื่อเลือกข้างในประเทศ ปชต. เดี๋ยวจะหาว่าผมมั่ว มโนเองลอยๆ
.
ท่านไปหาอ่านเอาในนี้เลย ของสหรัฐอเมริกา บทความมีวิเคราะห์ละเอียดว่าหัวไหนฉบับไหนอยู่ฝ่ายไหน
.
http://www.businessinsider.com/what-your-preferred-news-outlet-says-about-your-political-ideology-2014-10
บังคับสื่อเป็นวิชาชีพ : ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่น นอกจาก “หลงประเด็น” ไม่ก็ “จงใจอยากควบคุม”!!!
.
. ฟังนายกฯ แถลง ก็ตามสไตล์แก ออกอาการไม่พอใจทุกครั้งที่ถูกสื่อตั้งคำถาม ถูกคนนั้นคนนี้วิพากษ์วิจารณ์ ( จะ 3 ปีแล้วนะครับ เมื่อไรท่านจะปรับตัว? โลกของพลเรือนการถกเถียงโต้แย้งคือปกติมาก ไม่ใช่โลกของทหารที่สั่งซ้ายหันขวาหันตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ) คราวนี้ก็ไม่ต่าง
.
ผมขอถอดมาทีละช็อตเลยนะครับ จากข่าวนี้ http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000010538 นายกฯ ปัด สปท.ผุด กม.คุมสื่อ ยันต้องปฏิรูป มีสภาวิชาชีพ รัฐจุ้นสั่งปิดไม่ได้
.
.
-----------------------------------------
.
“..การสื่อสารให้ประชาชนมีโอกาสที่จะเลือกรับฟัง ติดตาม และเชื่อถือ ซึ่งต้องมีข้อมูลที่สมดุลกันทั้งสองทาง ไม่ใช่เอียงข้างใดข้างหนึ่งตลอดเวลาอยู่แบบนี้ทำไม่ได้ มันทำให้ประเทศชาติเกิดความสับสนวุ่นวายประชาชนก็ขัดแย้งกัน รัฐบาล ข้าราชการก็ทำงานไม่ได้นั่นคือปัญหา..”
.
โถ!..ท่านผู้นำ ถ้านี่คือปัญหานะ ผมว่าไปแก้ Mindset หรือวิธีคิดของบุคลากรภาครัฐก่อนเลยดีกว่าไหม? ก็พอจะทราบหรอกนะว่าคนในระบบราชการไม่ว่าทหาร ตำรวจ พลเรือน มัก “รำคาญ” เสมอ เวลามีเสียงโต้แย้งหรือตั้งคำถามการทำงานของตัวเองจากภายนอก ไม่ว่าสื่อ นักวิชาการ NGO แถมหลายๆ คน ยังชอบเสียอีกที่มีรัฐบาลแบบนี้ โครงการแปลกๆ ที่ตัวเองคิดว่าดี ( แต่ไม่เคยหรือไม่ค่อยจะหาทางออกให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ) เร่งดันเร่งผลักกันเลยละ แทบจะกราบเท้าให้ท่านผู้นำใช้ช่องทางพิเศษให้ด้วยซ้ำ แต่โลกมันไปถึงไหนแล้ว? ไปดูเอกชนเขาเสียบ้างนะ เจอด่าเจอวิพากษ์วิจารณ์สารพัด ทั้งจริงทั้งมั่ว เขารับมือยังไง? เขาไม่เห็นต้องมีกลไกพิเศษมาควบคุม อย่างดีก็ฟ้องหมิ่นประมาทตามกฎหมายปกติ
.
แล้วเข้าใจว่าท่านและคนใน ครม. รวมถึงคนใหญ่คนโตในระบบราชการทั้งหลาย คงมีโอกาสไปดูงานในประเทศเจริญแล้ว อย่างเมืองฝรั่งทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ขอโทษนะครับ "สื่อเลือกข้างกันปกติมาก" อย่างสื่อเก่าแก่พวกหนังสือพิมพ์นี่ชัดเลย คนจะรู้กันว่าฉบับไหนอนุรักษ์นิยม ฉบับไหนเสรีนิยม ไม่มีหรอกสื่อเป็นกลาง ( ไม่นับสื่อสาธารณะที่กินเงินภาษีประชาชน ) มีแต่ไม่ซ้ายก็ขวา ขึ้นอยู่กับว่าจะเอียงไปมากแค่ไหน ทุกคนมีสิทธิ์เลือกรับสารได้ตามใจปรารถนา ก็ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาอะไร? เพราะถ้าสื่อไหนล้ำเส้น เดี๋ยวคนถูกพาดพิงที่รู้สึกว่าตัวเองเสียหายเขาก็ฟ้องเอง ฟ้องทั้งแพ่งทั้งอาญา
.
ประเทศที่สื่อถูกควบคุมทิศทางโดยรัฐด้วยข้ออ้างด้านความมั่นคงก็ดี ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ดี มีแต่ประเทศเผด็จการเท่านั้น ไม่ว่าเผด็จการแบบตรงไปตรงมาอย่างจีนแดง ( นักข่าวถือเป็นบุคลากรประเภทหนึ่งของรัฐ ) หรือเผด็จการซ่อนรูปแบบสิงคโปร์ ( ถ้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือสกุลลี คุณจะมีอันเป็นไปจนเหยียบแผ่นดินสิงคโปร์ไม่ได้อีกชั่วชีวิต ) ถ้าจะเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ต้องปล่อยให้สื่อเสรีให้มากที่สุด ใครอยากจะพูดอะไรก็ได้นั่นแหละ ถ้าล้ำเส้นมันมีกฎหมายหลายฉบับฟ้องได้อยู่แล้ว สื่อมวลชนไม่เคยมีอภิสิทธิ์ เพราะไม่มีกฎหมายพิเศษว่าห้ามฟ้องคดี ตรงกันข้าม ภาครัฐต่างหากออกจะมีอภิสิทธิ์กว่าด้วยซ้ำ เพราะมีกฎหมายห้ามดูหมิ่นเจ้าพนักงานอยู่
.
-----------------------------------------
.
“..ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่มอบหมายว่าทุกคนจะต้องทำอะไรบ้าง มีการตรวจสอบมาตรฐาน มีการฝึกอบรมให้ความรู้ต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการจะเป็นผู้กำหนดมา เพียงแต่ทุกคนต้องไปผ่านมาตรฐานของเขา ไม่ได้คุมว่าไม่ให้นำเสนอข่าว ซึ่งอาชีพอื่นก็ถูกคุมเรื่องวิชาชีพเช่นกัน..”
.
โถ!.. เรื่องมาตรฐานน่ะ “ใครๆ ก็เป็นสื่อได้” คำนี้ไม่ได้พูดกันขำๆ เอาง่ายๆ เลย ไปดูเพจดังๆ บนเฟซบุ๊ค เชื่อเหอะพวกทำ Content เจ๋งๆ หลายคนก็ไม่ได้จบนิเทศ-วารสาร-สื่อสารมวลชน ยังไม่นับคนตามสำนักข่าวต่างๆ จบมากันหลายสาย เก่าๆ แก่ๆ หน่อย ไม่จบ ป.ตรี เลยก็มี ถามว่าภาพแบบนี้สามารถเห็นได้จากอาชีพอย่างหมอหรือวิศวกรไหม? ไม่มีหรอก? ( หมอหรือวิศวกร ไม่ได้จบสายตรง แต่มาเป็นสื่อได้แค่หาตำรามาอ่านเอง แต่คนอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ได้เรียนแพทยศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ จะหาตำรามาอ่านเองแล้วทำตามไม่ได้ )
.
แล้วจะบอกให้อีกอย่างนะครับ การมีใบวิชาชีพไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้อาชีพมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับเสมอไป ท่านดูอย่าง “ครู” ก็แล้วกัน อาชีพที่โดนบ่นมาตลอดตั้งแต่บังคับมีใบวิชาชีพ ว่ากลายเป็นการ “ผูกขาด” ของคณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ กีดกันไม่ให้คนจบสายอื่นที่เก่งกว่ามาแข่งกับตัวเอง กลายเป็นเด็กๆ แห่ไปเรียนกับติวเตอร์ที่ไม่ได้จบครู เช่น พวกวิดวะ เภสัช พยาบาล มนุษย์เอกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ แล้วบอกว่าติวเตอร์พวกนี้สอนให้เข้าใจได้มากกว่าครูในระบบของกระทรวงที่มีใบวิชาชีพ
.
หรือ “แท็กซี่-มอไซค์วิน” มีใบวิชาชีพแล้วยังไง? ถ้าดีจริงทำไมคนไทยจำนวนมากถึงสนับสนุนและเชิดชูกิจการที่รัฐบาลบอกว่า “เถื่อน-อยู่นอกกฎหมาย” อย่าง Uber หรือ Grab Bike ทั้งที่พวกนี้ใบวิชาชีพก็ไม่มี รัฐบาลไม่ได้รับรองอะไรทั้งนั้น แต่ได้รับเสียงชมว่าบริการดีกว่ารถที่รัฐบาลรับรองอย่างเทียบกันไม่ได้
.
----------------------------------------
.
ผมแนะนำนะท่านผู้ยิ่งใหญ่นะ ถ้าท่านจะปฏิรูปสื่อ ทำเรื่องเดียวพอ “ทำให้กระบวนการยุติธรรมแบบมีคุณภาพเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนทุกชนชั้น” คนใหญ่คนโตทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชน ท่านมีทนาย มีเงิน มีพรรคพวก พอสื่อพาดพิงท่านท่านฟ้องเขากลับได้เพราะสายป่านท่านยาว แต่คนทั่วไปเขาอาจจะเข้าไม่ถึงตรงนี้เพราะไม่มีทรัพยากรพร้อมแบบท่าน ภาครัฐต้องไปคิดมาว่าจะทำยังไงให้ประชาชนคนธรรมดาๆ เข้าถึงได้แบบเดียวกับที่ท่านผู้มีอำนาจเข้าถึง
.
ถ้าทำได้แล้วมันจะไม่ได้แก้แค่เรื่องสื่อ แต่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ทั้งระบบเลย เรียกว่าพอกันทีกับสำนวนที่คนไทยบ่นกันมานานว่า “ขึ้นโรงขึ้นศาลกำอุจจาระดีกว่า” เพราะเขามองว่าต้นทุนกระบวนการยุติธรรมที่มีคุณภาพมันสูง คนเล็กคนน้อยทั้งหลายเลยยอมรับชะตากรรม มองเป็นคราวเคราะห์ทั้งหมด ไม่ว่าจะมีคดีกับนักการเมือง ข้าราชการ นายทุน สื่อ เจ้าพ่อ ฯลฯ เพราะเขามองว่าอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า ไม่มีปัญญาจะไปสู้ ถ้าแก้ตรงนี้ปุ๊บ เหมือนเมื่อก่อนประชาชนไม่กล้าฟ้องรัฐ โดนเวนคืนไม่เป็นธรรมก็ได้แต่ทำใจ พอมีศาลปกครองเกิดขึ้นฟ้องกันใหญ่เลย หลายเรื่องรัฐต้องยอมถอยเพราะเจอศาลปกครองท้วงติง
.
ฉะนั้นผมสรุปอย่างที่ตั้งไว้บนหัวข้อละครับ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้-ไม่เข้าใจ ก็คงเป็นเพราะท่านมี Mindset แบบข้าราชการแท้ๆ ที่ไม่ต้องการการเจรจาต่อรอง แต่ต้องการระบบสั่งการแบบเดิมๆ ที่ท่านคุ้นเคย
.
มันก็เท่านั้นเอง..จริงไหม?
.
.
ปล. เรื่องสื่อเลือกข้างในประเทศ ปชต. เดี๋ยวจะหาว่าผมมั่ว มโนเองลอยๆ
.
ท่านไปหาอ่านเอาในนี้เลย ของสหรัฐอเมริกา บทความมีวิเคราะห์ละเอียดว่าหัวไหนฉบับไหนอยู่ฝ่ายไหน
.
http://www.businessinsider.com/what-your-preferred-news-outlet-says-about-your-political-ideology-2014-10