รีวิว La La Land : เธอ ฉัน และฝันของเรา



By มาร์ตี้ แม็คฟราย
เป็นหนังกระแสดีส่งท้ายปีเหลือเกินสำหรับผลงานโรแมนติกมิวสิคัล ที่ทั้งนักวิจารณ์และคนดูเทใจให้ ที่เป็นผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของ ดาเมี่ยน ชาเซลล์ ที่ในตอนนี้ถือเป็นผู้กำกับเนื้อหอมไปในบัดดล

เอาเข้าจริงกรณีของชาเซลล์นับเป็นกรณีศึกษาของเส้นทางผู้กำกับในฮอลลีวูดได้อย่างชัดเจนอีกกรณี สำหรับการมองว่าการที่ขึ้นเป็นผู้กำกับเนื้อหอมที่หลายคนยกย่องนั้น นอกจากความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ อาจยังไม่พอ เพราะต้องรวมถึงจังหวะชีวิตด้วย

เพราะการทำหนังให้ออกมาดี แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความแปลกใหม่ให้ผู้ชมได้สองเรื่องติดกัน คงเป็นเรื่องยากไม่น้อย ไล่ตั้งแต่ Whiplash หนังดราม่าครูสุดโหด ที่ทำให้ตื่นเต้นและมีพลังสูงเหลือเกินกับการแสดงและความบีบคั้นของการเล่าเรื่อง ซึ่งก็สามารถเฉิดฉายในเวทีออสการ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ อย่างน้อยก็ในสาขาใหญ่ ๆ อย่าง นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และ ลำดับภาพยอดเยี่ยม

และต่อเนื่องกันในผลงานล่าสุดที่ได้ยกระดับสูงขึ้นจากเรื่องก่อน ทั้งโปรดักชั่นและนักแสดงที่ได้นักแสดง (ว่าที่) คู่ขวัญแห่งฮอลลีวูดอีกคู่อย่าง ไรอัน กอสลิ่ง และ เอ็มมา สโตน มาแสดงนำ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อชาเซลล์มีชื่อเสียงแล้ว เขากลับไม่เลือกเดินทางผู้กำกับทั่วไปที่พอมีชื่อแล้วก็หันไปรับจ้างทำหนังตลาดให้สตูดิโอ แต่เขาได้เริ่มโปรเจกต์ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์และหวนกลับสู่อารมณ์หนังมิวสิคัลในยุค 60 ผสมเรื่องราวการเดินตามความฝันและความรักอันน่าประทับใจกับ La La Land

ที่ล่าสุดกับงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งล่าสุดที่ กวาดได้หมดทั้ง 7 สาขาที่เข้าชิง คือสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์, นักแสดงนำชาย (หมวดหนังเพลง,ตลก), นักแสดงนำหญิง (หมวดหนังเพลง, ตลก), ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (หมวดหนังเพลง, ตลก) จนทำให้สงสัยว่าถ้าได้ขนาดนี้ออสการ์จะหนีไปไหนเสีย


อารมณ์หนังมิวสิคัลที่คิดถึง
เรื่องราวของคนสองคนที่บังเอิญได้พบกัน มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน พร้อมพัฒนาความสัมพันธ์ไป ด้วยการร่วมกันทำตามความฝันของแต่ละคนให้เป็นจริง พล็อตแบบนี้นั้นถูกเล่าผ่านอารมณ์แบบหนังเพลง ที่ร้อยเรียงสถานการณ์ด้วยฉากร้องเล่นเต้นระบำต่าง ๆ และจังหวะการตัดต่อนั้นชวนให้นึกถึงรูปแบบหนังในช่วงเวลา 60 อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเวลาในเรื่องจะเป็นปัจจุบัน แต่ในแง่ของการออกแบบงานสร้าง (Production Design) มุมกล้อง จังหวะการเคลื่อนกล้องและการกำกับในหนังชวนให้คิดถึงฉากร้องรำทำเพลงแบบยุคก่อนมาก ในจุดนี้สำคัญอย่างยิ่งในการทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษ และให้ความรู้สึกถวิลหาหนังอารมณ์นี้ ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว แม้ว่าเราจะเห็นสังคม ผู้คน เป็นเวลาปัจจุบันและเป็นสถานที่ที่คุ้นชินในแคลิฟอร์เนียก็ตามที


เคมีการแสดงที่ลงตัวอย่างยิ่ง
ส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนช่วยให้หนังดูมีเสน่ห์มากขึ้น คือนักแสดงนำทั้งสองคนที่มีการแสดงที่รับส่งการได้ดี เข้าขา และชวนให้ยิ้มทุกครั้งที่ทั้งคู่เข้าฉากด้วยกัน ซึ่งเอาจริง ๆ ในจุดนี้เคยเห็นตั้งแต่ทั้งสองคนแสดงหนังเรื่อง Crazy, Stupid, Love. ด้วยกันแล้ว ที่ถือเป็นส่วนผสมสุดลงตัวสำหรับการแสดงในเรื่องนั้น  แต่พอมาเรื่องนี้จุดนี้ยิ่งเห็นมากขึ้น นอกจากนี้เรายังได้เห็นความสามารถในการร้อง เต้น ที่โดดเด่นและแข็งแรงชนิดที่ว่าไม่เคยคิดว่าทั้งสองคนจะมีความสามารถขนาดนี้มาก่อน ที่ต้องชมกับผู้กำกับ ดาเมี่ยน ชาเซลล์ สามารถดึงเสน่ห์ของทั้งคู่ออกมาให้ทำงานได้สูงสุด และกำกับฉากร้องเล่นเต้นระบำเกี้ยวพาราสีกันได้น่ารักน่าชังและชวนหลงใหล และอยู่ในความทรงจำเหลือเกิน


ความรักที่มีความฝันเป็นแรงขับเคลื่อน
ในหนังค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเรื่องของความฝันเป็นหลัก ในแง่ของการสู้และเดินตามความฝันให้ได้ แม้ว่าทางที่จะต้องเดินจะขรุขระเพียงใด เพราะทั้งสองตัวละครอย่าง เซบาสเตียน และ มีอา ต่างก็มีความฝันทั้งคู่ เช่นเซบาสเตียนอยากเปิดบาร์ที่มีดนตรีแจ๊ซแท้ ๆ แบบที่เขาชอบ หรือ มีอา อยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูด ตัวละครสองคนนี้นับเป็นการเติมเต็มกันและกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรักกันจนยินดีที่จะช่วยเหลือ ผลักดัน ทำทุกอย่างที่มีประโยชน์ให้แก่กัน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงรักกันปานจะกลืนกินหรือในช่วงระหองระแหงกันก็ตามที ความรักในรูปแบบนี้เป็นรักที่หายากและไม่เห็นแก่ตัว


ฉากจบอันตราตรึง
แม้ว่าระหว่างทางของหนัง จะมีจุดเด่นมากมายที่ควรค่าแก่การพูดถึง แต่โดยส่วนตัวส่วนที่น่าจดจำและยังอยู่ในความรู้สึกคือตอนสุดท้าย
ส่วนหนึ่งไม่คิดว่าเรื่องราวในหนังจะพาคนดูมาได้ไกลขนาดนี้ เพื่อเท่าที่เห็นในช่วงกลางก็มีหลายต่อหลายประเด็นที่หนังเล่าอยู่แล้ว แต่ผู้กำกับเองยังคงใส่หมัดฮุกสุดท้ายเอาไว้ให้คนดูได้รู้สึกกันในช่วงสุดท้าย ด้วยคุณภาพของฉากนั้น ทั้งในองค์ประกอบด้านการแสดง การกำกับ จังหวะการตัดต่อ มันชวนให้ทั้งใจสลาย สงสาร และอมยิ้มไปในที มันแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความรัก ในฐานะผู้ที่รักกันอย่างที่สุด เพราะในรอยยิ้มสุดท้ายในหนัง มันสื่อสารกับคนดูได้หลายความรู้สึกเหลือเกิน ทั้งที่มันเป็นเพียงรอยยิ้มของคนคนหนึ่ง แต่รอยยิ้มนั้นสามารถบอกทุกอย่างในใจได้ ซึ่งหากจะคิดต่อไปมันคงจะสื่อว่า ..

ขอบคุณที่เราเจอกัน
ขอบคุณที่เราช่วยกันทำความฝันให้เป็นจริง
ขอบคุณจริง ๆ ที่มาอยู่ในความทรงจำ

ขอบคุณรูปจาก Fanpage FB : MONGKOL MAJOR

หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่