La La Land: เติมฝัน ผันผ่าน ระหว่างเรา



สิ่งแรกที่รู้สึกจากการเห็นฉาก Finale ที่สรุปความสัมพันธ์(ที่ควรจะเป็น)ของคู่พระนางอภิมหาเคมีเข้ากันจนคนดูอินไปกับการตามฝันและความน่ารักของทั้งคู่คือ หนังกำลังคารวะหนังเพลงในอดีตแทบทุกเรื่องแม้ว่าผมจะไม่เคยดูมากนักแต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากผ่านเทคนิคหลากหลายจากหนังเพลงในอดีตมาเล่าเรื่องจนจบ

Damien Chazelle เคยทำให้เห็นใน Whiplash (2014) มาแล้วว่าเขาเก่งในการคุมจังหวะหนังและดึงอารมณ์คนดูให้ร่วมไปกับตัวละครแค่ไหน เรื่องนี้ประเด็นเกี่ยวกับการตามฝัน ดนตรี ยังคงอยู่ เพิ่มเติมคือจากเรื่องของปัจเจก มาสู่เรื่องการเติมเต็มส่งเสริมกันของคนรัก ถึงอาจไม่เข้มข้นทรงพลังเท่า แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาแสดงศักยภาพของผู้กำกับที่ยัง "เอาอยู่" และรักเสียงดนตรี(แจ้ส)ขนาดไหน

หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือภาพของ Jimmy Liao หลายเล่ม โดยเฉพาะ A Chance of sunshine (Turn left, turn right) หนังแบ่งเป็น 5 องค์ตามฤดูกาล เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงของทั้งคู่ Emma Stone เล่นได้ควรค่าแก่การเข้าชิง Oscar ส่วน Ryan Gosling ก็มีเสน่ห์ล้นจอ เคมีของทั้งคู่ทำให้เรามองข้ามข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหนังตลอดเรื่อง

หนังเพลงอีกเรื่องที่ผมยกให้เป็นหนังในดวงใจประจำยังปีนี้ คือ Sing Street ก็พูดถึงประเด็นการตามฝัน ความสัมพันธ์ และเสียงดนตรีไม่ต่างกัน หากแต่เรื่องนั้น เราสามารถอิ่มเอมไปกับเส้นทางความฝันปลายเปิดของตัวละครทั้งคู่ หากแต่เรื่องนี้ เรากลับอึนไปกับความ "จริง" ของความฝันบนความสัมพันธ์ บางอย่างอาจไม่สมหวัง บางอย่างอาจไม่สมบูรณ์ มีเงื่อนไขของชีวิตจริง ต้องอาศัยความเข้าใจของชีวิตคู่ ซึ่งไม่ง่ายเลยในการจะพาคนสองคนไปยังทางของชีวิตที่ตั้งใจไว้อย่างสมบูรณ์ ผู้กำกับสามารถเสนอมุมมองความคิดของทั้งฝ่ายหญิง และฝ่ายชาย ได้อย่างชัดเจน จนสามารถอินและอึนไปกับหลายฉาก โดยเฉพาะฉากบนโต๊ะอาหารที่บทสนทนาของทั้งคู่ช่างถอดแบบมาจากประสบการณ์จริง อย่างไรก็ตาม ความดีงามของหนังเรื่องนี้ นอกจากเรื่องทั้งหมดที่กล่าวไป มันทำให้เรารู้ว่า ดีแค่ที่ครั้งหนึ่งเราสามารถเจอคนที่ต่างรักและสนับสนุนกับไปสู่เส้นทางฝันของตัวเอง แม้ทางนั้นอาจไม่ใช้ทางเดียวกันไปจนจุดหมายก็ตาม...

8/10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่