สบาย สบาย - เบิร์ด ธงไชย
เรื่องเดิม
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า-ปฐมบท (ทวิภาค)
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า-ทวิบท (ทวิภาค)
หลังจากโรงเบียร์คานตบ
ได้รับอนุมัติจัดตั้งได้จากเสนาบดีศยมกุกแล้ว
เสี่ยเริญก็เรียกประชุมกลุ่มสามทันที
“ รายงานวิจัยที่ผมให้พนักงานไปจัดทำกันมา
ระบุว่าเบียร์ขวดสีเขียวดูดี มีสกุลรุนชาติ
จะทำให้ราคาขายดีกว่าเบียร์ขวดสีน้ำตาล
ทุกคนมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ “ เสี่ยเริญ
“ อาป๊าว่า ลองดูเหตุผลอื่นดีไหม
เพราะพวกนักวิจัยบางทีก็เชื่อไม่ได้ “ พ่อตา
“ ผมก็คิดเหมือนกัน เพราะเวลาคนไม่รู้จักมาถาม
คนเรามักกลัวว่า จะเป็นใครหรือฝ่ายตรงข้าม
ต้องสร้างภาพให้ดูดี ตอบมีหลักการหรือตอบแบบกลาง ๆ
หรือแบบคนชอบกินเหล้า กับคนจ่ายเงินค่าอาหาร
มักจะไม่ใช่คนเดียวกันในวงสังคมศยมกุก “ โอวหมักกุ้ย
เหมือนเหตุเกิดที่ชายแดนพื้นที่ราบใหญ่(ปาดังเบซาร์)
ชื่อเดียวกันสะกดอังกฤษแบบเดียวกันทั้งสองประเทศ
จนเอกสารราชการต้องระบุให้ชัดเจนว่าอยู่ฝั่งไทยหรือมาเลย์
ครั้งหนึ่ง มีพนักงานสาวสวย/หนุ่มหล่อ
ไปทำการสอบถามวิจัยเรื่องจะตั้งปั้มน้ำมันรายใหญ่ในพื้นที่
ข้อมูลออกมาบอกชอบ ดี ๆ จะได้ใช้น้ำมันไทย
น้ำมันไทยดีกว่ามาเลย์อยู่แล้วด้านคุณภาพ
เป็นการช่วยรัฐประหยัดเงินตราไม่ไหลออกนอก
แต่พอตั้งปั้มน้ำมันขึ้นมาจริงแล้ว
ปั้มน้ำมันไปแทบไม่ถูกเลย
เกือบเจ๊งในเวลาอันสั้นช่วงตั้งใหม่ ๆ
เพราะคนยังใช้น้ำมันมาเลย์ที่ถูกกว่าไทย
หรือการออกแบบสอบถามความนิยมนักการเมือง
ถามว่าชอบใครมาก แม้ว ตู่ ชวน สมัคร บรรหาร
คนตอบมักจะเกร็ง ๆ ไม่กล้าตอบจริง ๆ
เพราะไม่รู้ว่าคนถามมาจากหน่วยงานไหน
กลัวตอบไม่ถูกใจคนถามอาจเจ็บตัวหรือถูกถีบ
เลยตอบให้เป็นคนดูดีมีศีลธรรม
เป็นคนมีภูมิปัญญารักความเป็นธรรม
อะไรแบบทำนองนั้นเป็นต้น
“ ผมคิดว่าพวกเราควรใช้ขวดสีน้ำตาล
เพราะโมล์ Mould (แบบแม่พิมพ์ทำขวด)
ยังมีอีกมากในโรงงานผลิตขวดของพวกเรา
และบวกไว้เป็นต้นทุนของเจ้าฮะ
ทั้งยังมีขวดเก่าสีนี้ก็มีมากในท้องตลาด
เพราะร้านซีอิ้วเอาไป Reuse Reproduct
กับใส่ยาดองเหล้า/สมุนไพรหลายยี่ห้อ
ต้นทุนของพวกเราจะต่ำถ้าใช้ขวดสีนี้
เป็นการเอา
เถาถั่วมาต้มถั่ว
หรืออัฐยายซื้อขนมยาย “ โอวหมักกุ้ย
“ อาป๊าว่าก็ดีเหมือนกันได้ลดต้นทุน
แล้วจะวางกลยุทธ์ตลาดอย่างไรดี “ พ่อตา
“ ผมคิดว่าจะให้ขายแบบทดลองตลาดไปก่อน
ดูแนวโน้มตลาด คงไม่ไปแข่งกับรายเก่าก่อน
เพราะค่าโฆษณาและค่าการตลาดคงต้องทุ่มหนักมาก
หรือโอวหมักกุ้ย มีความเห็นอย่างไรเรื่องนี้ครับ “ เสี่ยเริญ
“ ผมคิดว่าพวกเราขายเหล้าพ่วงเบียร์ไปเลย
ร้านเหล้ายี่ปั๊ว ซาปั๊วของพวกเราต้องยอมรับอยู่แล้ว
แถมกระจายตลาดได้เร็วมากกว่าการทดลองขายเอง
ค่าโฆษณากับค่าการตลาดใช้แบบปากต่อปาก
(Viral Marketing หรือ Mount to Mount)
จะได้ผลเร็วกว่าการออกทางทีวีหนังสือพิมพ์
ทำให้ต้นทุนระยะยาวพวกเราจะต่ำกว่ามาก “ โอวหมักกุ้ย
“ แล้วพวกร้านขายเหล้ายี่ปั๊ว ซาปั๊ว
จะยอมรับซื้อหรือครับ
ถ้าทำแบบนี้ขายเหล้าพ่วงเบียร์กับทุก ๆ ร้าน “ เสี่ยเริญ
“ อาป๊าว่าก็น่าหนักใจเหมือนกันนา
ถ้าทำแบบที่โอวหมักกุ้ยว่า “ พ่อตา
“ ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาครับ
พวกเราขอร้องในช่วงปีสองปีแรกก่อน
เพราะพวกเราควรจะให้พวกนี้ถือหุ้นส่วนหนึ่งด้วย
เป็นการร่วมชะตากรรมแบบหลีกหนีไม่ได้
แบบซิย์เฟ่ต้องแบกหินขึ้นเขา
รวมทั้งใบอนุญาตโควต้าเหล้า
หาซื้อกันในท้องตลาดไม่ได้
แบบผูกขาดกันชั่วลูกชั่วหลาน
รายใหม่เข้ามาไม่ได้หรือไม่ได้เกิดเลย
ถ้ารายไหนถูกพวกเราไม่ต่อใบอนุญาตให้
รับรองตายหยังเขียดแบบเพลงน้าหมู
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
เพราะพวกนี้เหมือนลูกไก่ในกำมือพวกเรา
ขณะเดียวกันจุดคุ้มทุนการขายเหล้าก็มากอยู่แล้ว
การขายเบียร์ออกไปเท่าไรก็ยังมีกำไร
แม้ว่ากำไรจะน้อยกว่าเดิมมาก
แต่ผมได้บอกพวกนั้นว่า
ยิ่งคุณประหยัดภาษีมากเท่าไร
เพราะกำไรคุณลดลงมากจากปีก่อน ๆ
แต่คุณก็จ่ายภาษีให้รัฏฐน้อยลง
การลดรายจ่ายก็คือการเพิ่มรายได้ครับ “
“ งั้นเอาตามที่โอวหมักกุ้ยว่าเลย
เริญเห็นด้วยไหม “ พ่อตา
" ดีมากเลยครับ แผนการทั้งหมดนี้
ฝากให้โอวหมักกุ้ยช่วยเป็นธุระด้วยครับ " เสี่ยเริญ
สรุป มติที่ประชุมกลุ่มสาม
ทำตามแผนและการลงทุนของโอวหมักกุ้ย
หมายเหตุ
ชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้เหมือนกับ ซิย์เฟ่ Sisyphe/Sisyphus
ท้อแท้แต่ไม่รันทดกับการแบกหินขึ้นเขา
พอถึงยอดเขาหินก็จะหล่นลงมาตีนเขา
ท่านก็ต้องเดินลงไปแบบขึ้นมาใหม่ตลอดกาล
เป็นการทำงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เป็นวังวนที่ไม่เคยสิ้นสุด
เป็นการทำงานที่ไม่มีผลผลิต Productivity
เป็นงานที่ต้องทำแบบหงุดหงิดใจตลอดเวลา
ที่มา
https://goo.gl/CeLX0n
https://goo.gl/ze5lEF
จุดคุ้มทุน คือ รายรับเท่ากับรายจ่าย
เช่น ซื้อสินค้าราคา 100 ไพ ซื้อมา 100 ชิ้นเพื่อขายทุกวัน
มีค่าจ้างคนขาย ค่าเช่าที่ กับค่าโสหุ้ยต่าง ๆ วันละ 2,000 ไพ
ต้นทุนเบื้องต้น 10,000+2,000= 12,000 ไพ
ถ้าขายชิ้นละ 120 ไพ ขายหมดก็เท่าทุน
ไม่กำไรไม่ขาดทุน หรือ ปาและกำปง กลับบ้านไปเลย
แต่ถ้าขายชิ้นละ 240 ไพ ขายเพียง 50 ชิ้น
จะมีรายได้เข้ามาถึง 12,000 ไพ ก็เท่าทุนแล้ว
หรือเรียกว่าขายถึงจุดคุ้มทุน
ตอนนี้จะขายซี้ซั่วอย่างไรก็ กำไร กำไร กำไร
แบบ อ้ายโฟน ซำซวย Computer Games ก็ชอบขายแบบนี้
ที่เป็นตำนานก็คือ จ่าพิชิต Drama-addict
ซื้อแผ่นเกมส์ของแท้แล้วโม้เมื่อไร
วันรุ่งขึ้นราคาขายจะลดลงทันที
สินค้าพวกนี้ตอนเปิดตลาดครั้งแรกจะขายแพง ๆ มั๊ก ๆ
เพื่อให้ได้จุดคุ้มทุนเร็ว ๆ ก่อนอื่น
แล้วค่อยลดราคาลงหรือจัดโปรโมชั่นเร้าใจ เป็นต้น
เพราตอนนี้ขายอย่างไรก็ กำไร กำไร กำไร
ลดรายจ่าย คือ เพิ่มรายได้
มาจากวลีของปราชญ์ชาวบ้านสยาม
แถวอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
ที่ตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ขึ้นในชุมชน
เพื่อทำให้มีการออมเงินในชุมชน
แล้วปล่อยกู้กันในชุมชนดอกเบี้ยต่ำ
รายได้จากดอกเบี้ยมาแบ่งปันกันปลายปี
แล้วบางส่วนตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือในชุมชน
การฝากการกู้นัดวันที่แน่นอนทุกเดือน
ทำกันเดือนละครั้งเดียว
ไม่มีฝากหรือกู้ระหว่างเดือน
คนกู้มักจะแจ้งล่วงหน้าผ่านหัวหน้ากลุ่มอยู่แล้ว
ใช้หลักการสัจจะวาจา หรือ สัจจัง อมตะ วาจา
หนี้เสียค่อนข้างต่ำมาก เพราะใช้เงินฝากค้ำประกันเงินกู้
หนี้มีปัญหาก็หักเงินฝากของผู้กู้/ผู้ค้ำประกันหักกลบลบหนี้
ใครเบี้ยวหนี้ก็กลายเป็นคนแปลกแยกในชุมชน
เพราะกลายเป็นคนเสียสัจจะ คบไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้
คนมีสัจจะจึงเชื่อถือได้ ไว้ใจได้
ทำให้สามารถช่วยผลักดันให้คนในชุมชน
มีการดำรงชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผู้เป็นต้นแบบ คือ ครูชบ ยอดแก้ว
อัมพร ด้วงปาน, เคล้า แก้วเพชร, ลัภย์ หนูประดิษฐ์
เรื่องนี้เกิดในสยามประเทศเขตขัณฑ์
แต่ในศยมกุก
มีนักการเมืองและพระภิกษุไปดูการทำงาน
ของกลุ่มสัจจะออมทรัพย์แถวนี้มาก
บางแห่งก็ลอกเลียนแบบไปใช้งาน
ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แล้วแต่บุณย์แต่กรรม
หรือผู้นำชุมชนที่ได้เรื่องกับที่ไม่ได้เรื่อง/ไม่ได้ความ
เลยมีการนำมาเป็นนโยบายหาเสียง
ของพรรคการเมืองศยมกุกสองเจ้าใหญ่
ในยุคแรกมีผู้นำศยมกุกจะให้ตั้ง
กองทุนกำปง กำปงละ 100,000 ไพ
แต่ก็รี ๆ รอ ๆ แบบไม่เชื่อใจชาวบ้าน
แล้วไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างใด
เพราะทำงานไม่ค่อยเป็น แต่พูดเก่ง ค้านเก่ง
ค้านได้ทุกเรื่อง พาลได้ทุกเรื่อง ตอนเป็นฝ่ายค้าน
ประเภทดีใส่ตัว ชั่วใส่ชาวบ้าน/ข้ารัฏฐการ
ถนัดแต่ตีไก่ ชนวัว ประกันตัวผู้ต้องหา คบโจร
โหนกระแส ลอกอได้ทุกเรื่อง (คำพญาท้องที่)
เพราะคะแนนเสียงชาวบ้านมาจากเรื่องเหล่านี้
(ลอกอ = มะละกอ โกหก หลอกลวง ภาษาใต้ท้องถิ่น)
พอผู้นำคนใหม่อีกคนของศยมกุก
นโยบายเลยออกมาแบบรื้อคิดใหม่ ทำใหม่
Rethink New Make Things New
ออกแบบนโยบายหาเสียงว่า
กองทุนกำปง กำปงละ 1,000,000 ไพ
แบบตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
เพราะคิดแบบนักธุรกิจ ต้องได้มากกว่าเสีย
หรือ Give before Take can make a lot of money.
ปรากฎว่ามีเงินกองทุนกัมปงทั้งศยมกุก
เสียหายไม่เกินร้อยละ 15 ทั่วประเทศศยมกุก
เป็นการเสียหายเชิงตัวเลขกับสังคม
แบบเงินหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
แต่ทำให้คนบางคนต้องตกระกำลำบาก
เพราะต้องชดใช้และรับกรรมที่โกงเงินหลวงไป
แถมด้วย 30 ไพไม่ตายทุกโรค
ตามคติของหมอแพทย์แผนโบราณ
โรคบางโรครักษาก็หาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็หาย
โรคบางโรครักษาก็ตาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็ตาย
เรื่องเดิม 30 รูปีรักษาทุกโรค
หมอจากเทพกลายเป็นอสูร
สรุป
เบียร์คานตบก็ขายในขวดสีน้ำตาล
แล้วทำการขายเหล้าพ่วงเบียร์
แม้ว่าเจ้าฮะจะโวยวายว่าไม่เป็นธรรม
เป็นการผูดขาดในท้องตลาดก็ตามแต่
แล้วอำนาจเถื่อน/อำนาจเงินมาบิดเบือนบังหน
ทำให้เจ้าฮะ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
เหมือนน้ำท่วมปาก จะพูดก็น้ำเข้าปาก
ไม่พูดก็อัดอั้นตันใจไม่รู้จะระบายกับใคร
ร้องเรียนไปส่วนรัฏฐการก็ปลิวหายไปทุกที
แบบรัฏฐการศยมกุกชอบตั้งคณะกรรมการสอบสวน
แต่ไม่เคยกำหนดเวลาเส้นตายการประชุมสอบสวน
เลยทำงานแบบสอบสวนอย่างสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าฝ่ายคู่กรณีแต่ละฝ่ายจะถอดใจ/เลิกสนใจไปเลย
หรือเลิกคิดเลิกติดตามเรื่องไปเอง
เลยทุกเรื่องราวจบแบบศยมกุก ๆ
โรงเบียร์ของเสี่ยเริญก็เริ่มเดินเครื่องทำการผลิต
ตามแผนการลงทุน แผนการตลาดของโอวหมักกุ้ย
ด้วยการขายเหล้าพ่วงเบียร์ แบ่งหุ้นให้ยี่ปั้วถือส่วนหนึ่ง
ก่อนที่จะเริ่มแผนรุกบุกตลาด ชิงส่วนแบ่งการตลาดได้เกินครึ่ง
ด้วยการใช้วิชาเทพอสูรมาร หรือเหยียบหิมะไร้ร่องรอย
เคลื่อนย้ายปิดบังกายาแบบไร้เงาบนพื้นทราย
หรือฆ่าแบบไม่กระพริบตา
ร่างขาดสองท่อนยังไม่รู้ตัวว่าตาย
แบบจอมดามหิมะแดง หรือ
เต็งพ้ง ดาบอสูรวงพระเจันทร์
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือ นิทาน นิทาน นิทาน
คิงอย่ามาอู้ว่าเรื่องจริงในศยมกุก
ฮาบ่รับหรอก อย่ามาอู้ อย่ามาวอก
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า ตรีบท (ทวิภาค)
เรื่องเดิม
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า-ปฐมบท (ทวิภาค)
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า-ทวิบท (ทวิภาค)
หลังจากโรงเบียร์คานตบ
ได้รับอนุมัติจัดตั้งได้จากเสนาบดีศยมกุกแล้ว
เสี่ยเริญก็เรียกประชุมกลุ่มสามทันที
“ รายงานวิจัยที่ผมให้พนักงานไปจัดทำกันมา
ระบุว่าเบียร์ขวดสีเขียวดูดี มีสกุลรุนชาติ
จะทำให้ราคาขายดีกว่าเบียร์ขวดสีน้ำตาล
ทุกคนมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ “ เสี่ยเริญ
“ อาป๊าว่า ลองดูเหตุผลอื่นดีไหม
เพราะพวกนักวิจัยบางทีก็เชื่อไม่ได้ “ พ่อตา
“ ผมก็คิดเหมือนกัน เพราะเวลาคนไม่รู้จักมาถาม
คนเรามักกลัวว่า จะเป็นใครหรือฝ่ายตรงข้าม
ต้องสร้างภาพให้ดูดี ตอบมีหลักการหรือตอบแบบกลาง ๆ
หรือแบบคนชอบกินเหล้า กับคนจ่ายเงินค่าอาหาร
มักจะไม่ใช่คนเดียวกันในวงสังคมศยมกุก “ โอวหมักกุ้ย
เหมือนเหตุเกิดที่ชายแดนพื้นที่ราบใหญ่(ปาดังเบซาร์)
ชื่อเดียวกันสะกดอังกฤษแบบเดียวกันทั้งสองประเทศ
จนเอกสารราชการต้องระบุให้ชัดเจนว่าอยู่ฝั่งไทยหรือมาเลย์
ครั้งหนึ่ง มีพนักงานสาวสวย/หนุ่มหล่อ
ไปทำการสอบถามวิจัยเรื่องจะตั้งปั้มน้ำมันรายใหญ่ในพื้นที่
ข้อมูลออกมาบอกชอบ ดี ๆ จะได้ใช้น้ำมันไทย
น้ำมันไทยดีกว่ามาเลย์อยู่แล้วด้านคุณภาพ
เป็นการช่วยรัฐประหยัดเงินตราไม่ไหลออกนอก
แต่พอตั้งปั้มน้ำมันขึ้นมาจริงแล้ว
ปั้มน้ำมันไปแทบไม่ถูกเลย
เกือบเจ๊งในเวลาอันสั้นช่วงตั้งใหม่ ๆ
เพราะคนยังใช้น้ำมันมาเลย์ที่ถูกกว่าไทย
หรือการออกแบบสอบถามความนิยมนักการเมือง
ถามว่าชอบใครมาก แม้ว ตู่ ชวน สมัคร บรรหาร
คนตอบมักจะเกร็ง ๆ ไม่กล้าตอบจริง ๆ
เพราะไม่รู้ว่าคนถามมาจากหน่วยงานไหน
กลัวตอบไม่ถูกใจคนถามอาจเจ็บตัวหรือถูกถีบ
เลยตอบให้เป็นคนดูดีมีศีลธรรม
เป็นคนมีภูมิปัญญารักความเป็นธรรม
อะไรแบบทำนองนั้นเป็นต้น
“ ผมคิดว่าพวกเราควรใช้ขวดสีน้ำตาล
เพราะโมล์ Mould (แบบแม่พิมพ์ทำขวด)
ยังมีอีกมากในโรงงานผลิตขวดของพวกเรา
และบวกไว้เป็นต้นทุนของเจ้าฮะ
ทั้งยังมีขวดเก่าสีนี้ก็มีมากในท้องตลาด
เพราะร้านซีอิ้วเอาไป Reuse Reproduct
กับใส่ยาดองเหล้า/สมุนไพรหลายยี่ห้อ
ต้นทุนของพวกเราจะต่ำถ้าใช้ขวดสีนี้
เป็นการเอา เถาถั่วมาต้มถั่ว
หรืออัฐยายซื้อขนมยาย “ โอวหมักกุ้ย
“ อาป๊าว่าก็ดีเหมือนกันได้ลดต้นทุน
แล้วจะวางกลยุทธ์ตลาดอย่างไรดี “ พ่อตา
“ ผมคิดว่าจะให้ขายแบบทดลองตลาดไปก่อน
ดูแนวโน้มตลาด คงไม่ไปแข่งกับรายเก่าก่อน
เพราะค่าโฆษณาและค่าการตลาดคงต้องทุ่มหนักมาก
หรือโอวหมักกุ้ย มีความเห็นอย่างไรเรื่องนี้ครับ “ เสี่ยเริญ
“ ผมคิดว่าพวกเราขายเหล้าพ่วงเบียร์ไปเลย
ร้านเหล้ายี่ปั๊ว ซาปั๊วของพวกเราต้องยอมรับอยู่แล้ว
แถมกระจายตลาดได้เร็วมากกว่าการทดลองขายเอง
ค่าโฆษณากับค่าการตลาดใช้แบบปากต่อปาก
(Viral Marketing หรือ Mount to Mount)
จะได้ผลเร็วกว่าการออกทางทีวีหนังสือพิมพ์
ทำให้ต้นทุนระยะยาวพวกเราจะต่ำกว่ามาก “ โอวหมักกุ้ย
“ แล้วพวกร้านขายเหล้ายี่ปั๊ว ซาปั๊ว
จะยอมรับซื้อหรือครับ
ถ้าทำแบบนี้ขายเหล้าพ่วงเบียร์กับทุก ๆ ร้าน “ เสี่ยเริญ
“ อาป๊าว่าก็น่าหนักใจเหมือนกันนา
ถ้าทำแบบที่โอวหมักกุ้ยว่า “ พ่อตา
“ ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาครับ
พวกเราขอร้องในช่วงปีสองปีแรกก่อน
เพราะพวกเราควรจะให้พวกนี้ถือหุ้นส่วนหนึ่งด้วย
เป็นการร่วมชะตากรรมแบบหลีกหนีไม่ได้
แบบซิย์เฟ่ต้องแบกหินขึ้นเขา
รวมทั้งใบอนุญาตโควต้าเหล้า
หาซื้อกันในท้องตลาดไม่ได้
แบบผูกขาดกันชั่วลูกชั่วหลาน
รายใหม่เข้ามาไม่ได้หรือไม่ได้เกิดเลย
ถ้ารายไหนถูกพวกเราไม่ต่อใบอนุญาตให้
รับรองตายหยังเขียดแบบเพลงน้าหมู
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
เพราะพวกนี้เหมือนลูกไก่ในกำมือพวกเรา
ขณะเดียวกันจุดคุ้มทุนการขายเหล้าก็มากอยู่แล้ว
การขายเบียร์ออกไปเท่าไรก็ยังมีกำไร
แม้ว่ากำไรจะน้อยกว่าเดิมมาก
แต่ผมได้บอกพวกนั้นว่า
ยิ่งคุณประหยัดภาษีมากเท่าไร
เพราะกำไรคุณลดลงมากจากปีก่อน ๆ
แต่คุณก็จ่ายภาษีให้รัฏฐน้อยลง
การลดรายจ่ายก็คือการเพิ่มรายได้ครับ “
“ งั้นเอาตามที่โอวหมักกุ้ยว่าเลย
เริญเห็นด้วยไหม “ พ่อตา
" ดีมากเลยครับ แผนการทั้งหมดนี้
ฝากให้โอวหมักกุ้ยช่วยเป็นธุระด้วยครับ " เสี่ยเริญ
สรุป มติที่ประชุมกลุ่มสาม
ทำตามแผนและการลงทุนของโอวหมักกุ้ย
ท้อแท้แต่ไม่รันทดกับการแบกหินขึ้นเขา
พอถึงยอดเขาหินก็จะหล่นลงมาตีนเขา
ท่านก็ต้องเดินลงไปแบบขึ้นมาใหม่ตลอดกาล
เป็นการทำงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เป็นวังวนที่ไม่เคยสิ้นสุด
เป็นการทำงานที่ไม่มีผลผลิต Productivity
เป็นงานที่ต้องทำแบบหงุดหงิดใจตลอดเวลา
ที่มา
https://goo.gl/CeLX0n
https://goo.gl/ze5lEF
จุดคุ้มทุน คือ รายรับเท่ากับรายจ่าย
เช่น ซื้อสินค้าราคา 100 ไพ ซื้อมา 100 ชิ้นเพื่อขายทุกวัน
มีค่าจ้างคนขาย ค่าเช่าที่ กับค่าโสหุ้ยต่าง ๆ วันละ 2,000 ไพ
ต้นทุนเบื้องต้น 10,000+2,000= 12,000 ไพ
ถ้าขายชิ้นละ 120 ไพ ขายหมดก็เท่าทุน
ไม่กำไรไม่ขาดทุน หรือ ปาและกำปง กลับบ้านไปเลย
แต่ถ้าขายชิ้นละ 240 ไพ ขายเพียง 50 ชิ้น
จะมีรายได้เข้ามาถึง 12,000 ไพ ก็เท่าทุนแล้ว
หรือเรียกว่าขายถึงจุดคุ้มทุน
ตอนนี้จะขายซี้ซั่วอย่างไรก็ กำไร กำไร กำไร
แบบ อ้ายโฟน ซำซวย Computer Games ก็ชอบขายแบบนี้
ที่เป็นตำนานก็คือ จ่าพิชิต Drama-addict
ซื้อแผ่นเกมส์ของแท้แล้วโม้เมื่อไร
วันรุ่งขึ้นราคาขายจะลดลงทันที
สินค้าพวกนี้ตอนเปิดตลาดครั้งแรกจะขายแพง ๆ มั๊ก ๆ
เพื่อให้ได้จุดคุ้มทุนเร็ว ๆ ก่อนอื่น
แล้วค่อยลดราคาลงหรือจัดโปรโมชั่นเร้าใจ เป็นต้น
เพราตอนนี้ขายอย่างไรก็ กำไร กำไร กำไร
ลดรายจ่าย คือ เพิ่มรายได้
มาจากวลีของปราชญ์ชาวบ้านสยาม
แถวอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
ที่ตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ขึ้นในชุมชน
เพื่อทำให้มีการออมเงินในชุมชน
แล้วปล่อยกู้กันในชุมชนดอกเบี้ยต่ำ
รายได้จากดอกเบี้ยมาแบ่งปันกันปลายปี
แล้วบางส่วนตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือในชุมชน
การฝากการกู้นัดวันที่แน่นอนทุกเดือน
ทำกันเดือนละครั้งเดียว
ไม่มีฝากหรือกู้ระหว่างเดือน
คนกู้มักจะแจ้งล่วงหน้าผ่านหัวหน้ากลุ่มอยู่แล้ว
ใช้หลักการสัจจะวาจา หรือ สัจจัง อมตะ วาจา
หนี้เสียค่อนข้างต่ำมาก เพราะใช้เงินฝากค้ำประกันเงินกู้
หนี้มีปัญหาก็หักเงินฝากของผู้กู้/ผู้ค้ำประกันหักกลบลบหนี้
ใครเบี้ยวหนี้ก็กลายเป็นคนแปลกแยกในชุมชน
เพราะกลายเป็นคนเสียสัจจะ คบไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้
คนมีสัจจะจึงเชื่อถือได้ ไว้ใจได้
ทำให้สามารถช่วยผลักดันให้คนในชุมชน
มีการดำรงชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผู้เป็นต้นแบบ คือ ครูชบ ยอดแก้ว
อัมพร ด้วงปาน, เคล้า แก้วเพชร, ลัภย์ หนูประดิษฐ์
เรื่องนี้เกิดในสยามประเทศเขตขัณฑ์
แต่ในศยมกุก
มีนักการเมืองและพระภิกษุไปดูการทำงาน
ของกลุ่มสัจจะออมทรัพย์แถวนี้มาก
บางแห่งก็ลอกเลียนแบบไปใช้งาน
ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แล้วแต่บุณย์แต่กรรม
หรือผู้นำชุมชนที่ได้เรื่องกับที่ไม่ได้เรื่อง/ไม่ได้ความ
เลยมีการนำมาเป็นนโยบายหาเสียง
ของพรรคการเมืองศยมกุกสองเจ้าใหญ่
ในยุคแรกมีผู้นำศยมกุกจะให้ตั้ง
กองทุนกำปง กำปงละ 100,000 ไพ
แต่ก็รี ๆ รอ ๆ แบบไม่เชื่อใจชาวบ้าน
แล้วไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างใด
เพราะทำงานไม่ค่อยเป็น แต่พูดเก่ง ค้านเก่ง
ค้านได้ทุกเรื่อง พาลได้ทุกเรื่อง ตอนเป็นฝ่ายค้าน
ประเภทดีใส่ตัว ชั่วใส่ชาวบ้าน/ข้ารัฏฐการ
ถนัดแต่ตีไก่ ชนวัว ประกันตัวผู้ต้องหา คบโจร
โหนกระแส ลอกอได้ทุกเรื่อง (คำพญาท้องที่)
เพราะคะแนนเสียงชาวบ้านมาจากเรื่องเหล่านี้
(ลอกอ = มะละกอ โกหก หลอกลวง ภาษาใต้ท้องถิ่น)
พอผู้นำคนใหม่อีกคนของศยมกุก
นโยบายเลยออกมาแบบรื้อคิดใหม่ ทำใหม่
Rethink New Make Things New
ออกแบบนโยบายหาเสียงว่า
กองทุนกำปง กำปงละ 1,000,000 ไพ
แบบตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
เพราะคิดแบบนักธุรกิจ ต้องได้มากกว่าเสีย
หรือ Give before Take can make a lot of money.
ปรากฎว่ามีเงินกองทุนกัมปงทั้งศยมกุก
เสียหายไม่เกินร้อยละ 15 ทั่วประเทศศยมกุก
เป็นการเสียหายเชิงตัวเลขกับสังคม
แบบเงินหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
แต่ทำให้คนบางคนต้องตกระกำลำบาก
เพราะต้องชดใช้และรับกรรมที่โกงเงินหลวงไป
แถมด้วย 30 ไพไม่ตายทุกโรค
ตามคติของหมอแพทย์แผนโบราณ
โรคบางโรครักษาก็หาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็หาย
โรคบางโรครักษาก็ตาย
โรคบางโรคไม่รักษาก็ตาย
เรื่องเดิม 30 รูปีรักษาทุกโรค หมอจากเทพกลายเป็นอสูร
สรุป
เบียร์คานตบก็ขายในขวดสีน้ำตาล
แล้วทำการขายเหล้าพ่วงเบียร์
แม้ว่าเจ้าฮะจะโวยวายว่าไม่เป็นธรรม
เป็นการผูดขาดในท้องตลาดก็ตามแต่
แล้วอำนาจเถื่อน/อำนาจเงินมาบิดเบือนบังหน
ทำให้เจ้าฮะ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
เหมือนน้ำท่วมปาก จะพูดก็น้ำเข้าปาก
ไม่พูดก็อัดอั้นตันใจไม่รู้จะระบายกับใคร
ร้องเรียนไปส่วนรัฏฐการก็ปลิวหายไปทุกที
แบบรัฏฐการศยมกุกชอบตั้งคณะกรรมการสอบสวน
แต่ไม่เคยกำหนดเวลาเส้นตายการประชุมสอบสวน
เลยทำงานแบบสอบสวนอย่างสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าฝ่ายคู่กรณีแต่ละฝ่ายจะถอดใจ/เลิกสนใจไปเลย
หรือเลิกคิดเลิกติดตามเรื่องไปเอง
เลยทุกเรื่องราวจบแบบศยมกุก ๆ
โรงเบียร์ของเสี่ยเริญก็เริ่มเดินเครื่องทำการผลิต
ตามแผนการลงทุน แผนการตลาดของโอวหมักกุ้ย
ด้วยการขายเหล้าพ่วงเบียร์ แบ่งหุ้นให้ยี่ปั้วถือส่วนหนึ่ง
ก่อนที่จะเริ่มแผนรุกบุกตลาด ชิงส่วนแบ่งการตลาดได้เกินครึ่ง
ด้วยการใช้วิชาเทพอสูรมาร หรือเหยียบหิมะไร้ร่องรอย
เคลื่อนย้ายปิดบังกายาแบบไร้เงาบนพื้นทราย
หรือฆ่าแบบไม่กระพริบตา
ร่างขาดสองท่อนยังไม่รู้ตัวว่าตาย
แบบจอมดามหิมะแดง หรือ
เต็งพ้ง ดาบอสูรวงพระเจันทร์
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือ นิทาน นิทาน นิทาน
คิงอย่ามาอู้ว่าเรื่องจริงในศยมกุก
ฮาบ่รับหรอก อย่ามาอู้ อย่ามาวอก