คนจะตาย...ไม่ได้ตาย

สวัสดีครับขอเกริ่นก่อนเลยว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากขัดข้องประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วครั้งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องนึง
           เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ช่วงไล่เลี่ยกับกระทู้แรกที่เขียน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องนี้เพราะว่าเกรงใจผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ แต่ไม่นานมานี้ได้เจอกันก็พูดคุยกันย้อนไปถึงเรื่องนี้แล้วทางนั้นก็บอกว่าไม่ว่าอะไร เขียนได้
           เรื่องมันเกิดจากความว่างของผมและเพื่อนคนนึง จึงได้คุยกันหาเรื่องเที่ยวกันว่าจะไปที่ไหนดี อยู่บ้านว่างๆมันเบื่อ คุยไปคุยมาก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปบ้านฐาติของเพื่อนที่อยู่ทางเหนือ แล้วบ้านเพื่อนนั้นไม่ได้อยู่ในเมือง จึงมีวิวสวยๆ มีธรรมชาติให้ได้ไปเที่ยวชม
            ผมกับเพื่อนเดินทางโดยรถทัวร์ ก่อนจะไปก็แวะไปไหว้พระพุทธชินราช ไหว้พระนเรศวรตามธรรมเนียมที่ทำมาตั้งแต่เด็กๆการเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เพราะว่าไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวด้วย คนบนรถจึงไม่แออัด ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก ตลอดข้างทางก็มีวิวทิวทัศน์ให้ได้ดื่มด่ำไปตลอดทาง เรียกได้ว่าเป็นการชาร์จแบตอย่างดี ก่อนจะกลับมาต่อสู้กับความเครียดในตัวเมือง
            เรรามาถึงท่ารถที่ตัวเมืองของจังหวัด และก็ต้องต่อรถประจำทางอีกหน่อยจึงจะไปถึงที่หมาย คนแถวนั้นพูดภาษาเหนือกันหมด ผมแค่พอฟังออกบ้าง จึงยกหน้าที่ให้เพื่อนผมเป็นคนเจรจาทั้งหมด เรานั่งรถประจำทางมาไม่ถึงชั่วโมง ก็มาถึงที่หมาย อากาศเย็นสดชื่นทำให้การนั่งรถดูไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสักเท่าไหร่
            ทีศาลาริมทางตรงหน้าตลาดนั้นมีชายอายุราวๆ 50 ปี ยืนรอพวกผมอยู่ เมื่อถามไถ่ก็รู้ว่าเป็นลุงของเพื่อนขอเรียกว่า ลุงผันนะครับ ผมไหว้ทักทายลุงผัน ลุงผันเป็นคนคุยง่าย ใจดี เรานั่งท้ายกระบะปีกไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงบ้านญาติของเพื่อนผม
            บ้านนั้นเป็นบ้านไม้ยกไต้ถุนสูง ข้างล่างถึงจะใช้ในการทำอาหาร และของจักสานทั่วๆไป แต่ก็ทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย รอบๆบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต็มไปหมด ผมรู้สึกดีมาก และอีกอย่างที่น่าประทับใจก็คือ ในละแวกนั้นบ้านแต่ละหลังจะอยู่ค่อนข้างใกล้กัน แต่ไม่มีรั้วกั้น เพราะอยู่กันเหมือนเครือญาติมาตั้งแต่สมัยก่อน ไว้ใจกัน ช่วยกันดูแลบ้าน
            เมื่อเก็บข้าวของเส็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับเพื่อนก็ไปนั่งกินลมชมวิวกันตามที่คิดไว้แต่แรก เรานั่งคุยนั่งเล่นกันได้สักพักนึงก็ได้ยินเสียงนกร้องแปลกๆดังมาจากไกลๆ ผมคุ้นเคยกับเสียงนกนี้ และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของมันก็มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แม้จะไม่ช่ทุกครั้ง แต่ก็บ่อยครั้งที่เสียงร้องของมันเป็นเหมือนลางบอกเหตุบางอย่าง
            เวลาล่วงเลยไปจนบายแก่ๆ ลุงผันเดินอย่างรีบร้อนมาที่พวกผมนั่งอยู่แล้วก็บอกกับเพื่อนผมให้รีบกลับบ้าน ยายข้างบ้าน เหมือนจะไม่ไหวแล้ว
            ผมเดินตามเพื่อนมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงบ้านก็เห็นว่าบ้านหลังหนึ่งที่ถัดไปจากบ้านเพื่อนผมเล็กน้อยนั้นมีคนมุงอยู่เต็มไปหมด เพื่อนบอกว่าเป็นญาติๆกันหมดนี่แหละ เห็นว่ายายแกป่วยมานาน อายุก็เยอะแล้ว สงสัยรอบนี้จะไม่ไหวจริงๆ
            เพื่อนผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน เพราะลุงผันแกเรียกให้เข้าไป ผมไม่ใช่ญาติจึงรออยู่ด้านนอก แต่ก็ใกล้จนได้ยิน และเห็นถึงสถานการณ์ข้างในว่าเป็นอย่างไรบ้าง
            ที่ด้านในมีคุณยายคนนึงนอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่คาดว่าคงจะซื้อกันมาเอง ที่รอบๆเตียงนั้นมีญาติหลากหลายช่วงอายุยืนล้อมรอบกันด้วยท่าทางเศร้าสร้อย เด็กตัวเล็กๆร้องไห้งอแง เหมือนรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
            คุณยายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูไม่ค่อยมีแรง ญาติเรียกกันเท่าไหร่ ก็ทำได้แค่หันไปตามเสียงนั้น ไม่ได้พูดคุยหรือโต้ตอบอะไรกลับไป นับว่าเป็นภาพที่สะเทือนใจสำหรับคนนอกอย่างผมพอสมควร ผมได้แต่เฝ้ามองอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น
            ที่ข้างๆเตียงของคุณยาย มีหญิงสูงวัยอีกคนหนึ่ง นั่งกุมมืออยู่ข้างๆ แล้วก็พูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด ผมได้ยินไม่ถนัดนัก จงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดนึงเพื่อให้ได้ยินในสิ่งที่คุณยายพํด
‘โอย ยาย จะไปแล้วเหรอ ทำไมทิ้งกันไปอย่างนั้นล่ะ ดูซิลูกหลานเสียใจร้องไห้กันหมดแล้ว ไม่สงสารเขาเหรอ บาปนะ ทำคนอื่นเสียจ อยู่ก่อนสิ อยู่ต่ออีกหน่อย อย่าพึ่งรีบไปไหน’
            ผมไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี การอาลัยอาวรณ์นั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และมันก็เกิดขึ้นได้กับทุกๆคน แต่บางครั้งเราก็ไม่ควรจะพูดอะไรแบบนี้ ด้วยความขัดข้องในใจ ผมจึงฟังต่ออีก
‘จะรีบไปไหน อยู่ต่อก่อนสิ ตายไปเป็นผี มันกินข้าวไม่ได้นะ มันทรมาน อยู่ให้ลูกหลานมันดูแลก่อน อย่าทำให้เขาเสียงใจสิ เป็นบาปนะ ตายไปตกนรกแน่ๆ อยู่ให้หลานมันดีใจก่อน’
            ผมทนฟังได้เท่านี้ก็เดินออกมาจนไม่ได้ยินเสียงของยายคนนั้นอีก ผมไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นแล้วจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่ามันไม่ดี มันทำให้เขาหนักใจ แล้วก็รู้สึกแย่ ผมนั่งรอที่ข้างนอกอย่างเงียบๆ จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มทะยอย เดินกันออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยท่าทางเศร้าๆ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีวันมันเกิดอะไรขึ้น
            และในคืนนั้นเองก็เป็นหน้าที่ของลูกหลานในระแวกบ้านต้องช่วยกันเตรียมข้าวของ เตรียมงานเตรียมสถานที่ ทำให้อะไรๆค่อนข้างวุ่นวาย เพื่อนผมก็ต้องช่วยเขาเหมือนกัน ทำให้เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่
            ตามประเพณีของคนเหนือในบางพื้นที่จะเลือกตั้งศพไว้ที่บ้าน ซ่งผมก็ไม่ได้รู้ลึกถึงธรรมเนียบนี้เท่าไหร่นัก ผู้คนในหมู่บ้านต่างมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผมก็เหนื่อยไปกับเขาด้วยเพราะโดนจับไปอยู่ทำกับข้าวในครัวซึ่งต้องทำเป็นข้าวหม้อแกงหม้อ เผาผลาญแรงดีเหลือเกิน
            เมื่อพิธีทางศาสนาเสร็จไป แขกที่มาร่วมงานก็กลับไปจนหมด เหลือแต่ญาติๆที่บ้านใกล้กันอยู่ช่วยกันเก็บของรอบดึก ผมช่วยเพื่อนกวาดบ้าน เก็บข้าวของอยู่ๆ ก็มีคุณลุงอีกคนนึงเดินเข้ามาในบ้าน ผมจำได้ว่าเป็นญาติกับคุณยายที่เสียชีวิต และข้างหลังนั้นที่เดินตามมาติดๆกันก็เป็นชายวัยกลางคน แต่งตัวบ่งบอกถึงสถานะได้อย่างชัดเจน
            ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ใส่ชุดขาวทั้งตัวคล้ายผู้ปฏิบัติธรรม แต่ต่างกันตรงที่ย่ามใบใหญ่ที่สะพายมา สร้อยประคำเม็ดใหญ่ ไม้เท้ารูปงู พร้อมกับกลิ่นยาเส้นที่ฉุนตลบอบอวน เขามองมาที่ผมด้วยสาตาแข็งๆ เหมือนสงสัย ผมทำเป็นไม่สนใจ แม้ว่าในใจจะนึกสงสัยเขาก็ตาม
            ญาติๆที่กำลังทำงานกันอยู่ในครัวนั้นรีบเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก ‘ปู่ใหญ่มาแล้ว’
            ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะได้รับความเคารพพอสมควรจากท่าทางและคำพูดที่ใช้คุณกัน มยืนมองอยู่ห่างๆครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็เดินไปที่หน้าโลง เอาไม้เท้าในมือชี้ไปที่โรงแล้วก็สวดอะไรบางอย่าง พร้อมๆกับที่ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็วาดไม้เท้าวนไปวนมา อยู่พักใหญ่ๆ ผมยืนดูอยู่ตลอด โดยที่ชายคนนั้นก็เหลือบตามามองผมอยู่เป็นระยะๆ
            เมื่อสวดเสร็จแล้วเขาก็เอามือล้วงเข้าไปในย่าม เอาของบางอย่างออกมาเป็นผงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไรแล้วก็โปรยไปตรงโลง ก่อนที่ชายคนนั้นจะกลับไปเขายังคงมองมาที่ผมอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
            ผมเดินออกไปทางข้างบ้าน โดยกะว่าจะเอาขยะไปทิ้งเฉยๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตุว่าชายคนนั้นเดินเข้ามาจากข้างหลังตอนไหน เขาเดินมาใกล้ๆและพดกับผมสั้นๆก่อนที่เขาจะจากไป
‘ อย่ายุ่ง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ’
            ผมยังไม่ได้ทันตอบอะไรเขาก็เดินไปเสียแล้ว ผมเริ่มกังวล แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านเจอเพื่อนพอดี เพื่อนก็ถามผมว่าเขาทำอะไร ผมก็บอกผมไม่รู้ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ลองไปถามญาติดู
            แล้วก็ได้ความว่าสิ่งที่เขาทำคือการ ผูกมัดดวงวิญญาณไว้ ไม่ให้ไปเกิด ให้อยู่กับบ้าน กับญาติ เพื่อไว้ดูแลคนในบ้าน ผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอจังๆแบบนี้สักที แต่ก็คิดได้แค่ว่า อย่าไปยุ่งเลย มันเรื่องของเขา
            คืนนั้นพวกผมต้องนอนเฝ้าศพโดยไม่ตั้งใจ เพราะว่าบ้านงานไม่มีคน เลยต้องอาศัยลูกๆหลานๆ ช่วยๆกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับนอนหน้าโลงนะครับ ก็นอนในห้อง แต่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผลัดกันไปดูความเรียบร้อย ต่อธูป
            ปกติผมเป็นคนนอนดึกมาก พอไปอยู่แบบนี้ที่คนเขานอนไวกัน ผมก็เลยนอนไม่หลับ หยิบโทรศัพท์มาเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเวลาเลยไปดึกมาก
            ผมได้ยินเสียงแปลกๆบางอย่างลอยมาเบาๆ เมื่อตั้งใจฟังก็รู้ได้ว่าเป็นเหมือนเสียงครางในลำคอ เหมือนคนร้องไห้ แล้วก็มีเสียงเหมือนคนเดินอยู่ข้างนอกประตูห้อง ซึ่งเสียงนั้นมาจากทางที่ตั้งโลงเอาไว้
            ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าก็คงไม่มีอะไรเป็นเรื่องปกติ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น เสียงเท้าเดินดังไปทั่วบ้านตามทางเดิน แล้วมก็ได้ยินเสียง
‘ก๊อก ก๊อก’ ดังมาจากทางห้องนอนอื่น
           เสียงเคาะนั้นดังไล่มาเรื่อยๆ พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่ไล่มาตามทาง เหมือนกับว่ามันไล่ไปตามห้องทุกห้อง แล้วในที่สุดก็ดังมาถึงห้องที่ผมนอนอยู่ เสียงฝีเท้าค่อยๆใกล้เข้ามา จนฟังได้ชัดว่าเดินแบบลากเท้า เหมือนคนที่เดินไม่ถนัด
‘ก๊อก ก๊อก’
เสียงเคาะที่ดังเบาๆดังขึ้นที่หน้าประตู
‘อือ...’
เสียงครางในลำคอเหมือนคนร้องไห้แม้จะเบา แต่ก็โหยหวน
‘ ขอโทษ... ’
.......................................................................
สวัสดีปีใหม่ครับ ไม่ได้มาลงนานเลย เก็บของย้ายที่วุ่นๆครับ ตอนนี้อยู่ที่ กทม แล้ว
ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปล.2 เรื่องนี้ยาวครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่