ในความฝัน
“เฮ้ เธออยู่ไหนน่ะ”
ชายหนุ่มเรียกหาหญิงสาวหลังจากเดินไปมาทั่วทุ่งหญ้าอยู่ครู่ใหญ่ๆ ที่นี่เป็นท้องทุ่งเขียวขจีที่แสนงดงาม ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา สภาพอากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ลมเย็นเอื่อยพัดผ่านให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลา ไม่มีแม้วันเดียวสำหรับที่นี่ที่ท้องฟ้าจะมืดครึ้ม
มันเป็นที่ที่ถูกสร้างมาเพื่อเขาและเธอเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้มาเหยียบผืนดินแห่งนี้ และสุขใจทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ
ที่ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้ ทุกวันที่มาถึงเขาจะเห็นร่างเล็กบอบบางนั่งรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ แสนอบอุ่นที่ส่งมาเป็นยิ่งกว่าคำต้อนรับคำไหนๆ
ใต้ร่มเงาที่ให้ความเย็นสบายทั้งกายและใจทุกครั้งที่ได้พักพิง กิ่งไม้ไหวเอน เสียงใบไม้เสียดสีกันตามแรงลมราวกันว่าพวกมันพร้อมใจกันมาต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเขาด้วยความปีติยินดี
ทุกครั้งมันเป็นอย่างนั้น แต่ทว่าวันนี้กลับมีอะไรที่แตกต่างออกไป
ชายหนุ่มยังคงไม่พบหญิงสาวคนเดิมทั้งๆ ที่ปกติเธอจะต้องมาคอยเขาอยู่ก่อนเสมอ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“นี่ ฉันอยู่นี่”
เสียงเล็กสดใสที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆ กับที่ต้นแขนของเขาถูกสะกิดโดยมือน้อยๆ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วพอๆ กับความดีใจที่พลุ่งพล่านออกมาจากจิตใจ ใบหน้าทั้งสองอยู่ชิดจนเกือบจะชนกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏขึ้นแทนความวิตกกังวลเมื่อสักครู่แทบจะในทันทีที่ได้เห็นใบหน้ากลมของเธอ หญิงสาวยิ้มกว้างตอบรับอาการดีใจของชายหนุ่ม
“ทำไมวันนี้เธอมาช้าจัง”
เขาถามเธอทั้งๆ ที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากได้คำตอบแต่อย่างใด เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาสดใสกลมโตของหญิงสาวกลับฉายแววหม่นหมองออกมา และเสี้ยววินาทีต่อมาจิตใจที่วูบไหวก็ถูกปรับให้กลับสู่สภาวะปกติ
“วันนี้เธออยากไปที่ไหนล่ะ”
เธอแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย ใช้น้ำเสียงสดใสกลบความประหวั่นในใจทั้งหมด
“แล้วแต่เธอเลย เราไปที่ไหนก็ได้ที่มีเธอ ว่าแต่เธอเองล่ะ อยากจะพาเราไปที่ไหน”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางคิดไปถึงสถานที่ๆ หญิงสาวกำลังจะพาไป เธอใช้นิ้วชี้แตะหน้าผากเบาๆ เป็นเชิงครุ่นคิดหน่อยหนึ่งก่อนจะชี้นิ้วขึ้นฟ้าเหมือนนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นเอาที่นี่ก็แล้วกันนะ”
“ที่ไหนเหรอ”
“เธอไม่เคยไป ไม่รู้จักหรอก คอยดูเองเองก็แล้วกัน”
พูดจบหญิงสาวก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ทุ่งหญ้าเขียวขจีเมื่อสักครู่มีบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมา สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีชมพู ดอกไม้กำลังแข่งกันเบียดแทรกพื้นดินขึ้นมาทีละดอก ทีละดอก จนเต็มทุ่งกลับทับสีเขียวของหญ้าไปหมด
ดวงอาทิตย์ที่แต่เดิมลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ากลับคล้อยต่ำลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสีแดงสด มันทอแสงสีส้มเย็นตาอยู่ที่ปลายขอบฟ้า
แล้วกระท่อมไม้หลังน้อยก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินโดยมีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง เงาจากกระท่อมทอดผ่านทุ่งดอกไม้มายังคนทั้งสองราวกับต้องการจะเชื้อเชิญแขกทั้งคู่ให้เข้าไปเยือน
ชายหนุ่มมองบรรยากาศสุดพิเศษตรงหน้า เขาฉีกยิ้มอย่างลืมตัว ใยหน้าแสดงอาการตื่นตากับสิ่งที่ได้เห็นอย่างไม่มีปิดบัง หญิงสาวที่ชำเลืองมองอยู่เองก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ที่ได้เห็นใบหน้าของเขา
ท่าทางดีใจเมื่อได้เจอสิ่งที่ชอบ เหมือนกับเด็กๆ ที่ได้ซื้อของเล่นที่อยากได้ เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ท่าทางแบบนี้ที่ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ ท่าทางที่ไม่ว่าจะได้ดูกี่ครั้งก็ทำให้เธอยิ้มตามออกมาได้
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ”
เขาถามในขณะที่สายตายังไม่ละกับภาพงดงามตรงหน้า
“มาสิ”
เธอจับมือของเขาหลวมๆ จูงเดินเข้าไปในทุ่งดอกไม้ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรับกลิ่นหอมของดิน ดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า และอากาศบริสุทธิ์
“ลองดูสิ”
เธอหันไปมองเขา แนะนำให้ลองทำตาม
“หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอด รับฟังเสียงธรรมชาติรอบกาย เธอรู้มั้ย ดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า ธรรมชาติทุกๆ อย่างล้วนมีชีวิตจิตใจ พวกเขาพยายามคุย พยายามสื่อสารกับเราอยู่ เพียงแต่เราไม่เคยเปิดใจรับฟังพวกเขาเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะหลับตาลงและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างว่าง่าย ทุกๆ เสียงค่อยๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสงัด จิตใจค่อยๆ สงบลงจนคล้ายหยุดนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็น แล้วบางสิ่งก็เกิดขึ้น
เขาสัมผัสได้ถึงแสงแดดที่กระทบผิวกาย สายลมเอื่อยที่กำลังไล้ผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เสียงกระซิบจากสรรพสิ่งรอบกายค่อยๆ ดังขึ้นทีละน้อย
เสียงแมลงที่กำลังประสานเสียงขับกล่อมบทเพลง เสียงท่วงทำนองดนตรีที่บรรเลงโดยใบไม้ใบหญ้า สายลมที่พัดเป็นระลอกคอยให้จังหวะ มันชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาตลอดชีวิตของเขา
“เธอรู้สึกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันรับรู้มันได้แล้ว ไม่น่าเชื่อจริงๆ ทั้งๆ ที่มันมหัศจรรย์และน่ารื่นรมย์ขนาดนี้แต่ทำไมฉันถึงกลับไม่เคยสัมผัสมันได้มาก่อน”
หญิงสาวยิ้มอย่างพึงใจในความสำเร็จของชายหนุ่ม เธอละสายตามองไปยังดวงอาทิตย์เบื้องหน้า ปลดปล่อยอารมณ์ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
“ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ในความฝันของฉันเอง”
เขามองมายังเธอ ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะเล่า
“ฉันเคยฝันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า เมื่อโตขึ้นฉันจะสร้างครอบครัวในสถานที่แบบนี้กับคนที่ฉันรัก สถานที่ๆ เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ พวกเราจะปลูกบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งรายล้อมไปด้วยความอบอุ่น ทุกๆ เย็นเราจะมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่ใต้ร่มไม้และรอเวลาที่จะได้นับดาวด้วยกันเมื่อแสงดาวปรากฏขึ้นมาแทน”
หญิงสาวก้มหน้าลง จังหวะการเล่าสะดุดลงไปเล็กน้อย ความเศร้าเจือจางปรากฏในแววตาส่งผลให้รอยยิ้มหม่นหมองลงไปถนัดตา
“หากแต่ความฝันมันก็คงจะเป็นได้แค่ความฝันล่ะมั้ง ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้ ใช่แล้ว มันไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้อีกแล้ว”
เขามองใบหน้าเธอ ตั้งใจฟังทุกคำพูดของเธอ และเข้าใจทุกคำพูดนั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำอะไรเพื่อปลอบใจเธอได้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มอย่างผิดธรรมชาติและพูดออกไป
“ได้สิ เธอทำได้ ฉันจะมาหาเธอที่นี่ทุกๆ วันเหมือนที่ผ่านๆ มา และเราทั้งคู่ก็จะอยู่ด้วยกันที่ทุ่งดอกไม้แห่งนี้ตลอดไปอย่างที่เธอฝันไว้ไง”
ดวงตาของเธอเศร้าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เธอเอ่ยถามชายหนุ่ม
“เธอจำได้มั้ย วันนี้ที่เธอมาถึงที่นี่เธอพูดว่าอะไร”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจคำถาม เขาพยายามคิดหาคำพูดอะไรก็ได้ออกมาเพื่อโต้ตอบไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนนิ่ง
“เธอพูดว่า ทำไมวันนี้ฉันมาช้า”
“แล้ว แล้วมันยังไงเหรอ”
เขาถามหลังจากที่เธอเฉลยคำตอบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี
“ที่เธอถามแบบนั้น ที่เป็นแบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอกำลังจะลืมฉันไปแล้วยังไงล่ะ”
“เธอหมายความว่ายังไง”
ความงุนงงมีมากขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม เขากำลังสับสนและยิ่งไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังอธิบาย
“ความจริงแล้ววันนี้ฉันรอเธออยู่ที่เดิมตั้งแต่แรกแล้ว มันก็เหมือนกับทุกๆ วันที่เธอมาหาฉันที่นี่ ในขณะที่เธอกำลังเดินตามหาฉันไปทั่ว ฉันเองก็กำลังร้องเรียกเธออยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพียงแต่ว่าในวันนี้เธอกลับไม่ได้ยินเสียงของฉันเหมือนดังเช่นวันก่อนๆ แล้ว มันก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มฝืนยิ้มหลังจากได้ฟังคำอธิบาย ในใจเกิดอาการต่อต้าน เขาไม่เชื่อและไม่ยอมรับคำอธิบายนั้นของหญิงสาว
“ไม่จริงหรอก มันจะเป็นแบบที่เธอบอกได้ยังไง ฉันจะลืมเธอไปได้ยังไง ฮะๆ อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้สิ”
เขาส่ายหน้าและฝืนหัวเราะออกมาอย่างแข็งกระด้าง เธอมองใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นออกมาจากจิตใจ
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น มันคือเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า คำพูดของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานเธอก็จะลืมฉันไป เหมือนกับที่ตอนนี้เธอลืมชื่อของฉันไปแล้ว”
คำพูดของหญิงสาวสร้างความประหวั่นขึ้นในจิตใจชายหนุ่มทันที ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่เคยเรียกชื่อของเธอที่อยู่ตรงหน้ามานานแล้ว แม้จนตอนนี้ที่เขาได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว แม้จะพยายามนึกยังไงก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
แม้หลักฐานจะปรากฏขึ้นชัดเจนขนาดนี้ แถมยังเป็นจากตัวของชายหนุ่มเองเสียอีก แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่ดี เขาดึงร่างเธอเข้ามากอด ความกลัวอย่างถึงที่สุดกำลังเข้าคุกคามในจิตใจ
“ไม่หรอก ฉันจะไม่ลืมเธอ จริงสิ ถ้าหากว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเราออกไปจากที่นี่ด้วยกันดีมั้ย แล้วเราจะไปสร้างครอบครัวอย่างที่เธอต้องการกัน”
หญิงสาวยังคงเศร้าทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่
“เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้ สำหรับที่นี่ฉันยังคงมีตัวตน แต่สำหรับในโลกของเธอ ในโลกแห่งความเป็นจริง ฉันไม่ได้มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
เขาโอบกอดเธอแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิมเหมือนกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าจะหายไป ทั้งใบหน้า น้ำเสียง ความรู้สึก ทุกสิ่งที่เป็นเธอที่อยู่ในความทรงจำของเขา
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะถ้าหากเธอจะลืมฉัน อย่ากังวลหรืออย่าได้กลัวอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่กาลเวลาจะเยียวยาไม่ได้ และเช่นกันที่ไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่ถาวรตลอดไป”
หญิงสาวปลอบใจโดยใช้น้ำเสียงที่พยายามปรับให้ฟังดูร่าเริงที่สุด แต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยราวกับสิ่งที่เธอพูดไปไม่ได้เข้าหูเขาเลย
“นี่ นี่เป็นเรื่องดีนะ เพราะอย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลาที่เธอจะได้เริ่มก้าวเดินใหม่เสียทียังไงล่ะ”
หญิงสาวผละตัวออกจากอกของชายหนุ่มเล็กน้อย มือยกขึ้นแตะที่หน้าอกของซ้ายของเขา
“ทิ้งอดีตของเธอและฉันไว้ในนี้เถอะนะ ฉันไม่ได้จากเธอไปไหนหรอก ฉันเพียงแค่กลับไปสู่ธรรมชาติ และธรรมชาติก็อยู่รอบๆ เธอ หากวันไหนที่เธอเหนื่อยล้า วันไหนที่เธอต้องการกำลังใจ เธอลองหลับตาและฟังเสียงของธรรมชาติดูสิ แล้วเธอก็จะพบว่าฉันยังอยู่กับเธอตลอดเวลา”
ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกที่ทุกสิ่งกำลังจะจบลง มือแข็งแรงรั้งเธอเข้ามาแนบอกที่สั่นสะท้านอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวั่นไหว
“ถ้าหากมันจะต้องเป็นอย่างนั้น เวลาที่เหลือขอให้ฉันได้กอดเธออย่างนี้ไปเรื่อยๆ เถอะนะ ก่อนที่พรุ่งนี้จะมาแยกพวกเราออกจากกัน ก่อนที่เราทั้งสองจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว”
เธอซบหน้าลง น้ำตารินไหลออกจากดวงตาของคนทั้งสอง
“ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อตัวเองและเพื่อฉันนะ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังลอดออกจากปากของหญิงสาว ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้ความเงียบเชียบเป็นผู้บรรยายความรู้สึกในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีส้มหม่นแลดูเศร้าสร้อย เสียงลมและเสียงเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้าเสมือนพร้อมใจบรรเลงบทเพลงแห่งความอาดูร ทุกสิ่งค่อยๆ ดับมืดลง ภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนราง สิ่งรอบกายเลื่อนลอยและค่อยๆ ถอยห่างออกไป
......................................
ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนอน น้ำอุ่นๆ เรื้ออยู่ที่ขอบตา มือและแขนยังคงโอบรั้งอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
ดวงอาทิตย์ภายนอกช่องหน้าต่างทอแสงแรกของวันออกมาเพื่อให้ความสว่างแก่พื้นโลก จิตใจวูบไหวอย่างประหลาด เขารู้สึกเหมือนได้พบเจอและได้ลืมเลือนสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างกับตัวของเขาไปเสียแล้ว
“ฉันจะไม่ลืมเธอ”
เขาพึมพำคำพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่ามันสื่อถึงอะไร เหมือนกับว่ามันมีความสำคัญมากในความรู้สึกแต่ก็ไม่อาจรู้ความหมายที่แท้จริงของมันได้
เขารับรู้เพียงมันมีความหมายมากเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มหลับตาสูดหายใจลึก เสียงบางอย่างเหมือนบรรเลงดังแว่วผ่านกาลเวลามาจากที่ไกลแสนไกล รู้สึกเหมือนร่างกายถูกโอบอุ้มไปด้วยไออุ่นบางๆ มันปลอดโปร่งและไม่บีบรัดเหมือนกับที่ผ่านๆ มา
มือเกาะกุมอยู่ที่อกข้างซ้าย รอยยิ้มสงบปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อตัวเองและเพื่อฉันนะ”
ในความฝัน
“เฮ้ เธออยู่ไหนน่ะ”
ชายหนุ่มเรียกหาหญิงสาวหลังจากเดินไปมาทั่วทุ่งหญ้าอยู่ครู่ใหญ่ๆ ที่นี่เป็นท้องทุ่งเขียวขจีที่แสนงดงาม ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา สภาพอากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ลมเย็นเอื่อยพัดผ่านให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลา ไม่มีแม้วันเดียวสำหรับที่นี่ที่ท้องฟ้าจะมืดครึ้ม
มันเป็นที่ที่ถูกสร้างมาเพื่อเขาและเธอเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้มาเหยียบผืนดินแห่งนี้ และสุขใจทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ
ที่ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้ ทุกวันที่มาถึงเขาจะเห็นร่างเล็กบอบบางนั่งรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ แสนอบอุ่นที่ส่งมาเป็นยิ่งกว่าคำต้อนรับคำไหนๆ
ใต้ร่มเงาที่ให้ความเย็นสบายทั้งกายและใจทุกครั้งที่ได้พักพิง กิ่งไม้ไหวเอน เสียงใบไม้เสียดสีกันตามแรงลมราวกันว่าพวกมันพร้อมใจกันมาต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเขาด้วยความปีติยินดี
ทุกครั้งมันเป็นอย่างนั้น แต่ทว่าวันนี้กลับมีอะไรที่แตกต่างออกไป
ชายหนุ่มยังคงไม่พบหญิงสาวคนเดิมทั้งๆ ที่ปกติเธอจะต้องมาคอยเขาอยู่ก่อนเสมอ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“นี่ ฉันอยู่นี่”
เสียงเล็กสดใสที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมๆ กับที่ต้นแขนของเขาถูกสะกิดโดยมือน้อยๆ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วพอๆ กับความดีใจที่พลุ่งพล่านออกมาจากจิตใจ ใบหน้าทั้งสองอยู่ชิดจนเกือบจะชนกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏขึ้นแทนความวิตกกังวลเมื่อสักครู่แทบจะในทันทีที่ได้เห็นใบหน้ากลมของเธอ หญิงสาวยิ้มกว้างตอบรับอาการดีใจของชายหนุ่ม
“ทำไมวันนี้เธอมาช้าจัง”
เขาถามเธอทั้งๆ ที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากได้คำตอบแต่อย่างใด เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาสดใสกลมโตของหญิงสาวกลับฉายแววหม่นหมองออกมา และเสี้ยววินาทีต่อมาจิตใจที่วูบไหวก็ถูกปรับให้กลับสู่สภาวะปกติ
“วันนี้เธออยากไปที่ไหนล่ะ”
เธอแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย ใช้น้ำเสียงสดใสกลบความประหวั่นในใจทั้งหมด
“แล้วแต่เธอเลย เราไปที่ไหนก็ได้ที่มีเธอ ว่าแต่เธอเองล่ะ อยากจะพาเราไปที่ไหน”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางคิดไปถึงสถานที่ๆ หญิงสาวกำลังจะพาไป เธอใช้นิ้วชี้แตะหน้าผากเบาๆ เป็นเชิงครุ่นคิดหน่อยหนึ่งก่อนจะชี้นิ้วขึ้นฟ้าเหมือนนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นเอาที่นี่ก็แล้วกันนะ”
“ที่ไหนเหรอ”
“เธอไม่เคยไป ไม่รู้จักหรอก คอยดูเองเองก็แล้วกัน”
พูดจบหญิงสาวก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ทุ่งหญ้าเขียวขจีเมื่อสักครู่มีบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมา สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีชมพู ดอกไม้กำลังแข่งกันเบียดแทรกพื้นดินขึ้นมาทีละดอก ทีละดอก จนเต็มทุ่งกลับทับสีเขียวของหญ้าไปหมด
ดวงอาทิตย์ที่แต่เดิมลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ากลับคล้อยต่ำลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสีแดงสด มันทอแสงสีส้มเย็นตาอยู่ที่ปลายขอบฟ้า
แล้วกระท่อมไม้หลังน้อยก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินโดยมีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง เงาจากกระท่อมทอดผ่านทุ่งดอกไม้มายังคนทั้งสองราวกับต้องการจะเชื้อเชิญแขกทั้งคู่ให้เข้าไปเยือน
ชายหนุ่มมองบรรยากาศสุดพิเศษตรงหน้า เขาฉีกยิ้มอย่างลืมตัว ใยหน้าแสดงอาการตื่นตากับสิ่งที่ได้เห็นอย่างไม่มีปิดบัง หญิงสาวที่ชำเลืองมองอยู่เองก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ที่ได้เห็นใบหน้าของเขา
ท่าทางดีใจเมื่อได้เจอสิ่งที่ชอบ เหมือนกับเด็กๆ ที่ได้ซื้อของเล่นที่อยากได้ เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ท่าทางแบบนี้ที่ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ ท่าทางที่ไม่ว่าจะได้ดูกี่ครั้งก็ทำให้เธอยิ้มตามออกมาได้
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ”
เขาถามในขณะที่สายตายังไม่ละกับภาพงดงามตรงหน้า
“มาสิ”
เธอจับมือของเขาหลวมๆ จูงเดินเข้าไปในทุ่งดอกไม้ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรับกลิ่นหอมของดิน ดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า และอากาศบริสุทธิ์
“ลองดูสิ”
เธอหันไปมองเขา แนะนำให้ลองทำตาม
“หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอด รับฟังเสียงธรรมชาติรอบกาย เธอรู้มั้ย ดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า ธรรมชาติทุกๆ อย่างล้วนมีชีวิตจิตใจ พวกเขาพยายามคุย พยายามสื่อสารกับเราอยู่ เพียงแต่เราไม่เคยเปิดใจรับฟังพวกเขาเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะหลับตาลงและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างว่าง่าย ทุกๆ เสียงค่อยๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสงัด จิตใจค่อยๆ สงบลงจนคล้ายหยุดนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็น แล้วบางสิ่งก็เกิดขึ้น
เขาสัมผัสได้ถึงแสงแดดที่กระทบผิวกาย สายลมเอื่อยที่กำลังไล้ผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เสียงกระซิบจากสรรพสิ่งรอบกายค่อยๆ ดังขึ้นทีละน้อย
เสียงแมลงที่กำลังประสานเสียงขับกล่อมบทเพลง เสียงท่วงทำนองดนตรีที่บรรเลงโดยใบไม้ใบหญ้า สายลมที่พัดเป็นระลอกคอยให้จังหวะ มันชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาตลอดชีวิตของเขา
“เธอรู้สึกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันรับรู้มันได้แล้ว ไม่น่าเชื่อจริงๆ ทั้งๆ ที่มันมหัศจรรย์และน่ารื่นรมย์ขนาดนี้แต่ทำไมฉันถึงกลับไม่เคยสัมผัสมันได้มาก่อน”
หญิงสาวยิ้มอย่างพึงใจในความสำเร็จของชายหนุ่ม เธอละสายตามองไปยังดวงอาทิตย์เบื้องหน้า ปลดปล่อยอารมณ์ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
“ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ในความฝันของฉันเอง”
เขามองมายังเธอ ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะเล่า
“ฉันเคยฝันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า เมื่อโตขึ้นฉันจะสร้างครอบครัวในสถานที่แบบนี้กับคนที่ฉันรัก สถานที่ๆ เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ พวกเราจะปลูกบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งรายล้อมไปด้วยความอบอุ่น ทุกๆ เย็นเราจะมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่ใต้ร่มไม้และรอเวลาที่จะได้นับดาวด้วยกันเมื่อแสงดาวปรากฏขึ้นมาแทน”
หญิงสาวก้มหน้าลง จังหวะการเล่าสะดุดลงไปเล็กน้อย ความเศร้าเจือจางปรากฏในแววตาส่งผลให้รอยยิ้มหม่นหมองลงไปถนัดตา
“หากแต่ความฝันมันก็คงจะเป็นได้แค่ความฝันล่ะมั้ง ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้ ใช่แล้ว มันไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้อีกแล้ว”
เขามองใบหน้าเธอ ตั้งใจฟังทุกคำพูดของเธอ และเข้าใจทุกคำพูดนั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำอะไรเพื่อปลอบใจเธอได้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มอย่างผิดธรรมชาติและพูดออกไป
“ได้สิ เธอทำได้ ฉันจะมาหาเธอที่นี่ทุกๆ วันเหมือนที่ผ่านๆ มา และเราทั้งคู่ก็จะอยู่ด้วยกันที่ทุ่งดอกไม้แห่งนี้ตลอดไปอย่างที่เธอฝันไว้ไง”
ดวงตาของเธอเศร้าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เธอเอ่ยถามชายหนุ่ม
“เธอจำได้มั้ย วันนี้ที่เธอมาถึงที่นี่เธอพูดว่าอะไร”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจคำถาม เขาพยายามคิดหาคำพูดอะไรก็ได้ออกมาเพื่อโต้ตอบไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนนิ่ง
“เธอพูดว่า ทำไมวันนี้ฉันมาช้า”
“แล้ว แล้วมันยังไงเหรอ”
เขาถามหลังจากที่เธอเฉลยคำตอบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี
“ที่เธอถามแบบนั้น ที่เป็นแบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอกำลังจะลืมฉันไปแล้วยังไงล่ะ”
“เธอหมายความว่ายังไง”
ความงุนงงมีมากขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม เขากำลังสับสนและยิ่งไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังอธิบาย
“ความจริงแล้ววันนี้ฉันรอเธออยู่ที่เดิมตั้งแต่แรกแล้ว มันก็เหมือนกับทุกๆ วันที่เธอมาหาฉันที่นี่ ในขณะที่เธอกำลังเดินตามหาฉันไปทั่ว ฉันเองก็กำลังร้องเรียกเธออยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพียงแต่ว่าในวันนี้เธอกลับไม่ได้ยินเสียงของฉันเหมือนดังเช่นวันก่อนๆ แล้ว มันก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มฝืนยิ้มหลังจากได้ฟังคำอธิบาย ในใจเกิดอาการต่อต้าน เขาไม่เชื่อและไม่ยอมรับคำอธิบายนั้นของหญิงสาว
“ไม่จริงหรอก มันจะเป็นแบบที่เธอบอกได้ยังไง ฉันจะลืมเธอไปได้ยังไง ฮะๆ อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้สิ”
เขาส่ายหน้าและฝืนหัวเราะออกมาอย่างแข็งกระด้าง เธอมองใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นออกมาจากจิตใจ
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น มันคือเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า คำพูดของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานเธอก็จะลืมฉันไป เหมือนกับที่ตอนนี้เธอลืมชื่อของฉันไปแล้ว”
คำพูดของหญิงสาวสร้างความประหวั่นขึ้นในจิตใจชายหนุ่มทันที ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่เคยเรียกชื่อของเธอที่อยู่ตรงหน้ามานานแล้ว แม้จนตอนนี้ที่เขาได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว แม้จะพยายามนึกยังไงก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี
แม้หลักฐานจะปรากฏขึ้นชัดเจนขนาดนี้ แถมยังเป็นจากตัวของชายหนุ่มเองเสียอีก แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่ดี เขาดึงร่างเธอเข้ามากอด ความกลัวอย่างถึงที่สุดกำลังเข้าคุกคามในจิตใจ
“ไม่หรอก ฉันจะไม่ลืมเธอ จริงสิ ถ้าหากว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเราออกไปจากที่นี่ด้วยกันดีมั้ย แล้วเราจะไปสร้างครอบครัวอย่างที่เธอต้องการกัน”
หญิงสาวยังคงเศร้าทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่
“เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้ สำหรับที่นี่ฉันยังคงมีตัวตน แต่สำหรับในโลกของเธอ ในโลกแห่งความเป็นจริง ฉันไม่ได้มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
เขาโอบกอดเธอแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิมเหมือนกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าจะหายไป ทั้งใบหน้า น้ำเสียง ความรู้สึก ทุกสิ่งที่เป็นเธอที่อยู่ในความทรงจำของเขา
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะถ้าหากเธอจะลืมฉัน อย่ากังวลหรืออย่าได้กลัวอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรที่กาลเวลาจะเยียวยาไม่ได้ และเช่นกันที่ไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่ถาวรตลอดไป”
หญิงสาวปลอบใจโดยใช้น้ำเสียงที่พยายามปรับให้ฟังดูร่าเริงที่สุด แต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยราวกับสิ่งที่เธอพูดไปไม่ได้เข้าหูเขาเลย
“นี่ นี่เป็นเรื่องดีนะ เพราะอย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นเวลาที่เธอจะได้เริ่มก้าวเดินใหม่เสียทียังไงล่ะ”
หญิงสาวผละตัวออกจากอกของชายหนุ่มเล็กน้อย มือยกขึ้นแตะที่หน้าอกของซ้ายของเขา
“ทิ้งอดีตของเธอและฉันไว้ในนี้เถอะนะ ฉันไม่ได้จากเธอไปไหนหรอก ฉันเพียงแค่กลับไปสู่ธรรมชาติ และธรรมชาติก็อยู่รอบๆ เธอ หากวันไหนที่เธอเหนื่อยล้า วันไหนที่เธอต้องการกำลังใจ เธอลองหลับตาและฟังเสียงของธรรมชาติดูสิ แล้วเธอก็จะพบว่าฉันยังอยู่กับเธอตลอดเวลา”
ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกที่ทุกสิ่งกำลังจะจบลง มือแข็งแรงรั้งเธอเข้ามาแนบอกที่สั่นสะท้านอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวั่นไหว
“ถ้าหากมันจะต้องเป็นอย่างนั้น เวลาที่เหลือขอให้ฉันได้กอดเธออย่างนี้ไปเรื่อยๆ เถอะนะ ก่อนที่พรุ่งนี้จะมาแยกพวกเราออกจากกัน ก่อนที่เราทั้งสองจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว”
เธอซบหน้าลง น้ำตารินไหลออกจากดวงตาของคนทั้งสอง
“ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อตัวเองและเพื่อฉันนะ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังลอดออกจากปากของหญิงสาว ก่อนที่ทั้งคู่จะปล่อยให้ความเงียบเชียบเป็นผู้บรรยายความรู้สึกในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีส้มหม่นแลดูเศร้าสร้อย เสียงลมและเสียงเสียดสีของต้นไม้ใบหญ้าเสมือนพร้อมใจบรรเลงบทเพลงแห่งความอาดูร ทุกสิ่งค่อยๆ ดับมืดลง ภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนราง สิ่งรอบกายเลื่อนลอยและค่อยๆ ถอยห่างออกไป
......................................
ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนอน น้ำอุ่นๆ เรื้ออยู่ที่ขอบตา มือและแขนยังคงโอบรั้งอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
ดวงอาทิตย์ภายนอกช่องหน้าต่างทอแสงแรกของวันออกมาเพื่อให้ความสว่างแก่พื้นโลก จิตใจวูบไหวอย่างประหลาด เขารู้สึกเหมือนได้พบเจอและได้ลืมเลือนสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างกับตัวของเขาไปเสียแล้ว
“ฉันจะไม่ลืมเธอ”
เขาพึมพำคำพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่ามันสื่อถึงอะไร เหมือนกับว่ามันมีความสำคัญมากในความรู้สึกแต่ก็ไม่อาจรู้ความหมายที่แท้จริงของมันได้
เขารับรู้เพียงมันมีความหมายมากเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มหลับตาสูดหายใจลึก เสียงบางอย่างเหมือนบรรเลงดังแว่วผ่านกาลเวลามาจากที่ไกลแสนไกล รู้สึกเหมือนร่างกายถูกโอบอุ้มไปด้วยไออุ่นบางๆ มันปลอดโปร่งและไม่บีบรัดเหมือนกับที่ผ่านๆ มา
มือเกาะกุมอยู่ที่อกข้างซ้าย รอยยิ้มสงบปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อตัวเองและเพื่อฉันนะ”