ลานาง
แสงแรกวันใหม่กรีดผ่าขอบฟ้า เป็นสีรุ้งพุ่งพรายออกมาจากราชรถแห่งพระอาทิตย์ เริ่มต้นนุ่มนวลอ่อนโยน ไล้อาบผืนน้ำไพศาลให้เปลี่ยนจากมืดมิดระยิบระยับขึ้นเป็นเกล็ดเพชร ก่อนค่อยๆ ทรงพลังประภัสสรตามการควบเร่งอาชาของพระอรุณ สารถีแห่งองค์สุริยะ ปลุกสรรพสัตว์ใต้หล้าให้ตื่นจากนิทรารมณ์
ณ ริมสระอันไม่เคยเหือดแห้งแห่งนี้มีหน้าผาหินอ่อนสูงชันหลายร้อยวา สถานที่ตั้งพิมพ์พิมาน นครของเผ่าพันธุ์ผู้มีปีก เมืองซึ่งประชาชนสร้างบ้านเรือนจากการเจาะกำแพงผาเพื่อพำนัก สลักเป็นงานสถาปัตยกรรมแข็งแกร่งหากอ่อนหวาน ทั้งงดงามอลังการทั้งอัศจรรย์
เหนือพิมพ์พิมานขึ้นไปเป็นทุ่งหญ้า สายลมยามเช้าพัดผ่านยอดอ่อนสีเขียวปลิวไสว กลิ่นดินฉ่ำน้ำค้างหอมสดชื่นชวนเบิกบาน เสียงนกร้องแว่วหวานกังวานโดยรอบ ทุกอย่างเงียบสงบดำเนินไปตามครรลองปกติ
ทันใดนั้นกลางอากาศ ปรากฏร่างชายผู้หนึ่งกระโจนลงมาจากท้องฟ้า มือทั้งสองประคองสัตว์ปีกคล้ายนกรูปร่างประหลาดนัก ด้วยลำตัวของมันแม้มีปีกหางแต่ส่วนหัวกลับมีงวงงาคล้ายคชสาร เมื่อยืนมั่นคงบนพื้นแล้วชายผู้นี้ ก็ลูบกลางหลังมันเบาๆ ก้มลงกระซิบว่า “กาหลง เจ้าวิ่งเล่นไล่จับหนูอยู่แถวนี้ก่อนหนาเดี๋ยวข้ากลับมา”
แปร๋! เจ้าช้างน้อยมีปีกโกญจนาทรับคำสั่ง กวักปีกสะบัดงวงเหินปราดลงจากหัตถ์เจ้านายไปไม่รีรอ
บุรุษหนุ่มมองตามพาหนะคู่ใจที่เขาเสกย่อร่างมันไว้หายวับไปในกอหญ้า ก่อนหันกายออกเดินสู่ขอบหน้าผา เสาะหาบันไดหินแคบชันซึ่งมีเพียงอาคันตุกะเช่นเขาเท่านั้นใช้เดินลงไปชมศิลานครเบื้องล่าง ไม่ลืมใช้มนตร์เปลี่ยนใบหูคล้ายกวางของตนให้เป็นรูปทรงธรรมดา ด้วยไม่ต้องการผู้ใดสงสัยว่าเป็นลูกครึ่งอัปสรสีหะกับพญายักษ์จากแดนไกล
เดินเรื่อยๆ ตามไศลมรรคาครู่หนึ่งก็มาถึงย่านธุรกิจกลางเมือง ลานกว้างทรงกลมเบื้องหน้าคือวงเวียนใหญ่ มีไว้ให้ชาวเมืองนำรถม้ามาจอดรับส่งสินค้า กลางวงเวียนประดับด้วยรูปปั้นนางกินรีน้อยกลุ่มหนึ่ง ครั้นถูกน้ำพุโดยรอบพุ่งขึ้นราดรด ประติมากรรมก็สะท้อนแสงแดดยามเช้า ดูวับวาวราวกับพวกนางกำลังเริงระบำอยู่กลางสายน้ำดุจมีชีวิต เลี้ยวซ้ายที่นี่ ตลาดเช้าอันคับคั่งกลางเวิ้งถ้ำใหญ่ก็ปรากฏเสียงจอแจจากชาวเมืองผู้มาจับจ่ายสินค้าดังมาไม่ขาดสาย
รอบวงเวียนด้านนอกยังมีร้านค้าตั้งเรียงรายไปจนสุดริมผา ที่มีแขกพลุกพล่านมากสุดเห็นจะเป็นร้านชาร้อนลำดับสุดท้าย ชายหนุ่มมองดูลานกว้างซึ่งสลักขึ้นจากชะง่อนหินยื่นออกไปในอากาศแล้วใจหาย เพราะมันช่างดูเหมือนใบไม้ยักษ์ซึ่งยึดติดต้นไว้ด้วยก้านขนาดเล็ก และก้านดังกล่าวคือทางเข้าซึ่งเขานึกหวั่นใจทุกครั้งที่ต้องเหยียบย่าง ด้วยเกรงว่าร้านชาใบไม้อาจปลิดปลิวตามสายลมไปในที่สุด
เสียงคลื่นซัดหน้าผาเบื้องล่างฟังดูห่างไกล ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายกลิ่นชายิ่งหอมอบอวล
“อ้าว! ท่านอกิญจน์ มาถึงแต่เมื่อใดกันนี่ เชิญทางนี้เถิด เชิญ! เชิญ!” ทันทีที่กินนรเจ้าของร้านชาเห็นผู้มาเยือนก็เอ่ยทักเสียงดัง ทั้งรีบเหินไปเช็ดทำความสะอาดตั่งตัวหนึ่งต้อนรับชายหนุ่ม
การมาเยือนของอกิญจน์ครั้งนี้ดูเป็นที่สนใจของชาวเมืองเหมือนทุกครั้ง เขาชินเสียแล้วกับสายตาใคร่รู้ทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่านางกินรีซึ่งชี้ชวนกันหันมามองตลอดเวลา บ้างหัวร่อต่อกระซิกบ้างยกมือขึ้นทาบอก บ้างหลบซ่อนใบหน้าแดงก่ำ ทั้งหมดนี้คงมิใช่เพียงเพราะเขาไร้ปีกเช่นคนต่างถิ่นเป็นแน่
“หายหน้าหายตาไปนานเลยนะท่าน มาคราวนี้มีสิ่งใดมาค้าขายรึ”
“ข้าก็มีเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ป้องกันภัยจากมนตร์ดำมาจำหน่ายอีกเช่นเคย” อกิญจน์พูดจบก็หงายมือ ยื่นกุณฑลทองประดับมุกให้ผู้ถามดู “หากมีผู้ให้ราคาถูกใจก็อาจขาย” เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยว่าเหตุใดจึงชอบมาเมืองนี้เขาจึงต้องยกการค้าขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
เจ้าของร้านชาเมื่อวางชุดอาหารเช้าลงบนตั่งเสร็จก็หยิบตุ้มหูคู่นั้นขึ้นส่องพิจารณากับแสงอาทิตย์ กล่าวว่าจะเป็นธุระหาผู้ซึ่งสามารถจ่ายราคางามให้ดูจากข้อเสนอก็รู้ว่าคงมีส่วนได้เสียกับการค้าครั้งนี้อยู่
“ท่านจะพักกี่คืนรึ ข้าจะได้จัดเตรียมที่พักให้” ผู้มีปีกถามต่อ
“สักสองสามคืน หรืออาจอยู่จนกว่าจะขายสินค้าได้” เสียงราบเรียบตอบคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องนี้นัก
หลังเจ้าของร้านจากไป อกิญจน์ก็นั่งลงบนตั่งซึ่งสามารถมองไปยังตลาดสดได้ชัดเจน นึกยินดีที่กินนร ผู้นั้นจำได้ว่าเขาชอบนั่งตรงนี้เสมอ หลังรินชาใส่ถ้วยใบน้อยยกขึ้นจิบก็เอนหลังพิงหมอน ส่งสายตามองความพลุกพล่านเพื่อเสาะหาใครบางคนอย่างคาดหวัง หากไม่วายได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของสตรีลอยมาตามลม
“รูปงามเช่นนี้หากเจ้าว่าเป็นเทวาเหตุใดจึงไร้รัศมีสีทองเรืองรองรอบกายเล่า”
“ข้าเองก็ข้องใจนัก จะว่าเป็นคนธรรพ์รึก็ไร้วี่แววกรุ้มกริ่ม ทุกอากัปกิริยาช่างดูองอาจผึ่งผายปานนักรบชาญศึก”
“ดูผมสีน้ำตาลทองกับดวงตากวางคู่งามนั่นเถิด ข้านึกไม่ออกแท้จริงว่าเขามาจากเผ่าพันธุ์ใด”
“หึ...” ใบหูอกิญจน์กระดิก แม้สีหน้าเรียบเฉยหากหันหนีไปทางอื่น เขาวางถ้วยชาลงทั้งนึกดูถูก หากนางเหล่านั้นรู้ว่าตนคือผู้นำยักษ์มาตามหาปณารีเมื่อพันปีก่อน พวกนางยังจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้หรือไม่หนอ คงพากันกรีดร้องแล้วรีบบินหนีไปเสียมากกว่า จะมีนางใดเล่าหาญกล้าเข้ามาไถ่ถามทุกข์สุขของเขาเช่น...ปณารี
ครั้นนึกถึงนางอันเป็นที่รัก ผู้มาจากเมืองยักษ์ถึงกับเหม่อมองท้องฟ้าด้วยแววตาหม่นแสง ยกมือขึ้นลูบสร้อยเส้นน้อยบนลำคอตนไปมาแผ่วเบา นับแต่วันที่ปณารีฉีกแถบผ้าชายกระโปรงพันแผลให้เขา อกิญจน์ก็ไม่เคยยอมให้แถบผ้านี้ห่างกาย จนถึงคราวต้องเข้าถ้ำอสูรเพื่อฝึกวิชายังขออนุญาตบิดานำมันไปด้วย หากเมื่อออกมาความร้อนในถ้ำได้เผาใยผ้าจนสิ้น เขานำทองที่เหลือไปหาช่างโดยกำชับให้เพิ่มเนื้อทองใหม่น้อยที่สุด นายช่างทองรากษสจัดการไม่นานก็ถักสร้อยเส้นนี้ส่งมา นับเป็นเครื่องประดับชิ้นที่สองซึ่งเขายินดีสวมติดตัวต่อจากธำมรงค์วิเศษ หวังยิ่งว่าในพิธีขอเทพศาสตราที่กำลังจะเริ่มขึ้น เนื้อทองแท้ของมันคงสามารถทนเปลวเพลิงซึ่งเขาต้องจุดเผาร่างบูชาพระเจ้าได้
“เมื่อใดนางจะกลับมาหนอ....”
อกิญจน์ถอนใจยาว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าที่เอาแต่ถามคำถามนี้กับตัวเองมาพันปีแล้ว นับแต่เสร็จสิ้นภารกิจถ้ำอสูร เขามักมาตามหาปณารีที่นี่เสมอด้วยหวังว่านางอาจกลับมาเกิดเป็นกินรีอีกครั้ง ไม่เพียงในเมืองเท่านั้น เขามักแวะ ไปเยี่ยมเยือนคณะนางรำของนางโดยไม่ให้พวกนั้นรู้ตัวด้วย ได้พบเห็นความยากลำบากที่ปาจารีย์พิลาสได้รับตลอดมา อยากยื่นมือช่วยเหลือแต่เกรงว่าจะถูกรังเกียจหรืออาจเป็นเหตุให้คณะได้รับความเกลียดชังมากขึ้นจึงทำเฉยเสีย หากเมื่อสิบสี่ปีก่อน ปภานัน บุตรีของพี่ชายปณารีได้ให้กำเนิดกินรีน้อยนางหนึ่งนามว่า ปานอัปสร แม้นางจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวผู้งามพิลาส แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ปานอัปสรหาใช่นางกินรีที่ตนเฝ้ารอไม่
“คนธรรพ์ท่านนั้น!”
เสียงนี้เรียกอกิญจน์ให้หลุดออกจากภวังค์ เขาหันมองหาเจ้าของเสียงด้วยมั่นใจเหลือเกินว่ามันผู้นั้นเรียกตน เห็นกินนรหนุ่มท่าทางดีแต่งกายด้วยภูษาราคาสูงเดินเข้ามานั่งบนตั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอคำเชิญ
“ท่านเป็นผู้นำกุณฑลมุกคู่นี้มาขายรึ” เจ้าของดวงตาแวววาวถามขึ้นทั้งชี้นิ้วไปยังตุ้มหูบนขันโตก “เหตุใดท่านจึงมีเครื่องประดับของรากษสเช่นนี้”
อกิญจน์ส่งยิ้มให้ แม้รู้สึกขัดใจที่แขกแปลกหน้าเอ่ยคำว่ารากษสด้วยน้ำเสียงดูถูก แต่ก็นึกชื่นชมว่ากินนรผู้นี้มีหูมีตากว้างขวางใช้ได้ อย่างน้อยมันก็รู้ว่าสินค้าเป็นศิลปะของเผ่าพันธุ์ใด แต่จะให้ตอบว่าเพราะข้าเป็นรากษสคงไม่ได้ เขาจึงตอบความจริงข้ออื่นว่า “เพราะข้าซื้อมาแต่รากษส”
“หือ...พวกมันยอมขายให้ท่านรึ” เสียงประหลาดใจถามต่อ
“ใช่แล้ว เหตุใดท่านจึงคิดว่าพวกรากษสจะไม่ยอมขายให้ข้าเล่า”
“เพราะข้าเคยติดต่อขอซื้อเครื่องประดับจากพวกรากษสมาก่อน แต่ไม่มีตนใดยอมเจรจาค้าขายด้วย หรือท่านเสนอราคางามแก่พวกมัน”
“ข้าก็ให้ตามราคาเครื่องรางป้องกันเวทร้ายปกติ”
“เท่าใดกันเล่า...”
“ร้อยห้าสิบเหรียญทอง”
“ร้อยห้าสิบเหรียญ! มุกเม็ดงามเท่าผลพุทราเยี่ยงนี้น่ะรึ มา...ท่านมาทำการค้ากับข้าเถิด” คู่สนทนาฉีกยิ้มกว้าง “ท่านคงไม่ทราบว่าหากต้องการขายสินค้าของรากษส มาเมืองนี้คงไม่ดีนัก”
อกิญจน์ยกยิ้มตอบเหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าชาวเมืองพิมพ์พิมานเกลียดชังรากษส หากแต่เขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อื่นดอก
แท้จริงแล้วกินนรผู้นี้ต้องการให้เขาเป็นนายหน้าซื้อสินค้าจากกรุงลงกาด้วยราคาต่ำ ขณะนี้เกาะยักษ์ได้ซ่อมถนนเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่แห่งหิมพานต์เสร็จสิ้น เริ่มมีการส่งออกนำเข้าสินค้าหลายชนิด มีพ่อค้าหัวใสไม่น้อยอยากได้ของดีราคาถูก คิดว่าพวกยักษ์โง่ไม่รู้ราคาจริงในท้องตลาด กดราคาซื้อหวังกอบโกยกำไรจนเกินเหตุ แล้วอย่างนี้จะให้รากษสยินดีขายของกับพ่อค้าประเภทดังกล่าวได้อย่างไร
คงเพราะกิริยาหูทวนลม เอาแต่มองลงไปยังตลาดของผู้กำลังนั่งดื่มชากระมัง กินนรพ่อค้าจึงตบมือสิ้นสุดการสนทนาด้วยคำถามว่า “ท่านต้องการขายกุณฑลคู่นี้เท่าใด”
“เจ็ดร้อยห้าสิบเหรียญทอง” อกิญจน์ตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคนถาม
“อันใดกัน! ท่านซื้อมาร้อยห้าสิบจะขายถึงเจ็ดร้อยห้าสิบเชียวรึ ค้ากำไรจนเกินงามไปกระมัง”
“แต่ข้าคิดว่าไม่ดอกหนา ลงกามิใช่ใกล้ๆ” อกิญจน์กล่าว“ทั้งราคาเครื่องประดับป้องกันมนต์ดำในป่าหิมพานต์ก็ขายกันราคานี้ หรือว่าท่านไม่ทราบ” เจ้าของกุณฑลหันมามองหน้าคู่สนทนาด้วยแววตารู้ทันเอ่ยคำพูดซึ่งทำให้คนฟังถึงกับหน้าเสีย “หากอยากทำการค้ากับข้า ควรเริ่มต้นด้วยความซื่อสัตย์นา”
“ก็ได้! ข้าให้ท่านเจ็ดร้อย ต้องการขายรึไม่” ชายมีปีกต่อราคาเสียงห้วน
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หนึ่งพันเหรียญทอง หากท่านจ่ายได้ค่อยกลับมาหาข้าเถิด” อกิญจน์ว่าแล้วลุกขึ้น เรียกตุ้มหูคู่งามให้ปลิวเข้ามาสู่มือตนจนผู้พบเห็นเบิกตากว้าง โยนอัฐเป็นค่าน้ำชาแล้วหันหลังเดินจากมาทันที
ปีกหิมพานต์...นิยายซึ่งเคยเป็นดราม่าและกระทู้แนะนำเมื่อหลายปีก่อน กลับมาอัพต่อแล้วค่ะ!!!
ลานาง
แสงแรกวันใหม่กรีดผ่าขอบฟ้า เป็นสีรุ้งพุ่งพรายออกมาจากราชรถแห่งพระอาทิตย์ เริ่มต้นนุ่มนวลอ่อนโยน ไล้อาบผืนน้ำไพศาลให้เปลี่ยนจากมืดมิดระยิบระยับขึ้นเป็นเกล็ดเพชร ก่อนค่อยๆ ทรงพลังประภัสสรตามการควบเร่งอาชาของพระอรุณ สารถีแห่งองค์สุริยะ ปลุกสรรพสัตว์ใต้หล้าให้ตื่นจากนิทรารมณ์
ณ ริมสระอันไม่เคยเหือดแห้งแห่งนี้มีหน้าผาหินอ่อนสูงชันหลายร้อยวา สถานที่ตั้งพิมพ์พิมาน นครของเผ่าพันธุ์ผู้มีปีก เมืองซึ่งประชาชนสร้างบ้านเรือนจากการเจาะกำแพงผาเพื่อพำนัก สลักเป็นงานสถาปัตยกรรมแข็งแกร่งหากอ่อนหวาน ทั้งงดงามอลังการทั้งอัศจรรย์
เหนือพิมพ์พิมานขึ้นไปเป็นทุ่งหญ้า สายลมยามเช้าพัดผ่านยอดอ่อนสีเขียวปลิวไสว กลิ่นดินฉ่ำน้ำค้างหอมสดชื่นชวนเบิกบาน เสียงนกร้องแว่วหวานกังวานโดยรอบ ทุกอย่างเงียบสงบดำเนินไปตามครรลองปกติ
ทันใดนั้นกลางอากาศ ปรากฏร่างชายผู้หนึ่งกระโจนลงมาจากท้องฟ้า มือทั้งสองประคองสัตว์ปีกคล้ายนกรูปร่างประหลาดนัก ด้วยลำตัวของมันแม้มีปีกหางแต่ส่วนหัวกลับมีงวงงาคล้ายคชสาร เมื่อยืนมั่นคงบนพื้นแล้วชายผู้นี้ ก็ลูบกลางหลังมันเบาๆ ก้มลงกระซิบว่า “กาหลง เจ้าวิ่งเล่นไล่จับหนูอยู่แถวนี้ก่อนหนาเดี๋ยวข้ากลับมา”
แปร๋! เจ้าช้างน้อยมีปีกโกญจนาทรับคำสั่ง กวักปีกสะบัดงวงเหินปราดลงจากหัตถ์เจ้านายไปไม่รีรอ
บุรุษหนุ่มมองตามพาหนะคู่ใจที่เขาเสกย่อร่างมันไว้หายวับไปในกอหญ้า ก่อนหันกายออกเดินสู่ขอบหน้าผา เสาะหาบันไดหินแคบชันซึ่งมีเพียงอาคันตุกะเช่นเขาเท่านั้นใช้เดินลงไปชมศิลานครเบื้องล่าง ไม่ลืมใช้มนตร์เปลี่ยนใบหูคล้ายกวางของตนให้เป็นรูปทรงธรรมดา ด้วยไม่ต้องการผู้ใดสงสัยว่าเป็นลูกครึ่งอัปสรสีหะกับพญายักษ์จากแดนไกล
เดินเรื่อยๆ ตามไศลมรรคาครู่หนึ่งก็มาถึงย่านธุรกิจกลางเมือง ลานกว้างทรงกลมเบื้องหน้าคือวงเวียนใหญ่ มีไว้ให้ชาวเมืองนำรถม้ามาจอดรับส่งสินค้า กลางวงเวียนประดับด้วยรูปปั้นนางกินรีน้อยกลุ่มหนึ่ง ครั้นถูกน้ำพุโดยรอบพุ่งขึ้นราดรด ประติมากรรมก็สะท้อนแสงแดดยามเช้า ดูวับวาวราวกับพวกนางกำลังเริงระบำอยู่กลางสายน้ำดุจมีชีวิต เลี้ยวซ้ายที่นี่ ตลาดเช้าอันคับคั่งกลางเวิ้งถ้ำใหญ่ก็ปรากฏเสียงจอแจจากชาวเมืองผู้มาจับจ่ายสินค้าดังมาไม่ขาดสาย
รอบวงเวียนด้านนอกยังมีร้านค้าตั้งเรียงรายไปจนสุดริมผา ที่มีแขกพลุกพล่านมากสุดเห็นจะเป็นร้านชาร้อนลำดับสุดท้าย ชายหนุ่มมองดูลานกว้างซึ่งสลักขึ้นจากชะง่อนหินยื่นออกไปในอากาศแล้วใจหาย เพราะมันช่างดูเหมือนใบไม้ยักษ์ซึ่งยึดติดต้นไว้ด้วยก้านขนาดเล็ก และก้านดังกล่าวคือทางเข้าซึ่งเขานึกหวั่นใจทุกครั้งที่ต้องเหยียบย่าง ด้วยเกรงว่าร้านชาใบไม้อาจปลิดปลิวตามสายลมไปในที่สุด
เสียงคลื่นซัดหน้าผาเบื้องล่างฟังดูห่างไกล ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายกลิ่นชายิ่งหอมอบอวล
“อ้าว! ท่านอกิญจน์ มาถึงแต่เมื่อใดกันนี่ เชิญทางนี้เถิด เชิญ! เชิญ!” ทันทีที่กินนรเจ้าของร้านชาเห็นผู้มาเยือนก็เอ่ยทักเสียงดัง ทั้งรีบเหินไปเช็ดทำความสะอาดตั่งตัวหนึ่งต้อนรับชายหนุ่ม
การมาเยือนของอกิญจน์ครั้งนี้ดูเป็นที่สนใจของชาวเมืองเหมือนทุกครั้ง เขาชินเสียแล้วกับสายตาใคร่รู้ทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่านางกินรีซึ่งชี้ชวนกันหันมามองตลอดเวลา บ้างหัวร่อต่อกระซิกบ้างยกมือขึ้นทาบอก บ้างหลบซ่อนใบหน้าแดงก่ำ ทั้งหมดนี้คงมิใช่เพียงเพราะเขาไร้ปีกเช่นคนต่างถิ่นเป็นแน่
“หายหน้าหายตาไปนานเลยนะท่าน มาคราวนี้มีสิ่งใดมาค้าขายรึ”
“ข้าก็มีเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ป้องกันภัยจากมนตร์ดำมาจำหน่ายอีกเช่นเคย” อกิญจน์พูดจบก็หงายมือ ยื่นกุณฑลทองประดับมุกให้ผู้ถามดู “หากมีผู้ให้ราคาถูกใจก็อาจขาย” เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยว่าเหตุใดจึงชอบมาเมืองนี้เขาจึงต้องยกการค้าขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
เจ้าของร้านชาเมื่อวางชุดอาหารเช้าลงบนตั่งเสร็จก็หยิบตุ้มหูคู่นั้นขึ้นส่องพิจารณากับแสงอาทิตย์ กล่าวว่าจะเป็นธุระหาผู้ซึ่งสามารถจ่ายราคางามให้ดูจากข้อเสนอก็รู้ว่าคงมีส่วนได้เสียกับการค้าครั้งนี้อยู่
“ท่านจะพักกี่คืนรึ ข้าจะได้จัดเตรียมที่พักให้” ผู้มีปีกถามต่อ
“สักสองสามคืน หรืออาจอยู่จนกว่าจะขายสินค้าได้” เสียงราบเรียบตอบคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องนี้นัก
หลังเจ้าของร้านจากไป อกิญจน์ก็นั่งลงบนตั่งซึ่งสามารถมองไปยังตลาดสดได้ชัดเจน นึกยินดีที่กินนร ผู้นั้นจำได้ว่าเขาชอบนั่งตรงนี้เสมอ หลังรินชาใส่ถ้วยใบน้อยยกขึ้นจิบก็เอนหลังพิงหมอน ส่งสายตามองความพลุกพล่านเพื่อเสาะหาใครบางคนอย่างคาดหวัง หากไม่วายได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของสตรีลอยมาตามลม
“รูปงามเช่นนี้หากเจ้าว่าเป็นเทวาเหตุใดจึงไร้รัศมีสีทองเรืองรองรอบกายเล่า”
“ข้าเองก็ข้องใจนัก จะว่าเป็นคนธรรพ์รึก็ไร้วี่แววกรุ้มกริ่ม ทุกอากัปกิริยาช่างดูองอาจผึ่งผายปานนักรบชาญศึก”
“ดูผมสีน้ำตาลทองกับดวงตากวางคู่งามนั่นเถิด ข้านึกไม่ออกแท้จริงว่าเขามาจากเผ่าพันธุ์ใด”
“หึ...” ใบหูอกิญจน์กระดิก แม้สีหน้าเรียบเฉยหากหันหนีไปทางอื่น เขาวางถ้วยชาลงทั้งนึกดูถูก หากนางเหล่านั้นรู้ว่าตนคือผู้นำยักษ์มาตามหาปณารีเมื่อพันปีก่อน พวกนางยังจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้หรือไม่หนอ คงพากันกรีดร้องแล้วรีบบินหนีไปเสียมากกว่า จะมีนางใดเล่าหาญกล้าเข้ามาไถ่ถามทุกข์สุขของเขาเช่น...ปณารี
ครั้นนึกถึงนางอันเป็นที่รัก ผู้มาจากเมืองยักษ์ถึงกับเหม่อมองท้องฟ้าด้วยแววตาหม่นแสง ยกมือขึ้นลูบสร้อยเส้นน้อยบนลำคอตนไปมาแผ่วเบา นับแต่วันที่ปณารีฉีกแถบผ้าชายกระโปรงพันแผลให้เขา อกิญจน์ก็ไม่เคยยอมให้แถบผ้านี้ห่างกาย จนถึงคราวต้องเข้าถ้ำอสูรเพื่อฝึกวิชายังขออนุญาตบิดานำมันไปด้วย หากเมื่อออกมาความร้อนในถ้ำได้เผาใยผ้าจนสิ้น เขานำทองที่เหลือไปหาช่างโดยกำชับให้เพิ่มเนื้อทองใหม่น้อยที่สุด นายช่างทองรากษสจัดการไม่นานก็ถักสร้อยเส้นนี้ส่งมา นับเป็นเครื่องประดับชิ้นที่สองซึ่งเขายินดีสวมติดตัวต่อจากธำมรงค์วิเศษ หวังยิ่งว่าในพิธีขอเทพศาสตราที่กำลังจะเริ่มขึ้น เนื้อทองแท้ของมันคงสามารถทนเปลวเพลิงซึ่งเขาต้องจุดเผาร่างบูชาพระเจ้าได้
“เมื่อใดนางจะกลับมาหนอ....”
อกิญจน์ถอนใจยาว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าที่เอาแต่ถามคำถามนี้กับตัวเองมาพันปีแล้ว นับแต่เสร็จสิ้นภารกิจถ้ำอสูร เขามักมาตามหาปณารีที่นี่เสมอด้วยหวังว่านางอาจกลับมาเกิดเป็นกินรีอีกครั้ง ไม่เพียงในเมืองเท่านั้น เขามักแวะ ไปเยี่ยมเยือนคณะนางรำของนางโดยไม่ให้พวกนั้นรู้ตัวด้วย ได้พบเห็นความยากลำบากที่ปาจารีย์พิลาสได้รับตลอดมา อยากยื่นมือช่วยเหลือแต่เกรงว่าจะถูกรังเกียจหรืออาจเป็นเหตุให้คณะได้รับความเกลียดชังมากขึ้นจึงทำเฉยเสีย หากเมื่อสิบสี่ปีก่อน ปภานัน บุตรีของพี่ชายปณารีได้ให้กำเนิดกินรีน้อยนางหนึ่งนามว่า ปานอัปสร แม้นางจะเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวผู้งามพิลาส แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ปานอัปสรหาใช่นางกินรีที่ตนเฝ้ารอไม่
“คนธรรพ์ท่านนั้น!”
เสียงนี้เรียกอกิญจน์ให้หลุดออกจากภวังค์ เขาหันมองหาเจ้าของเสียงด้วยมั่นใจเหลือเกินว่ามันผู้นั้นเรียกตน เห็นกินนรหนุ่มท่าทางดีแต่งกายด้วยภูษาราคาสูงเดินเข้ามานั่งบนตั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอคำเชิญ
“ท่านเป็นผู้นำกุณฑลมุกคู่นี้มาขายรึ” เจ้าของดวงตาแวววาวถามขึ้นทั้งชี้นิ้วไปยังตุ้มหูบนขันโตก “เหตุใดท่านจึงมีเครื่องประดับของรากษสเช่นนี้”
อกิญจน์ส่งยิ้มให้ แม้รู้สึกขัดใจที่แขกแปลกหน้าเอ่ยคำว่ารากษสด้วยน้ำเสียงดูถูก แต่ก็นึกชื่นชมว่ากินนรผู้นี้มีหูมีตากว้างขวางใช้ได้ อย่างน้อยมันก็รู้ว่าสินค้าเป็นศิลปะของเผ่าพันธุ์ใด แต่จะให้ตอบว่าเพราะข้าเป็นรากษสคงไม่ได้ เขาจึงตอบความจริงข้ออื่นว่า “เพราะข้าซื้อมาแต่รากษส”
“หือ...พวกมันยอมขายให้ท่านรึ” เสียงประหลาดใจถามต่อ
“ใช่แล้ว เหตุใดท่านจึงคิดว่าพวกรากษสจะไม่ยอมขายให้ข้าเล่า”
“เพราะข้าเคยติดต่อขอซื้อเครื่องประดับจากพวกรากษสมาก่อน แต่ไม่มีตนใดยอมเจรจาค้าขายด้วย หรือท่านเสนอราคางามแก่พวกมัน”
“ข้าก็ให้ตามราคาเครื่องรางป้องกันเวทร้ายปกติ”
“เท่าใดกันเล่า...”
“ร้อยห้าสิบเหรียญทอง”
“ร้อยห้าสิบเหรียญ! มุกเม็ดงามเท่าผลพุทราเยี่ยงนี้น่ะรึ มา...ท่านมาทำการค้ากับข้าเถิด” คู่สนทนาฉีกยิ้มกว้าง “ท่านคงไม่ทราบว่าหากต้องการขายสินค้าของรากษส มาเมืองนี้คงไม่ดีนัก”
อกิญจน์ยกยิ้มตอบเหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าชาวเมืองพิมพ์พิมานเกลียดชังรากษส หากแต่เขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อื่นดอก
แท้จริงแล้วกินนรผู้นี้ต้องการให้เขาเป็นนายหน้าซื้อสินค้าจากกรุงลงกาด้วยราคาต่ำ ขณะนี้เกาะยักษ์ได้ซ่อมถนนเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่แห่งหิมพานต์เสร็จสิ้น เริ่มมีการส่งออกนำเข้าสินค้าหลายชนิด มีพ่อค้าหัวใสไม่น้อยอยากได้ของดีราคาถูก คิดว่าพวกยักษ์โง่ไม่รู้ราคาจริงในท้องตลาด กดราคาซื้อหวังกอบโกยกำไรจนเกินเหตุ แล้วอย่างนี้จะให้รากษสยินดีขายของกับพ่อค้าประเภทดังกล่าวได้อย่างไร
คงเพราะกิริยาหูทวนลม เอาแต่มองลงไปยังตลาดของผู้กำลังนั่งดื่มชากระมัง กินนรพ่อค้าจึงตบมือสิ้นสุดการสนทนาด้วยคำถามว่า “ท่านต้องการขายกุณฑลคู่นี้เท่าใด”
“เจ็ดร้อยห้าสิบเหรียญทอง” อกิญจน์ตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคนถาม
“อันใดกัน! ท่านซื้อมาร้อยห้าสิบจะขายถึงเจ็ดร้อยห้าสิบเชียวรึ ค้ากำไรจนเกินงามไปกระมัง”
“แต่ข้าคิดว่าไม่ดอกหนา ลงกามิใช่ใกล้ๆ” อกิญจน์กล่าว“ทั้งราคาเครื่องประดับป้องกันมนต์ดำในป่าหิมพานต์ก็ขายกันราคานี้ หรือว่าท่านไม่ทราบ” เจ้าของกุณฑลหันมามองหน้าคู่สนทนาด้วยแววตารู้ทันเอ่ยคำพูดซึ่งทำให้คนฟังถึงกับหน้าเสีย “หากอยากทำการค้ากับข้า ควรเริ่มต้นด้วยความซื่อสัตย์นา”
“ก็ได้! ข้าให้ท่านเจ็ดร้อย ต้องการขายรึไม่” ชายมีปีกต่อราคาเสียงห้วน
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หนึ่งพันเหรียญทอง หากท่านจ่ายได้ค่อยกลับมาหาข้าเถิด” อกิญจน์ว่าแล้วลุกขึ้น เรียกตุ้มหูคู่งามให้ปลิวเข้ามาสู่มือตนจนผู้พบเห็นเบิกตากว้าง โยนอัฐเป็นค่าน้ำชาแล้วหันหลังเดินจากมาทันที