แชร์ประสบการณ์ จากคำถามที่ว่า "คนอ้วนวิ่งได้ไหม?"

สวัสดีครับ เนื่องจากเคยมีเพื่อนผมคนหนึ่งถามผมว่า คนอ้วนจะลดน้ำหนักด้วยการวิ่งดีไหม วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ การลดน้ำหนักของผมด้วยวิธีการวิ่ง ว่าในช่วงเวลาที่ผมลดน้ำหนักด้วยวิธีการวิ่งนั้น มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวของผมบ้าง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านจะได้ประโยชน์จากเรื่องของผมหรือไม่แต่ผมก็อยากจะเล่าให้ฟังอยู่ดี



          ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก ซึ่งผมคิดมาตลอดว่าตัวผมคืออวบระยะสุดท้ายแต่คนที่รู้จักผมส่วนใหญ่บอกว่าผมอ้วน ผมมีส่วนสูง 174 และเคยมีน้ำหนักมากถึง 105 กิโลกรัม ซึ่งเกินเกณฑ์ไปมาก







          ผมเริ่มมีความคิดที่จะลดน้ำหนักอย่างจริงจังเมื่อสงกรานที่ผ่านมา เพราะผมอยากจะดูดีเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ซึ่งวิธีการที่ผมตัดสินใจใช้ก็คือ “วิ่ง” ซึ่งก็ตามมาด้วยคำถามมากมาย
    
          อ้วนขนาดนี้จะวิ่งไหวหรอ คนอ้วนมาวิ่งไม่กลัวหัวเข่าพังรึ หรือแม้กระทั่งอ้วนขนาดนี้วิ่งไม่ไหวหรอกถึงไหวแปบเดียวก็เลิก นี่คงจะเป็นประโยคคลาสสิคอันดับต้นๆ ที่คนอ้วนซึ่งเริ่มมีความคิดจะวิ่งเพื่อลดน้ำหนักหรือเพิ่งไปถอยรองเท้าวิ่งคู่ใหม่มายังไม่ทันพ้นวัน ได้ประสบพบเจอ ผมเองก็เช่นกัน  

          คำถามแรกที่เกิดขึ้นภายในหัวของผมคือ คนอ้วนวิ่งได้ไหม ผมใช้เวลาคิดอยู่ประมาณ 30 วินาทีแล้วทำไมจะไม่ได้หละนั่นคือคำตอบ แทบจะทันทีผมตัดสินใจซื้อรองเท้าวิ่งคู่แรกที่จะใช้มันแบกน้ำหนักตัวกว่า 95 กิโลกรัม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผอม คำถามต่อมาก็คือแล้วจะเริ่มวิ่งยังไง ระยะทางเท่าไหร่ ขนาดแค่เดินยังเหนื่อย ผมไม่มีคำตอบในตอนนั้น นอกจากใส่รองเท้าวิ่งและทำตามความตั้งใจ


เริ่มต้น...



          ผมเริ่มต้นวันแรกด้วยการวิ่ง บนถนนหน้าบ้านซึ่งผมได้รับโจทย์มาจากเพื่อนของผมคนหนึ่งว่า ให้ทำยังไงก็ได้ไม่ว่าจะวิ่งหรือเดินให้ได้ระยะทาง 5 กิโลเมตร ต่อ 1 วัน และแน่นอนมันเป็นไปไม่ได้เลย ผมทำได้แค่วิ่งระยะสั้นๆ และเดินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในระหว่างวิ่ง ปอดของผมมันแทบจะระเบิดออกมา หัวเข่าซึ่งไม่เคยรับแรงกระแทกของน้ำหนักตัวที่เกิดจากการวิ่งมาก่อน มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่เริ่มก้าวขาวิ่งเพียงไม่กี่นาที แต่อาการเจ็บก็หายไปในเวลาไม่ถึง 5 นาที จนวันแรกของผมจบลงด้วยระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ด้วยเวลา 1ชั่วโมง 15นาที  

          ในวันเดียวกันนั้นผมกลับมาหาข้อมูลว่าอาการเจ็บนั้นจากเกิดอะไร โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ และนั่นถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นจุดกำเนิดของอาการเจ็บหัวเข่าเรื้อรัง

          หลังจากนั้นผมเริ่มมีการคุมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักให้ดียิ่งขึ้น และตื่นมาวิ่งแต่เช้าหรือไม่ก็วิ่งช่วงเย็นหลังเลิกงาน ทุกวัน จนผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ ในที่สุดผมก็วิ่งได้ ครบ 5 กิโลเมตร ถึงแม้จะไม่ใช่วิ่งทำความเร็วก็ตาม แต่เป็นการวิ่งต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดเดิน



          ผมสามารถพิสูจน์ว่าคนอ้วนก็สามารถวิ่งได้ถ้ามีความตั้งใจและหมั่นฝึกซ้อม ณ จุดนี้มันทำให้ความรู้สึกที่มีต่อการวิ่งของผมเปลี่ยนไป ผมเริ่มสนุกกับมันและเปลี่ยนเป้าหมายจากวิ่งเพื่อลดน้ำหนักเป็นวิ่งเพื่อไปสู่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ มาราธอน ซึ่งคงจะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน

          ผมทำทุกวิถีทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งไม่ว่าจะเป็น การคุมอาหาร การเวทเทรนนิ่ง การออกแบบตารางฝึกซ้อม และตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด

          ผมเริ่มฝึกซ้อมอย่างหนัก อาการบาดเจ็บหัวเข่าของผมยังคงอยู่และหายไปเหมือนอย่างเคย ผมมั่นใจว่าร่างกายยังไหว ผมฝืกซ้อมต่อไปจนสามารถวิ่ง 10 กิโลเมตรได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน

7.5 Km. ครั้งแรก


10  Km. ครั้งแรก




เปลี่ยนที่...




          ผมตัดสินใจลงงานวิ่งงานแรก คือ Super Sport International 10 Mile 2016 ซึ่งเป็นงานใหญ่และวิ่งเป็นระยะทาง 16 กิโลเมตร ซึ่งตอนนั้นผมสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดเพียง 11 กิโลเมตรเท่านั้น และนั่นนับว่าเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่บทหนึ่งเลยก็ว่าได้เพราะหลังจากการแข่งขันจบลง ร่างกายและหัวเข่าผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  

          ในวันแข่งขัน ผมเริ่มบาดเจ็บหัวเข่าตั้งแต่ 5 กิโลเมตรแรก และเมื่อถึงกิโลเมตรที่ 8 เรื่องไม่ขาดฝันก็เกิดขึ้น หัวนมผมมีเลือดไหลออกมา นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าหัวนมเลือดไหลได้ ผมต้องฝืนร่างกายอย่างหนักเพื่อแบกตัวเองเข้าเส้นชัย ตลอดเส้นทางผมได้แต่คิดในใจว่าหรือเราจะคิดผิดที่มาอยู่ตรงนี้ โดยในวันนั้นผมใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง 23 นาที

          เมื่อเข้าเส้นชัย ความเจ็บปวดทุกอย่างก็หายไปหมด ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากๆ ที่สามารถทำได้ถึงแม้เวลาจะไม่ได้ดีนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นความภูมิใจ และเป็นก้าวเล็กๆ ก้าวแรกที่เราผ่านมันมาจนได้



          ผมตัดสินใจที่จะลงงานวิ่ง ฮาร์ฟมาราธอน ในวันแม่ ต่อในทันที ซึ่งในครั้งนี้เป็นความท้าทายที่ยากขึ้นไปอีก ต้องมีการฝึกซ้อมที่ต่อเนื่องและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น มีการแบ่งตารางซ้อมที่มีความหลากหลาย ซึ่งระหว่างฝึกซ้อม อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าเปลี่ยนไป คือมีอาการบาดเจ็บหนักขึ้น และไม่หายไปในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างเคย

          ร่างกายของผมเริ่มแสดงอาการผิดปรกติ ป่วยง่ายและพัฒนาการตกลง ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มตระหนักอย่างมากแล้วว่า ถ้าผมฝืนต่อไปอาจจะต้องเลิกวิ่งตลอดชีวิต







ตัวเอง...




          ผมยืนอยู่หน้ากระจกและถามตัวเองว่าไหวมั้ย ผมมั่นใจว่าในตอนนั้นว่าถ้าคนในกระจกสามารถพูดออกมาได้จะต้องตอบกลับทันทีว่าไม่ไหว

          ผมตัดสินใจไปหาหมอซึ่งทำให้ผมได้รู้สาเหตุของอาการทั้งหมดนั้นก็คือ เอ็นไขว้สะบ้าหัวเข่าอักเสบที่หัวเข่าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการออกกำลังกายที่หักโหมมาก หัวเข่าที่ไม่แข็งแรง และน้ำหนักตัวที่มากกว่าคนทั่วไป

          มันทำให้ผมต้องหยุดกิจกรรมที่ผมรักลงจนกว่าหัวเข่าของผมจะหายดี ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ซึ่งผมถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผมบทหนึ่ง แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ถอนตัวทันก่อนที่จะหมดโอกาส

          หากถามผมว่า คนอ้วนวิ่งได้ไหม ผมได้พิสูจน์แล้วว่าได้ ผมไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนต้องการวิ่งไปเพื่ออะไร ลดน้ำหนัก พิสูจน์ตัวเอง หรือทำตามความฝัน แต่หากเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นและเข้าใจร่างกายของตัวเอง ผมมั่นใจว่าทุกคนจะสามารถผ่านทุกบททดสอบไปได้

          และเมื่อถึงวันที่หัวเข่าของผมกลับมาหายดีซึ่งก็คงจะอีกไม่นาน ผมก็พร้อมที่จะกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ผมไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดแล้วผมจะทำได้สำเร็จตามความฝันหรือไม่ แต่ถ้าหากผมเจอกับอุปสรรค์และผมยอมแพ้ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะสำเร็จของผมเป็นศูนย์ทันที แต่ถ้าหากผมไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค์นั่นหมายความว่าผมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่