จงอย่ากลัวน้ำมันมะพร้าว กินให้ดี ช่วยให้ผอมได้ค่ะ

ปกติมีเพจชื่อ Be fit & Eat well ในเฟสบุ๊คค่ะ บอกก่อน เลยต้องคอยค้นคว้าหาความรู้มาเขียน วันนี้เขียนเรื่องใกล้ตัว ที่ทดลองใช้เองแล้วได้ผล
.
สารภาพว่าเป็นคนคลั่งน้ำมันมะพร้าว ใช้ตั้งแต่ทาหน้า จนถึงกินทุกวัน แต่รู้สึกว่า คนชอบมองน้ำมันมะพร้าวว่าเป็นของไม่ดีต่อร่างกาย เพียงเพราะว่า 90% ของน้ำมันมะพร้าวเป็น saturated fat หรือไขมันอิ่มตัว แต่ข้อแตกต่างระหว่าง น้ำมันมะพร้าวกับไขมันอิ่มตัวประเภทอื่น และ ไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides) คือ ไขมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันสายสั้นกว่าพวกนั้นทั้งหมดทุกตัวเลยค่ะ
.
จริงๆแล้วน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันแบบสายปานกลางที่มีคาร์บอนประมาณ 6 - 12 อะตอม ประมาณ 30% จะถูกดูดซึมเข้าทางกระแสเลือดและที่เหลืออีก 70% จะถูกดูดซึมเข้าระบบน้ำเหลือง เหมือนกับน้ำมันมะกอกของแพงๆนั่นแหละค่ะ
.
เมื่อน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันสายกลาง คือไม่ยาวเหมือนไขมันตัวอื่น ก็เลยทำให้ง่ายต่อการดูดซึม ย่อยสลาย ผ่านจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ตับอย่างรวดเร็ว (ภายในหนึ่งชั่วโมง) ทำให้ไม่มีไขมันเหลือสะสมในร่างกาย
.
หลักการคือ น้ำมันมะพร้าวไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน (metabolism) ทำให้เกิดความร้อนสูง (thermogenesis) ด้วยการไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงานเร็วขึ้น และกำจัดใช้ไปโดยไม่เหลือตกค้างในร่างกาย ก็เลยทำให้ไขมันในเส้นเลือด (blood lipid profiles) ดีขึ้นด้วยค่ะ
.
จะบอกว่าที่เมืองนอกขายแพงมาก เราอยู่ใกล้ของดีแล้ว กรุณาเห็นค่าของมันด้วย
.
ร่ายสรรพคุณต่อ
.
มีงานวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคอัลไซมเมอร์ (Alzheimer) รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักบางชนิดด้วย จะมีความผิดปกติในเรื่องการส่งจ่ายกลูโคสไปที่สมอง และมีความดื้ออินซูลิน คล้ายๆกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ดังนั้น  สมองของผู้ป่วยก็จะไม่สามารถใช้พลังงานจากกลูโคสได้อย่างปกติ แต่สามารถใช้พลังงานจาก ketone bodies ซึ่งคือ ผลผลิตพลอยได้เมื่อมีการสลายกรดไขมันให้พลังงานในตับ
.
คีโตนบอดีส์เป็นแหล่งพลังงานสมองที่สำคัญขณะอดอาหาร  คีโตนบอดีส์ นี่ก็มาจาก กรดไขมันแบบสายปานกลาง เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกนี่เองค่ะ
.
ในผู้ป่วยประเภทนนี้พบว่า ช่วยให้อัตราสมองเสื่อมน้อยลง และความจำดีขึ้นค่ะ
.
มาเรื่องความสวยงามบ้าง ไม่อยากให้หนักเกิน น้ำมันมะพร้าวที่สกัดได้โดยวิธีหมัก หรือวิธีบีบเย็นไม่ใช้อุณหภูมิสูง และไม่ผ่านขบวนการทางเคมี จะยังคงมีวิตามินอีเหลืออยู่ วิตามินอีก็จะทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)
.
วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว มีสารโทโคไทรอีนอล ซึ่งเป็นรูปของวิตามินอีที่มีอานุภาพสูงกว่าสารโทโคเฟอรอล (tocopherol) ซึ่งอยู่ในวิตามินอีทั่วไป โดยเฉพาะที่มีอยู่ในเครื่องสำอางรักษาผิวถึง 40-60 เท่า ด้วยเหตุนี้น้ำมันมะพร้าวจึงต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
น้ำมันมะพร้าวยังมีกรดลอริก (lauric acid) อยู่ประมาณ 50 % กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เพราะมีความสามารถพิเศษ คือ สร้างภูมิคุ้มกันโรค
.
กรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็น โมโนลอริน (monolaurin) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารก
.
โมโนลอรินเนี่ยเป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิด ที่ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา  และไวรัสบางชนิด ที่ยาปฏิชีวนะทั่วไป ทำลายไม่ได้ด้วยค่ะ
.
ไงล่ะ ขวดละ 125 ไปซื้อมาเลย ใช้ได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คุ้มไม่คุ้มคิดดู!

Ref: http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2013/11/18/coconut-oil-uses.aspx

http://www.medicalnewstoday.com/articles/282857.php

http://www.fao.org/docrep/013/i1953e/i1953e00.pdf
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่