ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ PuPaKae, น้องนุ้ย ณวลี, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ ออมอำพัน, คุณ Inverness
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/35694173
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/35729733
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/35740933
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/35748337
บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/35759425
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/35763032
บทที่ 8
http://ppantip.com/topic/35770287
บทที่ 9
“ก็แสดงว่าแอชลี่ย์มีคนอื่น?” เธออุบอิบคำถามทั้งๆ ที่เขาก็บอกชัดอยู่แล้ว ตามองออกไปนอกหน้าต่างรถเสียเพื่อมิให้เขาคิดว่าสอดรู้สอดเห็น
“คนอื่นหรือ อือ…ว่าไปแล้ว ผมต่างหากที่เป็นคนอื่น แอชลี่ย์กับเจซีเขา…เอ…ควรเรียกว่าไงดี คงใช้คำว่ารักได้เหมือนกันนะ…แอชลี่ย์กับเจซีรักกันมาตั้งนานแล้ว ผมเป็นคนที่แทรกเข้ามามากกว่า ถ้าแอชลี่ย์หรือเจซี คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนเป็นผู้หญิง ก็คงอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยได้โดยไม่มีปัญหา แต่เพราะเป็นแบบนี้ แอชลี่ย์ก็เลยต้องหาอะไรมาบังหน้า”
คราวนี้เธอหันกลับมามองเขาเต็มตา ใบหน้าคมคายนั้นไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ ให้เห็น จึงบอกยากว่ารู้สึกอย่างไร
“ที่พูดนี่มาจากรีพับลิกันแน่หรือคะ”
ตาคมปลาบตวัดกลับมาทางเธอ พรายยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างรู้ทันกัน
“ก็รีพับลิกันนี่แหละ”
“คุณไม่โกรธเลยหรือคะที่ภรรยาคุณอยู่กับคนอื่นแบบนี้ เป็นผู้หญิงเหมือนกันด้วย นั่นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคุณเป็นรีพับลิกันเลยด้วยซ้ำ”
ว่าไปตามจริง เธอพยายามทำความเข้าใจความคิดของเขามากกว่าอะไรอื่น การที่ภรรยาเขาอยู่กับคนอื่น และรักกับคนอื่น แต่เขาไม่แสดงออกเลยว่าเดือดร้อน นั่นน่าตกใจพออยู่แล้ว นี่คนอื่นของภรรยาเขายังเป็นผู้หญิงด้วยกันเสียอีก ยากนักจะเข้าใจว่าคนซึ่งมีพื้นฐานมาจากครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ยึดติดอยู่กับจารีตประเพณีแบบผู้คนในรัฐทางใต้อย่างเขาจะยอมรับได้อย่างไร
“สองคำถามนั่นเกี่ยวกันหรือเปล่า”
รัญญาสะบัดหน้าไล่ความมึนงงของตัวเอง
“คงเกี่ยวมั้ง ก็คุณเป็นรีพับลิกัน…”
“…ที่ตรงและแคบ” เขาต่อให้ นั่นคือคำพูดของเธอเองเมื่อหลายปีมาแล้ว ดูเหมือนเขาจะจำได้ดี
“ก็นั่นล่ะ คุณไม่คิดอะไรหรอกหรือที่ภรรยาของคุณเองอยู่กับคนอื่น ไม่นับเรื่องที่ว่าคนอื่นนี่เป็นผู้หญิงด้วยกันก็ได้เอ้า”
“ทำไมจะต้องคิดอะไร แอชลี่ย์พอใจอย่างนั้น ผมพอใจอย่างนั้น มันก็ดีแล้วนี่”
“แล้วคุณจะเสียเวลาแต่งงานกันไปทำไมละคะ ถ้าลงท้ายแล้วเป็นแบบนี้”
“มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วรัญ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มีคนตั้งเยอะที่แต่งงานกันเพราะความจำเป็น”
เธอจ้องหน้าเขาเหมือนเพิ่งเคยพบเคยเห็น และเขาก็จ้องตอบด้วยสีหน้าล้อเลียนเหมือนต้องการให้เธอพบสิ่งที่มองหา
“คงไม่มากถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน หมายถึง...เราเอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับคนๆ หนึ่ง ตลอดไปเลยนะ”
“คิดว่าผมไม่รู้งั้นซี”
“คุณรู้ แต่คุณก็ยังแต่ง ทำไมคะ”
เขาเงียบไป สีหน้าดูครุ่นคิดหาคำตอบ
“ส่วนหนึ่งคงเป็นความต้องการของผมเอง”
คราวนี้เธอพอเดาได้ ถ้าพิจารณาจากนามสกุลเดิมของภรรยาเขาก็คิดว่าพอเข้าใจ
“เพราะแอชลี่ย์เป็นซัลลิแวนอย่างนั้นใช่ไหม”
ตระกูลนั้นเปรียบไปก็ไม่ต่างอะไรกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของที่นี่ เป็นตระกูลซึ่งเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง เหตุก็เพราะย้ายมาตั้งรกรากในแถบนี้ตั้งแต่ครั้งอาณานิคม ครอบครัวซัลลิแวนเคยเป็นเจ้าของไร่ฝ้าย ไร่ข้าวโพด และไร่ยาสูบขนาดใหญ่ มีทาสมากขนาดเรียกว่าอาณาเขตบ้านของครอบครัวซัลลิแวนเป็นเมืองๆ หนึ่งก็ยังได้ และทาสส่วนหนึ่งหลังได้รับการปลดปล่อยก็อพยพไปอาศัยอยู่บนเกาะซึ่งต่อมาได้ชื่อตามชื่อสกุลของคนในตระกูลนั้นเอง
“จะว่าอย่างนั้นก็คงได้”
“แอชลี่ย์กับเจซีก็ได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครสงสัยเพราะเท่ากับเธอเป็นภรรยาคุณแล้ว” เธอเดาต่อไปอีก “ใช่ไหมคะ”
ความเงียบของเขาในคราวนี้คือคำตอบ
“ก็ลงตัวดีนะคะ”
“ถ้าไม่คิดอะไรก็ลงตัวดีอยู่หรอก ในเมื่อตลอดเวลาที่แต่งงานกัน สองปีเกือบสามปี ผมมีเรื่องให้ต้องทำมาเรื่อยๆ ก็เลยไม่มีเวลาสนใจว่าอะไรควรเป็นอย่างไร”
เรื่องนั้นเธอเห็นจริง รู้จักเขามานานพอจะรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจังเพียงไร ลงว่า ไมลส์ บอลด์วิน คิดจะทำอะไรแล้วเขาทุ่มสุดตัวจนบ่อยครั้งที่ลืมเรื่องอื่นไปเลย
“ตอนนั้นผมกำลังตัดสินใจว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้แทนราษฎรดีไหม รัญก็รู้ว่าผู้แทนคนก่อนอยู่ในตำแหน่งเจ็ดสมัย นั่นเป็นประวัติที่น่ากลัวมากนะสำหรับคนที่จะมาท้าทายตำแหน่งนั้น รัญเองก็เงียบหายไปเลย คงไม่รู้ว่าผมไปหาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอตัว เคยโทรศัพท์ไปก็ไม่เคยว่าง คนอื่นรับทุกที ครั้งสองครั้งเป็นผู้ชาย และที่อพาร์ตเม้นต์ของรัญเองด้วย…”
เมื่อเขายกเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดถึง เธอค้านไม่ได้เลยในเมื่อเป็นความจริง แต่เขาคงไม่รู้ว่า ‘ผู้ชาย’ ที่เขาพูดถึง แท้จริงคือเพื่อนร่วมโครงงานวิจัยของเธอเอง เวลานั้นเธอเองก็ยุ่งกับวิทยานิพนธ์ และถือทิฐิเกินกว่าจะโทรกลับมาอธิบาย ก็ในเมื่อจากกันในลักษณะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมเวลานั้นต่างฝ่ายต่างก็ถือดีพอๆ กันเสียอีก
“…จะให้ผมเข้าใจว่ายังไง ผมรู้จักแอชลี่ย์มานาน รู้จักมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเล็ก ก็เลยคิดว่าต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมก็เลยคิดว่ามันลงตัวดี แต่งงานแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ แอชลี่ย์ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม คราวนี้โดยไม่ต้องปิดๆ บังๆ เหมือนก่อนเพราะถือว่าแต่งงานแล้ว…กับผู้ชายด้วย ส่วนผมก็ทำงานของผมต่อไปโดยไม่ต้องมีห่วงเรื่องครอบครัว รัญก็รู้ คนทางใต้แบบนี้สนับสนุนผู้แทนที่เขาคิดว่าจะเข้าใจปัญหาของเขายังไง ถ้ามีคนสมัครผู้แทนอายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน รัญคิดว่าเขาจะไม่สงสัยกันหรือว่าทำไม”
ฟังเขาอธิบาย รัญญาเห็นจริงตามนั้น เธอเองก็เคยทำวิจัยเรื่องการรับข่าวสารของผู้คน เคยศึกษาค่านิยมของประชาชนทางแถบนี้ ค่านิยมหลายๆ อย่างนั้นตายตัว ผู้ชายเมื่อถึงวัยหนึ่งแล้วยังไม่แต่งงานจะเริ่มกลายเป็นที่สงสัย ผู้แทนจะเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้คนได้ก็เมื่อดำเนินชีวิตแบบเดียวกัน เรื่องหนึ่งที่ผู้คนคิดกันไปเองคือถ้าผู้แทนไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก จะเข้าใจคนที่มีครอบครัวและมีลูกให้ต้องเลี้ยงดูได้อย่างไร
ณ สุดปลายรัก (บทที่ 9)
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ PuPaKae, น้องนุ้ย ณวลี, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ ออมอำพัน, คุณ Inverness
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/35694173
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/35729733
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/35740933
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/35748337
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/35759425
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/35763032
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/35770287
“ก็แสดงว่าแอชลี่ย์มีคนอื่น?” เธออุบอิบคำถามทั้งๆ ที่เขาก็บอกชัดอยู่แล้ว ตามองออกไปนอกหน้าต่างรถเสียเพื่อมิให้เขาคิดว่าสอดรู้สอดเห็น
“คนอื่นหรือ อือ…ว่าไปแล้ว ผมต่างหากที่เป็นคนอื่น แอชลี่ย์กับเจซีเขา…เอ…ควรเรียกว่าไงดี คงใช้คำว่ารักได้เหมือนกันนะ…แอชลี่ย์กับเจซีรักกันมาตั้งนานแล้ว ผมเป็นคนที่แทรกเข้ามามากกว่า ถ้าแอชลี่ย์หรือเจซี คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนเป็นผู้หญิง ก็คงอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยได้โดยไม่มีปัญหา แต่เพราะเป็นแบบนี้ แอชลี่ย์ก็เลยต้องหาอะไรมาบังหน้า”
คราวนี้เธอหันกลับมามองเขาเต็มตา ใบหน้าคมคายนั้นไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ ให้เห็น จึงบอกยากว่ารู้สึกอย่างไร
“ที่พูดนี่มาจากรีพับลิกันแน่หรือคะ”
ตาคมปลาบตวัดกลับมาทางเธอ พรายยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างรู้ทันกัน
“ก็รีพับลิกันนี่แหละ”
“คุณไม่โกรธเลยหรือคะที่ภรรยาคุณอยู่กับคนอื่นแบบนี้ เป็นผู้หญิงเหมือนกันด้วย นั่นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคุณเป็นรีพับลิกันเลยด้วยซ้ำ”
ว่าไปตามจริง เธอพยายามทำความเข้าใจความคิดของเขามากกว่าอะไรอื่น การที่ภรรยาเขาอยู่กับคนอื่น และรักกับคนอื่น แต่เขาไม่แสดงออกเลยว่าเดือดร้อน นั่นน่าตกใจพออยู่แล้ว นี่คนอื่นของภรรยาเขายังเป็นผู้หญิงด้วยกันเสียอีก ยากนักจะเข้าใจว่าคนซึ่งมีพื้นฐานมาจากครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ยึดติดอยู่กับจารีตประเพณีแบบผู้คนในรัฐทางใต้อย่างเขาจะยอมรับได้อย่างไร
“สองคำถามนั่นเกี่ยวกันหรือเปล่า”
รัญญาสะบัดหน้าไล่ความมึนงงของตัวเอง
“คงเกี่ยวมั้ง ก็คุณเป็นรีพับลิกัน…”
“…ที่ตรงและแคบ” เขาต่อให้ นั่นคือคำพูดของเธอเองเมื่อหลายปีมาแล้ว ดูเหมือนเขาจะจำได้ดี
“ก็นั่นล่ะ คุณไม่คิดอะไรหรอกหรือที่ภรรยาของคุณเองอยู่กับคนอื่น ไม่นับเรื่องที่ว่าคนอื่นนี่เป็นผู้หญิงด้วยกันก็ได้เอ้า”
“ทำไมจะต้องคิดอะไร แอชลี่ย์พอใจอย่างนั้น ผมพอใจอย่างนั้น มันก็ดีแล้วนี่”
“แล้วคุณจะเสียเวลาแต่งงานกันไปทำไมละคะ ถ้าลงท้ายแล้วเป็นแบบนี้”
“มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วรัญ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มีคนตั้งเยอะที่แต่งงานกันเพราะความจำเป็น”
เธอจ้องหน้าเขาเหมือนเพิ่งเคยพบเคยเห็น และเขาก็จ้องตอบด้วยสีหน้าล้อเลียนเหมือนต้องการให้เธอพบสิ่งที่มองหา
“คงไม่มากถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน หมายถึง...เราเอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับคนๆ หนึ่ง ตลอดไปเลยนะ”
“คิดว่าผมไม่รู้งั้นซี”
“คุณรู้ แต่คุณก็ยังแต่ง ทำไมคะ”
เขาเงียบไป สีหน้าดูครุ่นคิดหาคำตอบ
“ส่วนหนึ่งคงเป็นความต้องการของผมเอง”
คราวนี้เธอพอเดาได้ ถ้าพิจารณาจากนามสกุลเดิมของภรรยาเขาก็คิดว่าพอเข้าใจ
“เพราะแอชลี่ย์เป็นซัลลิแวนอย่างนั้นใช่ไหม”
ตระกูลนั้นเปรียบไปก็ไม่ต่างอะไรกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของที่นี่ เป็นตระกูลซึ่งเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง เหตุก็เพราะย้ายมาตั้งรกรากในแถบนี้ตั้งแต่ครั้งอาณานิคม ครอบครัวซัลลิแวนเคยเป็นเจ้าของไร่ฝ้าย ไร่ข้าวโพด และไร่ยาสูบขนาดใหญ่ มีทาสมากขนาดเรียกว่าอาณาเขตบ้านของครอบครัวซัลลิแวนเป็นเมืองๆ หนึ่งก็ยังได้ และทาสส่วนหนึ่งหลังได้รับการปลดปล่อยก็อพยพไปอาศัยอยู่บนเกาะซึ่งต่อมาได้ชื่อตามชื่อสกุลของคนในตระกูลนั้นเอง
“จะว่าอย่างนั้นก็คงได้”
“แอชลี่ย์กับเจซีก็ได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครสงสัยเพราะเท่ากับเธอเป็นภรรยาคุณแล้ว” เธอเดาต่อไปอีก “ใช่ไหมคะ”
ความเงียบของเขาในคราวนี้คือคำตอบ
“ก็ลงตัวดีนะคะ”
“ถ้าไม่คิดอะไรก็ลงตัวดีอยู่หรอก ในเมื่อตลอดเวลาที่แต่งงานกัน สองปีเกือบสามปี ผมมีเรื่องให้ต้องทำมาเรื่อยๆ ก็เลยไม่มีเวลาสนใจว่าอะไรควรเป็นอย่างไร”
เรื่องนั้นเธอเห็นจริง รู้จักเขามานานพอจะรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจังเพียงไร ลงว่า ไมลส์ บอลด์วิน คิดจะทำอะไรแล้วเขาทุ่มสุดตัวจนบ่อยครั้งที่ลืมเรื่องอื่นไปเลย
“ตอนนั้นผมกำลังตัดสินใจว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้แทนราษฎรดีไหม รัญก็รู้ว่าผู้แทนคนก่อนอยู่ในตำแหน่งเจ็ดสมัย นั่นเป็นประวัติที่น่ากลัวมากนะสำหรับคนที่จะมาท้าทายตำแหน่งนั้น รัญเองก็เงียบหายไปเลย คงไม่รู้ว่าผมไปหาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอตัว เคยโทรศัพท์ไปก็ไม่เคยว่าง คนอื่นรับทุกที ครั้งสองครั้งเป็นผู้ชาย และที่อพาร์ตเม้นต์ของรัญเองด้วย…”
เมื่อเขายกเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดถึง เธอค้านไม่ได้เลยในเมื่อเป็นความจริง แต่เขาคงไม่รู้ว่า ‘ผู้ชาย’ ที่เขาพูดถึง แท้จริงคือเพื่อนร่วมโครงงานวิจัยของเธอเอง เวลานั้นเธอเองก็ยุ่งกับวิทยานิพนธ์ และถือทิฐิเกินกว่าจะโทรกลับมาอธิบาย ก็ในเมื่อจากกันในลักษณะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมเวลานั้นต่างฝ่ายต่างก็ถือดีพอๆ กันเสียอีก
“…จะให้ผมเข้าใจว่ายังไง ผมรู้จักแอชลี่ย์มานาน รู้จักมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเล็ก ก็เลยคิดว่าต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมก็เลยคิดว่ามันลงตัวดี แต่งงานแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ แอชลี่ย์ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม คราวนี้โดยไม่ต้องปิดๆ บังๆ เหมือนก่อนเพราะถือว่าแต่งงานแล้ว…กับผู้ชายด้วย ส่วนผมก็ทำงานของผมต่อไปโดยไม่ต้องมีห่วงเรื่องครอบครัว รัญก็รู้ คนทางใต้แบบนี้สนับสนุนผู้แทนที่เขาคิดว่าจะเข้าใจปัญหาของเขายังไง ถ้ามีคนสมัครผู้แทนอายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน รัญคิดว่าเขาจะไม่สงสัยกันหรือว่าทำไม”
ฟังเขาอธิบาย รัญญาเห็นจริงตามนั้น เธอเองก็เคยทำวิจัยเรื่องการรับข่าวสารของผู้คน เคยศึกษาค่านิยมของประชาชนทางแถบนี้ ค่านิยมหลายๆ อย่างนั้นตายตัว ผู้ชายเมื่อถึงวัยหนึ่งแล้วยังไม่แต่งงานจะเริ่มกลายเป็นที่สงสัย ผู้แทนจะเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้คนได้ก็เมื่อดำเนินชีวิตแบบเดียวกัน เรื่องหนึ่งที่ผู้คนคิดกันไปเองคือถ้าผู้แทนไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก จะเข้าใจคนที่มีครอบครัวและมีลูกให้ต้องเลี้ยงดูได้อย่างไร