เราตั้งหัวข้อไปแบบนั้นเองค่ะ เพราะไม่รู้จะตั้งว่าอะไรซีเรียสกันมามากแล้ว เอาขำๆบ้างเนอะ แต่เขียนๆไปมันก็จริงจังอยู่ดีค่ะ เรามันพวกบ้าเหตุผล
เราขออกตัวก่อนที่จะเขียนอะไร เหมือนกับทุกครั้งว่า เราดูละครเรื่องนี้โดยดูแบบเป็นชีวิตจริงของคน เอาตัวเองไปยืนในจุดที่เค้ายืน เหมือนสำนวนฝรั่งที่ว่า "put oneself into someone else's shoes" คือเราลองไปใส่รองเท้าคู่เดียวกับเค้า จะได้เข้าใจว่ามันไม่พอดียังไง รองเท้ากัดมั้ย หลวมไป เดินไม่สบายรีเปล่า ถึงวิ่งไม่ทันคนอื่น จะได้เข้าใจเจ้าของรองเท้า หรือแปลเป็นไทย แต่มันไม่เห็นภาพเท่าว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ใจคนมันแลกกันไม่ได้เนอะคะ แลกรองเท้าง่ายกว่า 555
ที่เราต้องออกตัวแบบนี้ก็เพราะ ถ้าคนที่มาอ่านไม่ลองทำตัวเป็นเชษเหมือนกับที่เราทำ จะไม่เข้าใจอะไรที่เราเขียนเลยค่ะ ถ้ามองเป็นภาพกว้างแบบที่เป็นคนนอกมอง เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตรงหน้า เหมือนเป็นละครที่มาเล่นให้ดู เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขา ก็เข้าใจคนที่เราเอาใจช่วย อยากที่จะเข้าใจ ซึ่งในเรื่องนี้ก็คืออุบล ใครๆก็เห็นใจอุบลค่ะ เราเองก็สงสารมาก แต่ที่เราไม่ได้เขียนถึงอุบลเลย เพราะเราเข้าใจเค้าทุกแง่มุมแล้ว มันไม่ซับซ้อนเลยค่ะ เรื่องราวของอุบล รักมาก แค้นมาก ไม่ปล่อยวางก็เป็นทุกข์ ปล่อยวางได้ก็จบเรื่อง
แต่สำหรับเชษ ที่มองว่าเค้าก้าวร้าว แสดงออกแบบนั้นเพราะอะไร เพราะเค้าเป็นคนมีปมเรื่องครอบครัวค่ะ เราได้เคยวิเคราะห์ไว้ในกระทู้นี้ และเราก็คิดถูกเพราะนักแสดงออกมาเฉลยเอง เมื่อเป็นคนมีปม การแสดงออกจึงก้าวร้าว และไม่ได้เป็นกับทุกคน แต่เป็นกับสถานการณ์ที่คนที่เขารักและหวงแหนกำลังถูกคุกคาม หรือถูกพรากไป ในที่นี้ก็คือ อัคนีและทิพอาภา ซึ่งเป็นเพียงสองคนเท่านั้นที่เค้าพูดได้ว่าเป็นคนของเค้าจริงๆ เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสองคนนี้ให้ได้
http://ppantip.com/topic/35591601
สำหรับใครที่อ่านนิยาย จะเห็นว่าเชษบุคลิกไม่เหมือนแบบในละคร คือ ใจเย็นกว่า พูดจาดีๆ มีเหตุผลกว่า ไอ้บทพูดเจ้าปัญหาเมื่อคืน ในนิยายก็มีนะคะ ความหมายเดียวกัน แต่ในหนังสือภาษาสละสลวยกว่า
อุบล: ถ้าข้ารักใคร ข้าย่อมให้หมดทั้งวิญญาณ
เชษ: และยามเป็นทาส ความภักดีผูกพันนั้นเล่า
อุบล: ข้าให้ด้วยวิญญาณเช่นกัน
เชษ: งั้นท่านให้แก่ชายผู้นี้ ด้วยวิญญาณแห่งความภักดีทั้งหมด เมื่อสิ่งนั้นเป็นของเขาแล้ว ทำไมการใช้ของตัวเองจะมีความผิด
หลายคนอาจจะมองนะคะว่าเชษแบบในหนังสือน่ารักกว่า ทำตัวดีกว่า เพราะพูดจาดีกว่า แต่เราที่ยืนอยู่ในรองเท้าผู้ชายใหญ่ๆแล้วอาจจะเหม็นด้วย ของเชษในละคร เราคิดว่าคนที่กำลังเผชิญกับความตายทั้งของพี่ชาย ของทิพและของตัวเอง (ถ้าอัคนีต้องชดใช้ เชษกับทิพต้องการกลายเป็นวิญญาณล่องลอยไปจนกว่าจะถึงวาระแห่งตน) เค้าจะเอาความคิดที่ไหนมาประดิษฐ์คำพูดสวยๆแบบข้างบนคะ คิดอะไรได้ก็โพล่งออกไปหมดแหละตอนนั้น แล้วเรา (สิงเชษอยู่) ก็ไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะว่าเราเห็นแก่ตัวขนาดไหน ตราบใดที่เราช่วยชีวิตตัวเราเองกับเพื่อนๆได้ เรายอมทุกอย่างแหละ ในใจเชษเค้าก็สั่นแบบทุกคนที่ต้องลงไปในนรกนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ปมของเชษมันทำให้เค้าต้องแสดงออกแบบก้าวร้าว เพื่อปกป้องความอ่อนแอภายในไม่ให้ใครเห็น การล้วงกระเป๋าของเค้าก็เหมือนกัน มันเป็นภาษากายที่แสดงออกถึงความไม่มั่นใจค่ะ อันนี้มีทฤษฎีอยู่ ตำรวจจะใช้การสังเกตุการใช้ภาษากายจับพิรุจคนร้าย
ดังนั้นเชษ และทิพอาภาในละคร จึงมีความเป็นคนจริงๆมากกว่าในนิยายมากค่ะ ยิ่งในนิยายนะ เราไม่เคยเห็นเลยว่าเชษกับทิพทำไมผูกพันกับอัคนีมากขนาดที่ยอมลงไปในลานพิพากษาด้วย ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่ได้ขึ้นมา ทิพนี้เราว่าเราไม่เข้าใจละนะ เพราะนิยายก็ไม่ได้ปูทางมาเรื่องชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็ไม่ได้เป็นคู่หมั้น แค่รักข้างเดียว ยอมเสียสละชีวิตให้ เราแปลกใจมาก แต่กับเชษเรายิ่งงงกว่าอีก ก็แค่เพื่อน (ในนิยายเป็นเพื่อนสนิท) แล้วเชษมีแต่ความรักสนุก ไม่ได้จริงจังกับเรื่องของอัคนีอะไรเลย ทำไมเข้ามาแทรกตอนนี้ เราว่าละครทำให้เชษกับทิพอาภามีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผลขึ้นมากๆ
ส่วนวิธีการของเชษมันได้ผลมั้ย ตอบให้เลยว่าไม่ได้ค่ะ ถึงเชษในนิยายก็ไม่มีผลอะไรกับอุบล สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของอุบลมีอย่างเดียว คือคำให้การของคุณพระ อุบลต้องการรู้อย่างเดียวว่าพระอรรครักเธอ เมื่อรู้แล้วก็ไม่ได้ต้องการอะไรอีก อภัยให้ได้ทันที ถามว่าอุบลรู้เหตุผลเรื่องชาติมั้ย อุบลรู้ค่ะ แล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร ในละครมีหลายตอนเลยค่ะที่อุบลรู้ดีว่าถ้าจะดึงอดีตของอัคนีให้เขาจำได้ มันต้องเป็นเรื่องรักชาติเท่านั้น อุบลน้อยใจที่พระอรรครักชาติมากกว่าตัวเอง เรื่องนี้ทำให้อุบลเสียใจ แต่เรื่องที่ทำให้แค้นมา 249 ปี มันคือเรื่องเข้าใจผิด ที่คิดว่าพระอรรคหนีไปกับทิพ เมื่อแก้ปมตรงนี้ได้เรื่องก็จบค่ะ แม้แต่สิ่งที่ทิพจะพูดในตอนหน้า ให้เทียบความรักกัน โดยยกตัวเองสูง กดอุบลให้ต่ำ (ทำด้วยความหวังดี ไม่มีเจตนาร้าย) ก็ไม่มีผลต่ออุบลค่ะ ในละครเมื่อคืนก็เห็นกันแล้วว่าทิพกับเชษคืออากาศธาตุค่ะ อุบลกับอัคนีไม่สนใจเลย นี่มันเป็นเรื่องของเค้า เค้าต้องเคลียร์กันสองคน เชษน้อยพูดที อุบลหันไปตวาด ทิพพูดถามอะไรอยู่ข้างหลัง พี่อัคก็ไม่ฟัง
เราเขียนกระทู้เมื่อคืนเรื่องเทียบลานพิพากษากับศาล ว่าเงื่อนไขมันไม่เหมือนกัน และทิพกับเชษแทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจคดีของอุบล ถ้าอยากอ่านก็ลองตามไปดูค่ะ
http://ppantip.com/topic/35591753
ทีนี้มาประเด็นสุดท้าย ซึ่งจริงๆก็พูดไปแล้วเรื่องการแสดงออกของเชษ แต่มีคนแย้งเราเรื่องการที่นักแสดงแสดงไม่ถึงบท โดยเอาไปเปรียบเทียบกับการแสดงออกของอัคนี และทิพ ว่าทั้งสองคนนี้เถียงอุบลเหมือนกัน แต่ทำไมไม่น่ารำคาญไม่ดูก้าวร้าวเท่าเชษ เรื่องไม่ชอบลักษณะการแสดงของนักแสดง เล่นดีเล่นไม่ดี เราคงไม่ขอพูดถึง เพราะมันเป็นศิลปการแสดง เป็นรสนิยมของคน แต่เราขอพูดถึงความต้องการของตัวละครที่ต่างกัน ทำให้ต้องแสดงออกมาต่างกันนะคะ
อัคนีเถียงอุบลเพราะต้องการชี้แจงให้เข้าใจ คือการง้อคนรักที่กำลังเข้าใจผิด และยอมที่จะชดใช้ให้ อัคนีไม่ได้เถียงเพราะจะเอาอะไรจากอุบล เถียงให้ยอมรับเหตุผลของพระอรรคเท่านั้น อัคนีไม่มีความโกรธเลยค่ะ ฉากนี้ ถึงเป็นพระอรรคจำความได้แล้ว เสียงที่ดุอุบลก็ไม่ใช่ความโกรธเลยค่ะ มันคือความน้อยใจด้วยซ้ำ ว่าอุบลไม่เคยเข้าใจในความรักของพระอรรคเลย
ทิพยังไม่ได้เถียงอุบล ซีนของทิพคือตอนหน้า แต่ที่ทิพมีท่าที่ต่ออุบลที่แสดงออกถึงความสงสาร ที่เดินเข้าไปหาเพื่อปลอบใจ แล้วอุบลเดินหนี ที่ถามอัคนีด้วยความไม่แน่ใจว่า เค้าไม่ได้หนีไปด้วยกันใช่มั้ยคะ ท่าทีของทิพที่อ่อนโยนกับอุบล มันเป็นเพราะทิพมีความหลังที่เกิดร่วมชาติมากับพระอรรค ผ่านนิมิตที่อุบลให้เห็นบ่อยๆ ทิพจึงเข้าใจอุบล รับรู้มาตลอดว่าอุบลเจอกับอะไรมา จึงสงสารอุบลไม่ต่างกับอัคนี
ทีนี้มาเชษ (รีบเขียนดีกว่า เหม็นรองเท้า 555) เชษรู้เรื่องแล้วแหละว่าพระอรรคฆ่าอุบล เชษยังถามแทนอุบลเลยไม่ใช่เหรอตอนสุดท้ายน่ะ เชษคือคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรกับเค้าทั้งนั้น ไม่เคยมีอดีตร่วมกับใคร เค้าก็ย่อมเห็นใจอุบลน้อยกว่าสองคนข้างบนนั่น ตอนนี้อัคนียอมให้อุบลทุกอย่างแล้ว ยอมชดใช้แล้ว เหลือแค่อธิบายความจริง เชษก็ยิ่งร้อนใจ เวลาแห่งการตัดสินมันใกล้เข้ามาแล้ว คนที่เผชิญหน้ากับความตาย ก็ต้องกลัว ต้องโกรธ ต้องหาทางออกแบบเชษนี่แหละค่ะ
อ่ะตอนนี้เราออกมาจากรองเท้าของเชษแล้ว ตอนนี้เราเดินเท้าเปล่า ลากโซ่อยู่กับอุบล โดนกรวดตำเท้าด้วยอ่ะ รู้งี้กลับไปใส่รองเท้าหนังเหม็นๆยังดีกว่า
พูดได้คำเดียวค่ะ เกลียดไอ้เชษจังเลย ใครเอามันไปเก็บหน่อย !
ถึงลูกเชษของแม่ หวังว่าจะเป็นกระทู้สุดท้าย : เมื่อวันที่เราลองใส่รองเท้าของเชษฐา
เราขออกตัวก่อนที่จะเขียนอะไร เหมือนกับทุกครั้งว่า เราดูละครเรื่องนี้โดยดูแบบเป็นชีวิตจริงของคน เอาตัวเองไปยืนในจุดที่เค้ายืน เหมือนสำนวนฝรั่งที่ว่า "put oneself into someone else's shoes" คือเราลองไปใส่รองเท้าคู่เดียวกับเค้า จะได้เข้าใจว่ามันไม่พอดียังไง รองเท้ากัดมั้ย หลวมไป เดินไม่สบายรีเปล่า ถึงวิ่งไม่ทันคนอื่น จะได้เข้าใจเจ้าของรองเท้า หรือแปลเป็นไทย แต่มันไม่เห็นภาพเท่าว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ใจคนมันแลกกันไม่ได้เนอะคะ แลกรองเท้าง่ายกว่า 555
ที่เราต้องออกตัวแบบนี้ก็เพราะ ถ้าคนที่มาอ่านไม่ลองทำตัวเป็นเชษเหมือนกับที่เราทำ จะไม่เข้าใจอะไรที่เราเขียนเลยค่ะ ถ้ามองเป็นภาพกว้างแบบที่เป็นคนนอกมอง เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตรงหน้า เหมือนเป็นละครที่มาเล่นให้ดู เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขา ก็เข้าใจคนที่เราเอาใจช่วย อยากที่จะเข้าใจ ซึ่งในเรื่องนี้ก็คืออุบล ใครๆก็เห็นใจอุบลค่ะ เราเองก็สงสารมาก แต่ที่เราไม่ได้เขียนถึงอุบลเลย เพราะเราเข้าใจเค้าทุกแง่มุมแล้ว มันไม่ซับซ้อนเลยค่ะ เรื่องราวของอุบล รักมาก แค้นมาก ไม่ปล่อยวางก็เป็นทุกข์ ปล่อยวางได้ก็จบเรื่อง
แต่สำหรับเชษ ที่มองว่าเค้าก้าวร้าว แสดงออกแบบนั้นเพราะอะไร เพราะเค้าเป็นคนมีปมเรื่องครอบครัวค่ะ เราได้เคยวิเคราะห์ไว้ในกระทู้นี้ และเราก็คิดถูกเพราะนักแสดงออกมาเฉลยเอง เมื่อเป็นคนมีปม การแสดงออกจึงก้าวร้าว และไม่ได้เป็นกับทุกคน แต่เป็นกับสถานการณ์ที่คนที่เขารักและหวงแหนกำลังถูกคุกคาม หรือถูกพรากไป ในที่นี้ก็คือ อัคนีและทิพอาภา ซึ่งเป็นเพียงสองคนเท่านั้นที่เค้าพูดได้ว่าเป็นคนของเค้าจริงๆ เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตสองคนนี้ให้ได้
http://ppantip.com/topic/35591601
สำหรับใครที่อ่านนิยาย จะเห็นว่าเชษบุคลิกไม่เหมือนแบบในละคร คือ ใจเย็นกว่า พูดจาดีๆ มีเหตุผลกว่า ไอ้บทพูดเจ้าปัญหาเมื่อคืน ในนิยายก็มีนะคะ ความหมายเดียวกัน แต่ในหนังสือภาษาสละสลวยกว่า
อุบล: ถ้าข้ารักใคร ข้าย่อมให้หมดทั้งวิญญาณ
เชษ: และยามเป็นทาส ความภักดีผูกพันนั้นเล่า
อุบล: ข้าให้ด้วยวิญญาณเช่นกัน
เชษ: งั้นท่านให้แก่ชายผู้นี้ ด้วยวิญญาณแห่งความภักดีทั้งหมด เมื่อสิ่งนั้นเป็นของเขาแล้ว ทำไมการใช้ของตัวเองจะมีความผิด
หลายคนอาจจะมองนะคะว่าเชษแบบในหนังสือน่ารักกว่า ทำตัวดีกว่า เพราะพูดจาดีกว่า แต่เราที่ยืนอยู่ในรองเท้าผู้ชายใหญ่ๆแล้วอาจจะเหม็นด้วย ของเชษในละคร เราคิดว่าคนที่กำลังเผชิญกับความตายทั้งของพี่ชาย ของทิพและของตัวเอง (ถ้าอัคนีต้องชดใช้ เชษกับทิพต้องการกลายเป็นวิญญาณล่องลอยไปจนกว่าจะถึงวาระแห่งตน) เค้าจะเอาความคิดที่ไหนมาประดิษฐ์คำพูดสวยๆแบบข้างบนคะ คิดอะไรได้ก็โพล่งออกไปหมดแหละตอนนั้น แล้วเรา (สิงเชษอยู่) ก็ไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะว่าเราเห็นแก่ตัวขนาดไหน ตราบใดที่เราช่วยชีวิตตัวเราเองกับเพื่อนๆได้ เรายอมทุกอย่างแหละ ในใจเชษเค้าก็สั่นแบบทุกคนที่ต้องลงไปในนรกนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ปมของเชษมันทำให้เค้าต้องแสดงออกแบบก้าวร้าว เพื่อปกป้องความอ่อนแอภายในไม่ให้ใครเห็น การล้วงกระเป๋าของเค้าก็เหมือนกัน มันเป็นภาษากายที่แสดงออกถึงความไม่มั่นใจค่ะ อันนี้มีทฤษฎีอยู่ ตำรวจจะใช้การสังเกตุการใช้ภาษากายจับพิรุจคนร้าย
ดังนั้นเชษ และทิพอาภาในละคร จึงมีความเป็นคนจริงๆมากกว่าในนิยายมากค่ะ ยิ่งในนิยายนะ เราไม่เคยเห็นเลยว่าเชษกับทิพทำไมผูกพันกับอัคนีมากขนาดที่ยอมลงไปในลานพิพากษาด้วย ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่ได้ขึ้นมา ทิพนี้เราว่าเราไม่เข้าใจละนะ เพราะนิยายก็ไม่ได้ปูทางมาเรื่องชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็ไม่ได้เป็นคู่หมั้น แค่รักข้างเดียว ยอมเสียสละชีวิตให้ เราแปลกใจมาก แต่กับเชษเรายิ่งงงกว่าอีก ก็แค่เพื่อน (ในนิยายเป็นเพื่อนสนิท) แล้วเชษมีแต่ความรักสนุก ไม่ได้จริงจังกับเรื่องของอัคนีอะไรเลย ทำไมเข้ามาแทรกตอนนี้ เราว่าละครทำให้เชษกับทิพอาภามีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผลขึ้นมากๆ
ส่วนวิธีการของเชษมันได้ผลมั้ย ตอบให้เลยว่าไม่ได้ค่ะ ถึงเชษในนิยายก็ไม่มีผลอะไรกับอุบล สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของอุบลมีอย่างเดียว คือคำให้การของคุณพระ อุบลต้องการรู้อย่างเดียวว่าพระอรรครักเธอ เมื่อรู้แล้วก็ไม่ได้ต้องการอะไรอีก อภัยให้ได้ทันที ถามว่าอุบลรู้เหตุผลเรื่องชาติมั้ย อุบลรู้ค่ะ แล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร ในละครมีหลายตอนเลยค่ะที่อุบลรู้ดีว่าถ้าจะดึงอดีตของอัคนีให้เขาจำได้ มันต้องเป็นเรื่องรักชาติเท่านั้น อุบลน้อยใจที่พระอรรครักชาติมากกว่าตัวเอง เรื่องนี้ทำให้อุบลเสียใจ แต่เรื่องที่ทำให้แค้นมา 249 ปี มันคือเรื่องเข้าใจผิด ที่คิดว่าพระอรรคหนีไปกับทิพ เมื่อแก้ปมตรงนี้ได้เรื่องก็จบค่ะ แม้แต่สิ่งที่ทิพจะพูดในตอนหน้า ให้เทียบความรักกัน โดยยกตัวเองสูง กดอุบลให้ต่ำ (ทำด้วยความหวังดี ไม่มีเจตนาร้าย) ก็ไม่มีผลต่ออุบลค่ะ ในละครเมื่อคืนก็เห็นกันแล้วว่าทิพกับเชษคืออากาศธาตุค่ะ อุบลกับอัคนีไม่สนใจเลย นี่มันเป็นเรื่องของเค้า เค้าต้องเคลียร์กันสองคน เชษน้อยพูดที อุบลหันไปตวาด ทิพพูดถามอะไรอยู่ข้างหลัง พี่อัคก็ไม่ฟัง
เราเขียนกระทู้เมื่อคืนเรื่องเทียบลานพิพากษากับศาล ว่าเงื่อนไขมันไม่เหมือนกัน และทิพกับเชษแทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจคดีของอุบล ถ้าอยากอ่านก็ลองตามไปดูค่ะ
http://ppantip.com/topic/35591753
ทีนี้มาประเด็นสุดท้าย ซึ่งจริงๆก็พูดไปแล้วเรื่องการแสดงออกของเชษ แต่มีคนแย้งเราเรื่องการที่นักแสดงแสดงไม่ถึงบท โดยเอาไปเปรียบเทียบกับการแสดงออกของอัคนี และทิพ ว่าทั้งสองคนนี้เถียงอุบลเหมือนกัน แต่ทำไมไม่น่ารำคาญไม่ดูก้าวร้าวเท่าเชษ เรื่องไม่ชอบลักษณะการแสดงของนักแสดง เล่นดีเล่นไม่ดี เราคงไม่ขอพูดถึง เพราะมันเป็นศิลปการแสดง เป็นรสนิยมของคน แต่เราขอพูดถึงความต้องการของตัวละครที่ต่างกัน ทำให้ต้องแสดงออกมาต่างกันนะคะ
อัคนีเถียงอุบลเพราะต้องการชี้แจงให้เข้าใจ คือการง้อคนรักที่กำลังเข้าใจผิด และยอมที่จะชดใช้ให้ อัคนีไม่ได้เถียงเพราะจะเอาอะไรจากอุบล เถียงให้ยอมรับเหตุผลของพระอรรคเท่านั้น อัคนีไม่มีความโกรธเลยค่ะ ฉากนี้ ถึงเป็นพระอรรคจำความได้แล้ว เสียงที่ดุอุบลก็ไม่ใช่ความโกรธเลยค่ะ มันคือความน้อยใจด้วยซ้ำ ว่าอุบลไม่เคยเข้าใจในความรักของพระอรรคเลย
ทิพยังไม่ได้เถียงอุบล ซีนของทิพคือตอนหน้า แต่ที่ทิพมีท่าที่ต่ออุบลที่แสดงออกถึงความสงสาร ที่เดินเข้าไปหาเพื่อปลอบใจ แล้วอุบลเดินหนี ที่ถามอัคนีด้วยความไม่แน่ใจว่า เค้าไม่ได้หนีไปด้วยกันใช่มั้ยคะ ท่าทีของทิพที่อ่อนโยนกับอุบล มันเป็นเพราะทิพมีความหลังที่เกิดร่วมชาติมากับพระอรรค ผ่านนิมิตที่อุบลให้เห็นบ่อยๆ ทิพจึงเข้าใจอุบล รับรู้มาตลอดว่าอุบลเจอกับอะไรมา จึงสงสารอุบลไม่ต่างกับอัคนี
ทีนี้มาเชษ (รีบเขียนดีกว่า เหม็นรองเท้า 555) เชษรู้เรื่องแล้วแหละว่าพระอรรคฆ่าอุบล เชษยังถามแทนอุบลเลยไม่ใช่เหรอตอนสุดท้ายน่ะ เชษคือคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรกับเค้าทั้งนั้น ไม่เคยมีอดีตร่วมกับใคร เค้าก็ย่อมเห็นใจอุบลน้อยกว่าสองคนข้างบนนั่น ตอนนี้อัคนียอมให้อุบลทุกอย่างแล้ว ยอมชดใช้แล้ว เหลือแค่อธิบายความจริง เชษก็ยิ่งร้อนใจ เวลาแห่งการตัดสินมันใกล้เข้ามาแล้ว คนที่เผชิญหน้ากับความตาย ก็ต้องกลัว ต้องโกรธ ต้องหาทางออกแบบเชษนี่แหละค่ะ
อ่ะตอนนี้เราออกมาจากรองเท้าของเชษแล้ว ตอนนี้เราเดินเท้าเปล่า ลากโซ่อยู่กับอุบล โดนกรวดตำเท้าด้วยอ่ะ รู้งี้กลับไปใส่รองเท้าหนังเหม็นๆยังดีกว่า
พูดได้คำเดียวค่ะ เกลียดไอ้เชษจังเลย ใครเอามันไปเก็บหน่อย !