(แฟนคลับจีน) บทความของฮุ่ยรั่วฉี ประมาณต้นปี 2015 (เก่าไปหน่อย แต่เห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาแบ่งปันค่ะ)

กระทู้ข่าว
จขกท : เพิ่มเติมนะคะ บทความนี้เขียนเมื่อ มกราคม 2015 นะคะ ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นที่ทราบกันว่า เสี่ยวฮุ่ยพลาดจากการไปแข่งเวิลคัพ 2015 เพราะช่วงก่อนวันออกเดินทาง พบว่าโรคหัวใจเกิดกำเริบขึ้นอีกครั้ง และสุดท้ายก็อดไป จากนั้นก็เข้ารับการผ่าตัด และใช้เวลาฟื้นฟูซึ่งขณะนั้นมีระยะเวลาไม่ถึงปีก็จะถึงการแข่งขัน โอลิมปิค .... ส่วนตัว จขกท ไม่อยากจะคิดเลยว่าช่วง 2013-2016 ฮุ่ยผ่านอะไรมาบ้าง ปัญหาด้านจิตใจและปัญหาด้านร่างกาย ยอมค่ะ

เริ่มบทความ..............
ส่งท้ายปีในการอำลาปี 2014 โดยการสัมพาษณ์ฮุ่ยรั่วฉี ผ่านไป 1 ปี เต็ม เขาได้กลับมาค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาหรือไม่ (ความสุขที่ได้รับจากการเล่นวอลเล่ย์บอล)

1 ปีก่อนเขาถือถุงเกาลัคมาให้สัมพาษณ์ ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขื้นยิ้มแย้มแจ่มใสแต่พูดไปได้ไม่กี่คำก็กลับร้องให้ออกมา ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้ฉันไม่สามารถลืมมันได้ ฉันไม่เคยเห็นฮุ่ยรั่วฉีแบบนี้มาก่อน แต่เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้นั้น ทำให้ฉันมองเขาเปลี่ยบนไป เหมือนแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นทำให้ฉันเข้าใจเขามากขึ้น เด็กสาวคนหนึ่งที่ทำตามฝันอย่างมีความสุขยินยอนอดทนพยายามเพื่อวอลเล่ย์บอล ตอนที่ไม่ควรจะลืมความรู้สึกเหล่านั้นกลับกลายป็นความจากลำบากที่จะกลับไปค้นพบความรู้สึกที่หายไปอีกครั้ง........

อีกไม่นานเขาก็ต้องเก็บของและไปรายงานตัวกับทีมเหิงต้ากับโค้ชหลาง (ลีคปี 2013-2014)
จากทีมชาติถึงการแข่งขันลีค มีแค่เขาคนเดียวที่ได้อยู่คู่กับโค้ชหลาง ตามข้อมูลคือค่าแรงเรียกได้ว่าสูงเลยทีเดียว เขาได้รับการดูแลสั่งสอนอย่างดีจากโค้ชหลางผิง เป็นเหตุผลให้คนจำนวนไม่น้อยอิจฉาฮุ่ยรั่วฉี ในสายตาของคนทั่วไปเขาคือนักกีฬาวอลเล่ย์บอลที่โชคดีและเป็นที่รักของโค้ชหลางผิง แต่สิ่งพวกนี้ก็เป็นดาบสองคม เขาได้รับคำสบประมาท ความสงสัยจากคนที่ไม่ชอบเขา และสิ่งที่แทงใจเขามากที่สุดคือคำวิจารณ์ที่ว่า “ฮุ่ยรั่วฉีความสามารถไม่ถึง เขาอยู่กับหลางผิงมาตั้งนาน แต่ไม่เห็นจะพัฒนาอะไรเลย”

เขายอมรับว่าเขาเป็นคนที่หวั่นไหวง่าย คำวิจารณ์เหล่านั้นสามารถทำร้ายจิตใจเขาได้ แต่โชคดีที่เขารายล้อมไปด้วยสิ่งดีๆ ที่คอยสนับสนุนและให้กำลังใจเชา และบอกเขาว่าความสำเร็จคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความอดทนพยายามในช่วงเวลาที่ประสบปัญหาที่ยากลำบากที่สุด
”มักพูดว่าความสำเร็จเกิดหลังจากความพยายามอดทนสู้ ฉันสู้มาตลอด ไม่ว่าจะเหนื่อย แพ้ บาดเจ็บ ฉันก็ยังสู้ แต่ทำไมมองไม่เห็นความหวัง” เขามักจะอ่านหนังสือพวกสร้างแรงบันดาลใจ ในบางครั้งเหมือนจะเห็นความหวัง แต่แล้วโชคชะตาก็มักจะเล่นตลกกับเขา ทดสอบความซื่อสัตย์ที่เขามีต่อวอลเล่ย์บอล......

ตรุษจีนปีม้า (2014) ในเช้าวันที่ 2 ของวันตรุษจีน ทุกคนกำลังเฉลิมฉลอง พี่ชายและภรรยาของเขาตั้งใจมาฉลองตรุษจีนเป็นเพื่อนเขาที่กวางเจา และเขากำลังช่วยพี่ชายเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในตอนนั้นอยู่ดีๆ เสี่ยวฮุ่ยรู้สึกว่าหัวใจสั่นๆ เป็นระยะๆ เขารู้สึกกลัว และถามพี่ชายว่ามันคืออาการอะไร พี่ชายคิดว่าเขาอาจจะซ้อมวอลเล่ย์เหนื่อยเกินไป ให้ลองดูอาการสัก 2 วัน ฮุ่ยรั่วฉีรับปากพี่ชาย แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากส่งพี่ชายแล้ว อาการที่ว่าก็กลับมาอีกครั้ง เขาจึงไปโรงพยายาลใกล้ๆ เพื่อตรวจอาการ แพทย์เวรดูผลจากภาพคลื่นหัวใจไฟฟ้าน่าจะมีอาการผิดปกติ และบอกให้เขารอให้พ้นช่วงตรุษจีนให้กลับมาตรวจโดยละเอียดอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับจากโรงพยาบาลมาเหิงต้า เขารู้สึกมืดมน คิดไปคิดมาเขาตัดสินใจไม่ที่จะไม่บอกพ่อกับแม่ก่อน และคิดจะโทรหาโค้ชหลาง แต่ในช่วงที่อาการยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นอะไรกันแน่ เขาก็ไม่อยากที่จะหยุดซ้อม แต่ระหว่างทางก็ยังมีอาการอยู่เรื่อยๆ ถึงขนาดมีบางช่วงที่เหมือนหัวใจเต้นบางช่วงและมีหยุดบางช่วง เมื่อถึงที่พัก ตอนเดินผ่านห้องโค้ชหลาง เขาหยุดลังเลสักครู่และตัดสินใจที่จะเคาะประตูเข้าไปคุยกับโค้ชหลาง

หลางผิงบอกให้เขาอย่ากลัวอย่าคิดมาก ตอนที่เขาเป็นนักกีฬาก็เคยเกิดอาการแบบนี้ หลางผิงให้เสี่ยวฮุ่ยไปตรวจเลือด และจะช่วยหาหมอที่ปักกิ่งมารักษา คำปลอบของโค้ชหลางทำให้เสี่ยวฮุ่ยอุ่นใจขึ้นไม่น้อย แต่ก็เป็นไปตามที่เสี่ยวฮุ่ยคาดการณ์ไว้ ในวันถัดมา หลางผิงไม่ได้ให้เสี่ยวฮุ่ยซ้อมรวมกับเพื่อนตามปกติ หรือพูดได้ว่าเขาแค่ซ้อมครึ่งพักครึ่ง
“การดูเพื่อนๆ ซ้อมเพื่อเตรียมสำหรับการแข่งขันที่จะมาถึง แต่ฉันได้แค่นั่งรอที่จะเข้ารับการตรวจอาการอีกครั้ง ทำให้ฉันรู้สึกร้อนใจ ทุกครั้งที่โทรคุยกับพ่อ ก็จะบอกให้พ่อช่วยหาหมอที่เก่งๆ ให้” คุณพ่อได้ให้เพื่อนของเขาช่วยติดต่อ และส่งชื่อหมอมาให้ แต่เสี่ยวฮุ่ยกลับพบว่าหมอที่ว่าไม่ได้เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในการรักษาด้านหัวใจ (ที่เมืองกวางเจา)

สุดท้ายเสี่ยวฮุ่ยตัดสินใจไปโรงพยาลเอง ตามข้อมูลที่ค้นหามาว่ามีหมอที่มีชื่อเสียงอยู่ที่นั่น
“เมื่อไปถึง ฉันก็ถึงกลับยืนงงไปชั่วขณะ ฉันวันๆมีแต่เรื่องซ้อมๆๆ และไม่ค่อยได้เจอกับโลกภายนอกเยอะเท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่าโรงพยาบาลจะมีคนมากขนาดนี้ ฉันไปถึง 9 โมงเข้า แต่คิวสำหรับช่วงเช้าของหมอท่านนั้นเต็มแล้ว สอบถามไปมาได้ความว่าให้ลองรอดูถึงช่วงบ่ายหมอท่านนั้นอาจยอมเพิ่มคิวให้เข้าตรวจได้” จากเหิงต้ามาก็ไกล เสี่ยวฮุ่ยตัดสินใจหาจะนั่งรอ เขาซื้อน้ำกับขนมปังกินเป็นอาหารเที่ยง
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารขนาดนี้ แต่ครั้งนี้อยู่ๆก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ เขารอจนช่วงบ่ายเพื่อวิ่งไปต่อคิว แต่แล้วเขาก็ต้องน้ำตาไหล เนื่องจากคิวของหมอท่านนั้น เต็มจนถึงเดือนหน้า

เดือนหน้า....การแข่งขันก็จบฤดูการพอดี นึกถึงเพื่อนร่วมทีมกำลังซ้อม ในขณะที่เขาไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้ คิดถึงตรงนี้ทำให้เขารู้สึกร้อนใจอย่างมาก .....”ในตอนนั้นการแข่งขันลีคกำลังเข้าสู่รอบคัด 4 ทีมสุดท้าย เหิงต้าก็ขาดคนอยู่แล้ว ถ้าฉันมาป่วยอีก โค้ชหลางก็คงไม่เหลือนักกีฬาให้ใช้แล้ว ปีนั้นเป็นปีที่เหิงต้าตกที่นั่งลำบากเพราะนักกีฬาบาดเจ็บ และป่วยมาก รอบก่อนรองชนะเลิศฉันไปหาโค้ชหลางขอลงสนาม แม้จะเสี่ยงแต่ฉันก็ยอม โค้ชหลางฟังฉันพูดถึงแค่นั้นเริ่มที่จะปลอบฉัน ฉันไปหาโค้ชหลางเพราะเป็นห่วงโค้ชเรื่องตัวผู้เล่นหลักไม่พร้อม แต่กลับกลายเป็นโค้ชที่มาปลอบฉัน ให้ฉันอย่าใจร้อน และให้มองถึงระยะยาว”

ในที่สุด รอบก่อนรองชนะเลิศที่แข่งกับทีมเจ้อเจียง ฮุ่ยรั่วฉีผู้ซึ่งไม่ได้ซ้อมมา 2 อาทิตย์ แม้แต่การฝึกกำลังก็ไม่ได้ซ้อม ก็มีโอกาสได้ลงสนาม แต่แค่เป็นตัวสำรองคั่นเวลาสั้นๆ ....การแข่ง 3 สนาม ฮุ่ยรั่วฉีทำคะแนนไป 12 คะแนน เวลาลงสนามรวม 13 นาที 6 วิ และในสนามที่ 3 ที่เป็นแต้มแมทพ้อย เขารับบอลแรกพลาดข้ามกลับมาฝ่ายตรงข้าม ..... การแข่งขันจบลง ....เขาร้องไห้
“มันไม่ได้ยากอะไรเลย แต่ฉันทำมันได้ไม่ดี มันไม่น่าให้อภัย โค้ชหลางบอกให้ฉันเก็บแรงไว้ อย่าตะโกนมาก อย่าตื่นเต้นมาก .... ผลงานของฉันตอนนั้น ทำให้ฉันเตรียมพร้อมสำหรับการโดนด่า”

(นักข่าว) ตอนนั้นฉันถามเขาว่าคุณร้องไห้ตอนแพ้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เสี่ยวฮุ่ยตอบว่าเขาร้องล่าสุดคือกลางปีที่แล้วชิงแชมป์เอเชียที่แพ้ให้กับทีมไทย ฉันถามเขาไปอีกว่าคุณเคยมีความรู้สึกครั้งไหนไหมว่าทีมแพ้เพราะตัวเอง เขาบอกว่ามีแน่นอน แต่ไม่เคยรู้สึกเจ็บเท่าครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรก
“มักพูดกันว่าความสำเร็จคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความอดทนพยายาม ฉันพยายามมาโดยตลอด เหนื่อย แพ้ บาดเจ็บ ก็ยังสู้ แต่ทำไมมองไม่เห็นความหวังเลย .......ยิ่งเดินไปข้างหน้าความคาดหวังของทุกๆคนที่มีมาก็เพิ่มสูงขึ้น

”ฤดูการแข่งขันลีคจบลง ไม่ช้าก็ต้องไปเริ่มซ้อมกับทีมชาติ โค้ชหลางแนะนำให้ฉันใช้เวลาช่วงพักสั้นๆ นี้ไปเที่ยวต่างประเทศให้ลืมเรื่องวอลเล่ย์ไปเลยยิ่งดี แต่เมื่อฉันกลับบ้าน ที่บ้านไม่มีใครว่าง ฉันเลยล้มเลิกความคิดจะไปเมืองนอก และใช้เวลานี้ในการตรวจอาการหัวใจอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีบอกฉันได้ว่า ฉันยังสามารถจะฝึกซ้อมต่อไปได้ไหม”

เสี่ยวฮุ่ยยังคงมีความรู้สึกใจสั่นอยู่ แม้ว่าอาการนี้จะเป็นอาการทางร่างกาย แต่ในปี 2014 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงที่เขาไปรายงานตัวกับทีมชาติติดต่อกันเป็นปีที่ 6 เขากลับบอกไม่ได้ว่าอาการใจสั่นของเขาใช่มีส่วนเกิดจากอาการทางจิตใจด้วยหรือไม่ มากไปกว่านั้น เขาเริ่มไม่มั่นใจและเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง
ก่อนออกเดินทางไปเก็บตัวทีมชาติ ปกติแล้วพ่อและแม่ของเขาจะพูดเพื่อให้กำลังใจ แต่รอบนี้คำพูดของท่านค่อนข้างมีความหมายเป็นนัยยะแฝงไว้ ท่านบอกว่า “นักกีฬาใหม่ที่ถูกเรียกเข้าเก็บตัวรอบนี้ค่อนข้างมาก และมีความสามารถทั้งนั้น แถมฉันยังเว้นวรรคการซ้อมเป็นเวลานาน ช่วงเริ่มต้นอาจจะเล่นได้ไม่ดี จะรักษาให้เป็นผู้เล่นหลักอาจจะยาก ไปเก็บตัวทีมชาติรอบนี้ไม่ว่ายังไงก็อย่าใจร้อน สุขภาพร่างกายสำคัญที่สุด พวกเขารู้ว่าฉันเข้มแข็ง เลยกลัวว่าฉันจะแข็งขืน ฝืนมากจนเกินไป

เสี่ยวฮุ่ยก็เตือนตัวเองให้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พักผ่อนเพียงพอ ค่อยๆ เพิ่มความหนักในการฝึกซ้อม การซ้อมรวมทีมจนถึงวันก่อนออกเดินทางไปร่วมแข่งขันรายการมองเทรอ (ปี 2014) เขาก็ฝึกซ้อมได้ไม่มาก ดังนั้นฟอร์มการเล่นในรายการนั้นเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้มาก แต่จากประสบการณ์ในหลายปีของเขา เขารู้ว่าการผิดพลาดของเขามักจะถูกนำมาวิจารณ์ในวงกว้าง และความสามารถในตำแหน่งของเขารวมถึงบทบาทของกัปตันทีมมักถูกนำมาพูดรวมกัน ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก....อย่างไรก็ตามอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

สนามแรกผ่านไป แม้ว่าจีนจะชนะ แต่บอลแรกของฮุ่ยรั่วฉีทำได้ไม่ดีนัก ภายนอกแน่นอนว่าเขาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจเต็มไปด้วยความประหม่าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการเป็นตัวจริงของทีม การเป็นกัปตันทีม มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะพังทลายลงไปได้
“ช่วงเวลานั้นคนที่ให้กำลังใจฉันมากที่สุดคือ ติงเสีย(มือเซ็ต) แต่ก่อนพวกเราไม่ได้สนิทกัน ตอนเก็บตัวได้ถูกจัดให้นอนห้องเดียวกันจึงเริ่มสนิทกัน เรามีนิสัยที่คล้ายกัน  ในช่วงนั้นเขาก็มีปัญหาส่วนตัวของเขา ฉันก็มีปัญหาของฉัน พวกเราคุยกันบ่อยๆ ถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ เขามักให้กำลังใจฉัน (ติงเสีย : ฮุ่ย คุณยอดเยี่ยม ความพยายามของคุณทุกคนรู้และเห็นมัน สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันต้องไม่สูญเปล่าแน่นอน) ......เสี่ยวฮุ่ยพยายามที่จะไม่ร้องออกมาต่อหน้าติงเสีย ตอนแข่งรายการมองเทรอ ทุกๆสนาม ที่ลงแข่งมันมีความรู้สึกกดดัน ทุกครั้งที่แข่งเสร็จฉันอยากจะหาที่ที่ไม่มีใครแล้วปล่อยให้ร้องไห้ออกมา แต่ยังดีว่าฉันได้ร้องไปแค่ครั้งเดียว ตอนนั้นฉันหลบอยู่ในห้องน้ำแล้วร้องไห้อยู่พักนึง

จากสวิสกลับมาจีนถึงรายการ WGP รวมเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนเต็ม ฮุ่ยรั่วฉีพยายามหาคำตอบกับสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ เขาควรจะทำยังไงดี “ในช่วงเวลานั้นเหมือนเข้าใจอะไรเยอะขึ้น ยิ่งเดินไปข้างหน้า ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังของคนที่จ้องมองอยู่ ความรับผิดชอบของฉันก็เหมือนเพิ่มขึ้น แต่ความสามารถของฉันมันถูกจำกัด ฉันกลัวจะได้ยินคนอื่นพูดว่าฉันไม่ดีพอ คำพูดพวกนี้มันทำร้ายฉันมาก”..... พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงของฮุ่ยก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้กลัวความเจ็บปวด แต่เขาไม่ต้องการจะให้ใครรู้ถึงบาดแผลที่อยู่ในใจของเขา

ไม่ต้องสนใจสื่อพวกนั้นได้ไหม ไม่ต้องไปฟังคนพวกนั้นว่าเขาพูดอะไร นึกถึงตอนแรกที่เริ่มเล่นวอลเล่ย์ และไปโฟกัสที่จุดนั้น.....เสี่ยวฮุ่ยทวนคำถามพวกนี้กับตัวเอง แน่นอนเขารู้คำตอบ แต่กลัวตัวเองจะทำไม่ได้ “โค้งหลางมักพูดว่าฉันไม่ค่อยปล่อยให้อะไรๆมันเป็นไปแบบสบายๆ ฉันก็รู้ว่าถ้าผ่อนความตึงลงบ้างมันจะดีขนาดไหน แต่ฉันยังทำไม่ได้”

ปี 2013 ท้ายปี สัมพาษณ์ฮุ่ยรั่วฉีครั้งนั้น เขาคาดหวังว่าตัวเองจะสามารถปล่อยอะไรให้มันสบายๆได้บ้าง แต่แล้วผ่านไปครึ่งปี ความทุกข์ที่สะสมมานาน และการเฝ้าหาวิธีแก้ไขกลับไม่มีอะไรดีขึ้น กลับทำให้เขายิ่งถลำลึกไปมากกว่าเดิม
ช่วงเวลาที่สับสนมากที่สุด เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้คนเดียว ไม่บอกพ่อแม่ เพื่อน เพื่อนร่วมทีม ขนาดสต๊าฟโค้ชเองก็ไม่ทราบว่าช่วงเวลานั้นจิตใจของเรากำลังเผชิญกับอะไร

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่