สวัสดีครับทุกท่าน ผมกลับมาเล่าเรื่องโค้งสยองของโมนาต่อแล้วนะครับ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาลงเรื่องช้าเพราะป่วย (นั่งนานๆ ไม่ค่อยได้ เลยเขียนงานช้ากว่าปกติ) ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามพร้อมกับการแชร์ รวมถึงข้อความที่หลังไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
เรื่องชุดนี้เป็นงานขนาดสั้น ผมผสมผสานตัวละครซึ่งมีทั้งสร้างขึ้นใหม่และมีอยู่จริง ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงสถานที่ หลายคนคงคุ้นๆ
และเนื้อหาผมได้เสริมหลายสิ่งเข้าไปเพื่อความสนุก แต่แน่นอน ความหลอน และความเฮี้ยน ล้วนเป็นเรื่องจริงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เนื้อหาเรื่องนี้จะเป็นตอนๆ นะครับ แต่ละตอนไม่ยาวมาก ผมจะทยอยลงไปเรื่อยๆ
ปล. ผมเขียนและลง งานจึงช้าครับ
หลังจบ ตอน "รอยยิ้มของโมนา" จะต่อด้วย "ด้วยรักและกลืนกิน" ครับ
ปล.2 เรื่องเล่านี้ ผมเขียนไปลงไป ช้าแต่ลงไปเรื่อยๆ ครับ หากขาดตอน หรือไม่รวดเร็วขออภัยด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจครับ
ย้อนความเดิมกันเล็กน้อย
“ขับไปข้างหน้าอีกหน่อย ก็ถึงโค้งโมนา” เขาส่งยิ้มให้ผม รอยยิ้มนั้นชวนฉงนและแฝงด้วยเจตนาร้าย
“โค้งโมนา โค้งโมนา...” ผมทวนคำด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
ผมได้ยินเรื่องนี้จากการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ท และสอบถามเพื่อนๆ ที่ชอบเรื่องลึกลับ โค้งดังกล่าวมีตำนานดังนี้ หลายสิบปีก่อนลูกครึ่งสาวสวย ชื่อโม (แต่คนเรียกกันว่า โมนา ซึ่งย่อจาก โมนาลิซ่า) โมนากระโดดตึก 9 ชั้น เสียชีวิตคาที่ แขนขาหัก ใบหน้ากระแทกขอบปูนอย่างแรง จนเป็นที่สยดสยอง เพราะบริเวณปากด้านล่างฉีกเป็นทางยาวไปจนถึงใบหู ถึงคนแต่งศพจะช่วยเย็บให้เข้าที่ แต่ยังเห็นฝีเย็บเป็นทางยาว ฝ่ายญาติจึงช่วยกันแต่งหน้าโมนาอย่างสวยงาม และทาลิปสติกสีแดงสดอย่างที่เธอชอบเพื่อปกปิดแผล
ในคืนสุดท้ายก่อนฝังศพ คนที่เข้าไปรดน้ำศพลือว่าโมนาแสยะยิ้มให้ ภาพดังกล่าวติดตาหลายคนจนเป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึง
ศพโมนาถูกนำมาฝังที่วัดป่าคุณตาทวดของเธอเคยเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ตามธรรมเนียมทางวัดจะติดรูปผู้ตายไว้บนกำแพง มารดาเธอเป็นแม่ม่ายได้รับมรดกจากสามีหลายสิบล้าน นางถวายเงินให้ทางวัดเป็นจำนวนมาก โมนาจึงได้ฝังตรงมุมกำแพงในจุดโค้งหักศอก รูปถ่ายเธอมีขนาดใหญ่ กรอบรูปสวยงามโดดเด่น ใครเห็นก็ชมว่าสวย
สิ่งที่ผมได้ยินไม่น่าจะสร้างตำนานสยองขวัญ หากรูปโมนาไม่สร้างอาถรรพ์ร้าย หนึ่งในนั้นคือรอยยิ้มเธอ รอยยิ้มปริศนาที่รอให้ทุกคนคลี่คลายคำตอบ...และเป็นที่มาของชื่อ โมนาลิซ่า
เสียงหนึ่งดังก้องในหัวผม...โมนาไม่ได้ฆ่าตัวตาย!!!
อันนี้ความเดิม รอยยิ้มของโมนา ตอนที่ 1 และ 2
http://ppantip.com/topic/35481854 จิ้มแรงๆๆ เลยครับ
รอยยิ้มของโมนา (3 )
ความเครียดกลับมาจู่โจมผมกับแจ็ค เมื่อใบหน้าดีแลนอยู่ระหว่างเราทั้งคู่ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกจ้องผมสลับพี่ใหญ่ จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อะ ไอ้หรั่ง ข้าไปทำเวรทำกรรมให้เอ็งตั้งแต่ชาติปางไหน ถึงมองข้าจนตาจะถลนแบบนั้น” แจ็คแกล้งพูดขำขัน หากน้ำเสียงเขาแปลกแปร่ง พอยกมือถือเตรียมถ่ายรูป หนุ่มตาน้ำข้าวก็ปัดมือถือเขาทิ้ง
“เออๆ ข้ารู้ว่าบ้านเอ็งรวย บอกดีๆ สิ ตะกี้ก็ตกพื้นไปหนหนึ่งแล้ว”
เหงื่อเม็ดโป้งผุดท่วมหน้าและแผ่นหลังผม ทั้งที่แจ็คเปิดกระจกรถค้างไว้ และสายลมเย็นชื้นพัดเข้ามาเป็นระยะๆ
ผมขยับตัวห่างจากใบหน้าดีแลนทีละนิด พอหายใจสะดวก สมองก็ปลอดโปร่ง
“เอ็งถามน้องสิ มันจะเอายังไง เดี๋ยวข้าขอถ่ายรูปแป๊บนึง” แจ็คเอ่ยพร้อมถ่ายวีดีโอด้านนอกรถเรื่อยเปื่อย ปล่อยผมเผชิญหน้าดีแลนคนเดียว
ผมเบือนหน้าหนีหนุ่มฝรั่ง จู่ๆ ก็สะอึกติดกันหลายครั้ง ดีแลนยังไม่เลิกเล่นเกมกวนประสาท เขาปล่อยลมหายใจแรงๆ ออกมา กลิ่นนั้นสร้างความพะอืดพะอมให้ผมกับแจ็ค นอกจากจะเหม็นเน่า ยังมีกลิ่นสาปรุนแรง
“ไส้เน่านะเอ็ง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” แจ็คท้วงรุ่นน้อง
ดีแลนหัวเราะตาม แล้วชี้มือไปข้างหน้าส่งสัญญาณให้ผมขับรถไปจอดชิดกำแพงวัด
“ไม่ดีมั้ง เอ็งหิวข้าวไม่ใช่หรือ” ผมถาม
“อ-ย่-า-เ-สื-อ-ก!”คำที่หลุดออกมาจากปากดีแลน ส่งผลให้เลือดขึ้นหน้า ผมเกือบปล่อยหมัดใส่ริมฝีปากบางสีชมพู แจ็คร้องห้ามเสียก่อน ผมจึงยั้งมือไว้ “ใจเย็นๆ ไอ้จันทร์ น้องมันไม่ได้ตั้งใจหรอก เอ็งก็รู้เวลามันหิว ดีแลนเพี้ยนแค่ไหน”
“เฮียก็คอยให้ท้ายมันอย่างนี้ สักวันไอ้หรั่ง คงไม่เห็นหัวผม”
ภายในรถกลับมาเงียบและเต็มไปด้วยความอึดอัด ในหัวผมคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา นับแต่ก่อตั้งแก๊งจนถึงลงคลิปในสื่อออนไลน์ พวกเรามีชื่อเสียงก็จริง แต่เป็นชื่อเสียงกลวงๆ ที่ลวงโลก!
“อย่าผิดใจกันเพราะเรื่องขี้ประติ๋วเลย เอาอย่างนี้ เอ็งขับรถไปจอดตรงกำแพงตามดีแลนบอก เดี๋ยวข้าลงไปเก็บภาพสักหน่อย พอเสร็จค่อยไปหาข้าวหาเบียร์ซดกัน”แจ็คไกล่เกลี่ย แม้ใจผมยังเดือดพล่าน แต่ฝืนนับหนึ่งไปจนถึงสิบ กระทั่งใจเย็นลง ผมจึงเคลื่อนรถไปข้างหน้า ขับผ่านโค้งหักศอกแบบเต่าคลาน
ขณะที่รถผ่านหัวมุมกำแพงวัด ผมสังเกตว่าไม่มีใครเหลียวไปทางซ้ายมือ ทุกคนมองไปข้างหน้า ส่วนผมหนักสุด เพราะหลับตาขับรถจนผ่านโค้งหักศอก
อึดใจต่อมารถก็จอดชิดกำแพงวัด ไม่ทันที่ผมจะได้พักสมอง ดีแลนก็ปลุกปล้ำประตูอย่างบ้าคลั่งจนรถคันเล็กสั่น
“เฮ้ย ไอ้จันทร์ อย่ามัวแต่ชักกระตุก เปิดประตูสิโว้ย” แจ็คมองหน้าผม และแสดงอาการตกใจ ผลจากการสะอึกติดกันหลายครั้ง ทำให้ใบหน้าผมแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลเปรอะไปทั่ว
“เอ้าเร็ว เอ็งไม่กลัวมันบีบคอตายรึไง เปิด!” แจ็คตะโกนลั่นรถ
ผมลนลานกดปลดล็อกประตู พอเปิดประตูได้ดีแลนก็พุ่งพรวดลงไปข้างล่าง
แจ็คเอี้ยวตัวมองตามหนุ่มฝรั่งอย่างสงสัย ก่อนจะแผดเสียงลั่น “เฮ้ย! ซวยแล้ว ไอ้เวร เอ็งจะเยี่ยวที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่บนกำแพงวัด!”
ผมอึ้งกับภาพที่เห็น เริ่มมั่นใจว่าดีแลนที่เคยรู้จักหายไประหว่างทางที่ผมขับรถเข้ามาในซอย แต่เดิมเขามีนิสัยรักสงบไม่ใช่คนห่าม เกรียน บางครั้งออกจะโลกสวยด้วยซ้ำ ดีแลนรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ ทว่าการกระทำเขาในตอนนี้ ส่งผลให้ผมหนาวจับขั้วหัวใจ
ดีแลนกำลังปล่อยของเสียใส่กำแพงวัด ในจุดที่ถูกเรียกว่าโค้งโมนา!!
แจ็ควิ่งตาลีตาเหลือกลงรถ พอดีแลนเห็นก็วิ่งหลบเข้าป่า ใจผมอยากลงไปตบกะโหลกหนุ่มฝรั่งช่วยแจ็คอีกแรงโทษฐานปัสสาวะไม่ถูกที่ถูกทาง ซึ่งเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทว่าผมกลับเลือกนั่งเฉยบนรถ ปล่อยพี่ใหญ่จัดการดีแลน ตามสบาย
ผมพักสมองกับความวุ่นวายข้างนอก เอนเบาะปรับไปทางด้านหลัง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผ่อนคลาย ผมกระดกกาแฟที่เหลือตั้งแต่หัวค่ำลงท้อง รสชาติมันแย่ ลิ้นรับรสขมปร่า หากช่วยให้ลำคอไม่แห้งผาก แต่อาการสะอึกยังไม่หาย
ซีดีแผ่นใหม่ถูกแทนแผ่นสยองขวัญของแจ็ค เพลงป็อบร่วมสมัยทำให้ผมโยกศีรษะตาม ผมดื่มกาแฟไปอีกอึก ก่อนจะเปิดกระจกรถ และโยนกระป๋องเปล่าลงไปทางฝั่งถนนที่เป็นป่า จังหวะนั้นหูได้ยินเสียงแจ็คดังล้งเล้ง
“อย่ามางี่เง่า เอ็งมันใจน้อยเป็นที่หนึ่ง หัดเป็นผู้ใหญ่บ้าง ข้าปวดหัวจริงๆ” แจ็คเต้นแรงเต้นกาบนถนน ส่วนดีแลนยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ถูกต่อว่า
ผมกดกระจกรถปิดตามเดิม ตั้งใจงีบสักพัก แต่จู่ๆ อาการปวดท้องอย่างกะทันหันก็เล่นงานผม
ปกติผมกลั้นทั้งปวดหนักปวดเบาได้ดีพอสมควร หากครั้งนี้อาการรุนแรงจนทนไม่ไหว ผมเปิดประตูรถ มองถนนฝั่งที่มีต้นไม้หนาทึบ พยายามหาที่ปลดทุกข์ พอเห็นจุดลับตามีพุ่มไม้เป็นแนว ใจก็ชื้น
ถนนสายยาวมีเสาไม้ติดหลอดไฟเป็นระยะๆ แต่ส่วนมากไฟจะขาด ถนนสายนี้จึงอยู่ในเงามืด
ระหว่างที่ก้าวไปหาพุ่มไม้ดังกล่าว มีระยะๆ ห่างจากรถไม่เกินห้าเมตร
สายตาผมสะดุดกับของที่วางตามรายทาง เป็นศาลพระภูมิเก่า ศาลเจ้า พระพุทธรูปชำรุด รวมถึงสารพัดตุ๊กตา กระทงใบตองพร้อมอาหารคาวหวาน เศษขนมปัง ขวดน้ำแดง กล่องนม และชุดผู้หญิงหลายแบบห้อยไว้บนตนไม้ มีชุดหนึ่งสะดุดตาผม ดูเหมือนชุดนักร้องตามผับ หรืออาจจะเป็นของหางเครื่อง เป็นแซกสีแดงเลือดหมู ปัดดิ้นทองสวยงาม
ผมเกิดคำถามในใจ สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร?
วินาทีต่อมาแข้งขาผมก็แข็งทื่อ ผิดกับหัวใจที่เต้นแรง แรงจัดราวกับกำลังวิ่งในสนามแข่ง อาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องหายไป ในหัวขาวโพลนคิดสิ่งใดไม่ออกยกเว้นเรื่องเดียว...ความเฮี้ยนของโค้งหักศอก มันคืออาถรรพ์สยองจากโมนา
“คุณพระ คุณเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกสัญญา พรุ่งนี้จะตักบาตรทำบุญ ขอให้ไปสู่สุขคติเถิด”
ผมยกมือไหว้ท่วมหัวได้ไม่ทันไร สายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านร่าง คราวนี้จมูกรับกลิ่นได้ชัดกว่าตอนอยู่บนรถ เป็นกลิ่นหอมเย็นยะเยือกและกลิ่นธูปฉุนจมูก แน่แล้วคำขอผมไม่สัมฤทธิ์ผล ฉับพลันขนทั้งสรรพางค์กายก็ลุกชัน บริเวณต้นคอคล้ายมีใครสักคนพ่นลมหายใจเย็นชื้นใส่ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หากเป็นสามถึงสี่ครั้ง ละม้ายแสดงอาการกราดเกรี้ยวที่ผมแส่เข้ามายุ่มย่ามในดินแดนสนธยา
ผมอ้าปากตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคน แต่เสียงผมไม่พ้นลำคอ
สายลมพัดกระโชกผ่านแผ่นหลังผมระรอกใหญ่ ก่อนจะพัดชุดสีแดงเลือดหมูที่ผูกกับบนต้นไม้ไหวไปมา ผมรีบเบือนหน้าหนีขลาดกลัวดังกล่าว เพราะมันเคลื่อนไหวประหนึ่งมีคนสวมใส่!
พิธีกรรมจำอวด(ผี) รอยยิ้มของโมนา(ต่อจากความเดิม)
เรื่องชุดนี้เป็นงานขนาดสั้น ผมผสมผสานตัวละครซึ่งมีทั้งสร้างขึ้นใหม่และมีอยู่จริง ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงสถานที่ หลายคนคงคุ้นๆ
และเนื้อหาผมได้เสริมหลายสิ่งเข้าไปเพื่อความสนุก แต่แน่นอน ความหลอน และความเฮี้ยน ล้วนเป็นเรื่องจริงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เนื้อหาเรื่องนี้จะเป็นตอนๆ นะครับ แต่ละตอนไม่ยาวมาก ผมจะทยอยลงไปเรื่อยๆ
ปล. ผมเขียนและลง งานจึงช้าครับ
หลังจบ ตอน "รอยยิ้มของโมนา" จะต่อด้วย "ด้วยรักและกลืนกิน" ครับ
ปล.2 เรื่องเล่านี้ ผมเขียนไปลงไป ช้าแต่ลงไปเรื่อยๆ ครับ หากขาดตอน หรือไม่รวดเร็วขออภัยด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจครับ
“ขับไปข้างหน้าอีกหน่อย ก็ถึงโค้งโมนา” เขาส่งยิ้มให้ผม รอยยิ้มนั้นชวนฉงนและแฝงด้วยเจตนาร้าย
“โค้งโมนา โค้งโมนา...” ผมทวนคำด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
ผมได้ยินเรื่องนี้จากการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ท และสอบถามเพื่อนๆ ที่ชอบเรื่องลึกลับ โค้งดังกล่าวมีตำนานดังนี้ หลายสิบปีก่อนลูกครึ่งสาวสวย ชื่อโม (แต่คนเรียกกันว่า โมนา ซึ่งย่อจาก โมนาลิซ่า) โมนากระโดดตึก 9 ชั้น เสียชีวิตคาที่ แขนขาหัก ใบหน้ากระแทกขอบปูนอย่างแรง จนเป็นที่สยดสยอง เพราะบริเวณปากด้านล่างฉีกเป็นทางยาวไปจนถึงใบหู ถึงคนแต่งศพจะช่วยเย็บให้เข้าที่ แต่ยังเห็นฝีเย็บเป็นทางยาว ฝ่ายญาติจึงช่วยกันแต่งหน้าโมนาอย่างสวยงาม และทาลิปสติกสีแดงสดอย่างที่เธอชอบเพื่อปกปิดแผล
ในคืนสุดท้ายก่อนฝังศพ คนที่เข้าไปรดน้ำศพลือว่าโมนาแสยะยิ้มให้ ภาพดังกล่าวติดตาหลายคนจนเป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึง
ศพโมนาถูกนำมาฝังที่วัดป่าคุณตาทวดของเธอเคยเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ตามธรรมเนียมทางวัดจะติดรูปผู้ตายไว้บนกำแพง มารดาเธอเป็นแม่ม่ายได้รับมรดกจากสามีหลายสิบล้าน นางถวายเงินให้ทางวัดเป็นจำนวนมาก โมนาจึงได้ฝังตรงมุมกำแพงในจุดโค้งหักศอก รูปถ่ายเธอมีขนาดใหญ่ กรอบรูปสวยงามโดดเด่น ใครเห็นก็ชมว่าสวย
สิ่งที่ผมได้ยินไม่น่าจะสร้างตำนานสยองขวัญ หากรูปโมนาไม่สร้างอาถรรพ์ร้าย หนึ่งในนั้นคือรอยยิ้มเธอ รอยยิ้มปริศนาที่รอให้ทุกคนคลี่คลายคำตอบ...และเป็นที่มาของชื่อ โมนาลิซ่า
เสียงหนึ่งดังก้องในหัวผม...โมนาไม่ได้ฆ่าตัวตาย!!!
อันนี้ความเดิม รอยยิ้มของโมนา ตอนที่ 1 และ 2
http://ppantip.com/topic/35481854 จิ้มแรงๆๆ เลยครับ
รอยยิ้มของโมนา (3 )
ความเครียดกลับมาจู่โจมผมกับแจ็ค เมื่อใบหน้าดีแลนอยู่ระหว่างเราทั้งคู่ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกจ้องผมสลับพี่ใหญ่ จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อะ ไอ้หรั่ง ข้าไปทำเวรทำกรรมให้เอ็งตั้งแต่ชาติปางไหน ถึงมองข้าจนตาจะถลนแบบนั้น” แจ็คแกล้งพูดขำขัน หากน้ำเสียงเขาแปลกแปร่ง พอยกมือถือเตรียมถ่ายรูป หนุ่มตาน้ำข้าวก็ปัดมือถือเขาทิ้ง
“เออๆ ข้ารู้ว่าบ้านเอ็งรวย บอกดีๆ สิ ตะกี้ก็ตกพื้นไปหนหนึ่งแล้ว”
เหงื่อเม็ดโป้งผุดท่วมหน้าและแผ่นหลังผม ทั้งที่แจ็คเปิดกระจกรถค้างไว้ และสายลมเย็นชื้นพัดเข้ามาเป็นระยะๆ
ผมขยับตัวห่างจากใบหน้าดีแลนทีละนิด พอหายใจสะดวก สมองก็ปลอดโปร่ง
“เอ็งถามน้องสิ มันจะเอายังไง เดี๋ยวข้าขอถ่ายรูปแป๊บนึง” แจ็คเอ่ยพร้อมถ่ายวีดีโอด้านนอกรถเรื่อยเปื่อย ปล่อยผมเผชิญหน้าดีแลนคนเดียว
ผมเบือนหน้าหนีหนุ่มฝรั่ง จู่ๆ ก็สะอึกติดกันหลายครั้ง ดีแลนยังไม่เลิกเล่นเกมกวนประสาท เขาปล่อยลมหายใจแรงๆ ออกมา กลิ่นนั้นสร้างความพะอืดพะอมให้ผมกับแจ็ค นอกจากจะเหม็นเน่า ยังมีกลิ่นสาปรุนแรง
“ไส้เน่านะเอ็ง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” แจ็คท้วงรุ่นน้อง
ดีแลนหัวเราะตาม แล้วชี้มือไปข้างหน้าส่งสัญญาณให้ผมขับรถไปจอดชิดกำแพงวัด
“ไม่ดีมั้ง เอ็งหิวข้าวไม่ใช่หรือ” ผมถาม
“อ-ย่-า-เ-สื-อ-ก!”คำที่หลุดออกมาจากปากดีแลน ส่งผลให้เลือดขึ้นหน้า ผมเกือบปล่อยหมัดใส่ริมฝีปากบางสีชมพู แจ็คร้องห้ามเสียก่อน ผมจึงยั้งมือไว้ “ใจเย็นๆ ไอ้จันทร์ น้องมันไม่ได้ตั้งใจหรอก เอ็งก็รู้เวลามันหิว ดีแลนเพี้ยนแค่ไหน”
“เฮียก็คอยให้ท้ายมันอย่างนี้ สักวันไอ้หรั่ง คงไม่เห็นหัวผม”
ภายในรถกลับมาเงียบและเต็มไปด้วยความอึดอัด ในหัวผมคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา นับแต่ก่อตั้งแก๊งจนถึงลงคลิปในสื่อออนไลน์ พวกเรามีชื่อเสียงก็จริง แต่เป็นชื่อเสียงกลวงๆ ที่ลวงโลก!
“อย่าผิดใจกันเพราะเรื่องขี้ประติ๋วเลย เอาอย่างนี้ เอ็งขับรถไปจอดตรงกำแพงตามดีแลนบอก เดี๋ยวข้าลงไปเก็บภาพสักหน่อย พอเสร็จค่อยไปหาข้าวหาเบียร์ซดกัน”แจ็คไกล่เกลี่ย แม้ใจผมยังเดือดพล่าน แต่ฝืนนับหนึ่งไปจนถึงสิบ กระทั่งใจเย็นลง ผมจึงเคลื่อนรถไปข้างหน้า ขับผ่านโค้งหักศอกแบบเต่าคลาน
ขณะที่รถผ่านหัวมุมกำแพงวัด ผมสังเกตว่าไม่มีใครเหลียวไปทางซ้ายมือ ทุกคนมองไปข้างหน้า ส่วนผมหนักสุด เพราะหลับตาขับรถจนผ่านโค้งหักศอก
อึดใจต่อมารถก็จอดชิดกำแพงวัด ไม่ทันที่ผมจะได้พักสมอง ดีแลนก็ปลุกปล้ำประตูอย่างบ้าคลั่งจนรถคันเล็กสั่น
“เฮ้ย ไอ้จันทร์ อย่ามัวแต่ชักกระตุก เปิดประตูสิโว้ย” แจ็คมองหน้าผม และแสดงอาการตกใจ ผลจากการสะอึกติดกันหลายครั้ง ทำให้ใบหน้าผมแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลเปรอะไปทั่ว
“เอ้าเร็ว เอ็งไม่กลัวมันบีบคอตายรึไง เปิด!” แจ็คตะโกนลั่นรถ
ผมลนลานกดปลดล็อกประตู พอเปิดประตูได้ดีแลนก็พุ่งพรวดลงไปข้างล่าง
แจ็คเอี้ยวตัวมองตามหนุ่มฝรั่งอย่างสงสัย ก่อนจะแผดเสียงลั่น “เฮ้ย! ซวยแล้ว ไอ้เวร เอ็งจะเยี่ยวที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่บนกำแพงวัด!”
ผมอึ้งกับภาพที่เห็น เริ่มมั่นใจว่าดีแลนที่เคยรู้จักหายไประหว่างทางที่ผมขับรถเข้ามาในซอย แต่เดิมเขามีนิสัยรักสงบไม่ใช่คนห่าม เกรียน บางครั้งออกจะโลกสวยด้วยซ้ำ ดีแลนรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ ทว่าการกระทำเขาในตอนนี้ ส่งผลให้ผมหนาวจับขั้วหัวใจ
ดีแลนกำลังปล่อยของเสียใส่กำแพงวัด ในจุดที่ถูกเรียกว่าโค้งโมนา!!
แจ็ควิ่งตาลีตาเหลือกลงรถ พอดีแลนเห็นก็วิ่งหลบเข้าป่า ใจผมอยากลงไปตบกะโหลกหนุ่มฝรั่งช่วยแจ็คอีกแรงโทษฐานปัสสาวะไม่ถูกที่ถูกทาง ซึ่งเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทว่าผมกลับเลือกนั่งเฉยบนรถ ปล่อยพี่ใหญ่จัดการดีแลน ตามสบาย
ผมพักสมองกับความวุ่นวายข้างนอก เอนเบาะปรับไปทางด้านหลัง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผ่อนคลาย ผมกระดกกาแฟที่เหลือตั้งแต่หัวค่ำลงท้อง รสชาติมันแย่ ลิ้นรับรสขมปร่า หากช่วยให้ลำคอไม่แห้งผาก แต่อาการสะอึกยังไม่หาย
ซีดีแผ่นใหม่ถูกแทนแผ่นสยองขวัญของแจ็ค เพลงป็อบร่วมสมัยทำให้ผมโยกศีรษะตาม ผมดื่มกาแฟไปอีกอึก ก่อนจะเปิดกระจกรถ และโยนกระป๋องเปล่าลงไปทางฝั่งถนนที่เป็นป่า จังหวะนั้นหูได้ยินเสียงแจ็คดังล้งเล้ง
“อย่ามางี่เง่า เอ็งมันใจน้อยเป็นที่หนึ่ง หัดเป็นผู้ใหญ่บ้าง ข้าปวดหัวจริงๆ” แจ็คเต้นแรงเต้นกาบนถนน ส่วนดีแลนยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ถูกต่อว่า
ผมกดกระจกรถปิดตามเดิม ตั้งใจงีบสักพัก แต่จู่ๆ อาการปวดท้องอย่างกะทันหันก็เล่นงานผม
ปกติผมกลั้นทั้งปวดหนักปวดเบาได้ดีพอสมควร หากครั้งนี้อาการรุนแรงจนทนไม่ไหว ผมเปิดประตูรถ มองถนนฝั่งที่มีต้นไม้หนาทึบ พยายามหาที่ปลดทุกข์ พอเห็นจุดลับตามีพุ่มไม้เป็นแนว ใจก็ชื้น
ถนนสายยาวมีเสาไม้ติดหลอดไฟเป็นระยะๆ แต่ส่วนมากไฟจะขาด ถนนสายนี้จึงอยู่ในเงามืด
ระหว่างที่ก้าวไปหาพุ่มไม้ดังกล่าว มีระยะๆ ห่างจากรถไม่เกินห้าเมตร
สายตาผมสะดุดกับของที่วางตามรายทาง เป็นศาลพระภูมิเก่า ศาลเจ้า พระพุทธรูปชำรุด รวมถึงสารพัดตุ๊กตา กระทงใบตองพร้อมอาหารคาวหวาน เศษขนมปัง ขวดน้ำแดง กล่องนม และชุดผู้หญิงหลายแบบห้อยไว้บนตนไม้ มีชุดหนึ่งสะดุดตาผม ดูเหมือนชุดนักร้องตามผับ หรืออาจจะเป็นของหางเครื่อง เป็นแซกสีแดงเลือดหมู ปัดดิ้นทองสวยงาม
ผมเกิดคำถามในใจ สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร?
วินาทีต่อมาแข้งขาผมก็แข็งทื่อ ผิดกับหัวใจที่เต้นแรง แรงจัดราวกับกำลังวิ่งในสนามแข่ง อาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องหายไป ในหัวขาวโพลนคิดสิ่งใดไม่ออกยกเว้นเรื่องเดียว...ความเฮี้ยนของโค้งหักศอก มันคืออาถรรพ์สยองจากโมนา
“คุณพระ คุณเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกสัญญา พรุ่งนี้จะตักบาตรทำบุญ ขอให้ไปสู่สุขคติเถิด”
ผมยกมือไหว้ท่วมหัวได้ไม่ทันไร สายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านร่าง คราวนี้จมูกรับกลิ่นได้ชัดกว่าตอนอยู่บนรถ เป็นกลิ่นหอมเย็นยะเยือกและกลิ่นธูปฉุนจมูก แน่แล้วคำขอผมไม่สัมฤทธิ์ผล ฉับพลันขนทั้งสรรพางค์กายก็ลุกชัน บริเวณต้นคอคล้ายมีใครสักคนพ่นลมหายใจเย็นชื้นใส่ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หากเป็นสามถึงสี่ครั้ง ละม้ายแสดงอาการกราดเกรี้ยวที่ผมแส่เข้ามายุ่มย่ามในดินแดนสนธยา
ผมอ้าปากตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคน แต่เสียงผมไม่พ้นลำคอ
สายลมพัดกระโชกผ่านแผ่นหลังผมระรอกใหญ่ ก่อนจะพัดชุดสีแดงเลือดหมูที่ผูกกับบนต้นไม้ไหวไปมา ผมรีบเบือนหน้าหนีขลาดกลัวดังกล่าว เพราะมันเคลื่อนไหวประหนึ่งมีคนสวมใส่!