เวิ้งน้ำที่กว้างสุดตาทำให้เอกรู้สึกเหมือนมีก่อนแข็งๆมาจุกอยู่ที่ลำคอ แม้ว่าเขาจะเกิดและโตมาในบ้านทาม อำเภอศรีมหาโพธิ แห่งนี้
เขาเคยจำเส้นทางและ ต้นไม้ใหญ่เกือบทุกต้นในบริเวณนี้ได้ แต่ตอนนี้แทบจดจำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อหลายวันก่อน ข่าวว่าน้ำท่วมที่กบินทร์บุรี เขาเองก็คิดว่าน้ำคงจะลงมาศรีมหาโพธิบ้าง แต่ไม่นึกว่าจะมากมาย ขนาดนี้
ศรีมหาโพธิ ปกติก็มีน้ำท่วมอยู่บ้างเกือบจะทุกปี กันกระสอบทรายสองสามชั้นก็ " เอาอยู่ " แต่ปีนี้ น้ำท่วมหนักที่สุด ตั้งแต่เขาจำความได้
มายี่สิบกว่าปี เรือกสวนไร่นาจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด
"จริงๆเอ็งไม่ต้องมาก็ได้ ข้าบอกเอ็งแล้ว" เพื่อนในหน่วยกู้ภัยบอกเมื่อเห็นเอกเงียบไปนาน
"ไม่เป็นไร ข้าอยู่เฉยๆแล้วฟุ้งซ่าน" เอกบอกเพื่อนในขณะที่กำลังเพ่งสายตาไปยังหลังคาบ้านหลังหนึ่งซึ่งปริ่มน้ำอยู่
บ้านของเขาเอง ! ที่จำได้เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาเพิ่งจะปีนขึ้นไปอุดรอยรั่วบนหลังคา
"บ้านเอ็ง" เจ้าเพื่อนบอก
เอกพยักหน้ารับ น้ำตารื้นขอบตา นอกจากบ้านแล้ว นาข้าวที่กำลังตั้งท้อง อีกไม่กี่วันก็จะได้เกี่ยว ตอนนี้จมหายไปใต้สายน้ำ
ความหวังที่จะซื้อทองไปขอเจ้าเพียว ลูกพ่อผัน หลังหน้านาต้องมีอันจบไป เหลือไว้แต่หนี้ ค่าปุ๋ย ค่ายา ที่ไม่รู้ว่าจะหาทางไหนไปจ่าย
"เอ็งได้คุยกับเพียวหรือยัง"
เพื่อนถามด้วยรู้อยู่ ว่าเจ้าเอกกับเจ้าเพียวมันรักชอบกันอยู่ ติดอยู่กับพ่อผัน พ่อเจ้าเพียวที่คิดดูถูกคนทำนาทำไร่อย่างเจ้าเอก
และชื่นชมเจ้ามิ่ง ลูกผู้ใหญ่หมัน เจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ในพื้นที่ รวมถึงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของพ่อผันด้วย
เอกถอนหายใจและส่ายหน้า
"ข้าจะเอาอะไรไปคุย เอ็งก็เห็น นาข้าอยู่ใต้น้ำนี่" เอกตอบ
" ข้าก็ไม่เข้าใจเอ็ง ที่นาหลายไร่อย่างเอ็ง ติดถนนดำด้วย ถ้าขายป่านนี้เอ็งมีเป็นสิบล้าน มากกว่าผู้ใหญ่หมันอีก" ไอ้เพื่อนเปรย
"ขายแล้วข้าจะไปอยู่ไหน จะทำอะไร ข้าทำนาเป็นอย่างเดียว แม่ข้าอีก" ไอ้เอกบอกเพื่อน
"เอ็งกลัวไม่เข้าเรื่อง มีเงินสิบล้าน เอ็งไม่ทำอะไรก็อยู่สบายได้จนตาย แต่งอีเพียวอีกกี่คนก็ได้"
เอกได้แต่เงียบ ความจริงเขากับเพียวได้คุยกันมาก่อนแล้ว น้ำท่วมตลาดท่าประชุม ร้านโชห่วยของเพียวกับพ่อผันก็ต้องปิด ดอกเบี้ยเงินกู้
ของผู้ใหญ่หมันก็เบ่งบานไม่มีวันหยุด เจ้ามิ่งร่ำๆว่าจะมาขอเจ้าเพียวเป็นการขัดดอก ครั้นจะปฏิเสธก็เคยเห็นฤทธิ์ของพวกหมวกกันน๊อคที่
ไปตบแม่ค้าลูกหนี้พร้อมกับพังแผงลอยกลางตลาดมาแล้ว
หลังน้ำนี้เขาอาจต้องขายที่นาผืนนี้แล้วจริงๆก็ได้ ใช้หนี้ แต่งเจ้าเพียว แล้วค่อยคิดกันต่อไปว่าจะทำอะไร
"ข้าว่า... " เจ้าเพื่อนทำท่าจะถามต่อ
"เอ็งเลิกชวนข้าคุยเรื่องนี้เถอะ เข้าเขตบ้านทามแล้ว" เอกบอกกับเพื่อน ก่อนจะดึงถุงอาหารแห้งที่รับบริจาคมาจากทั้งหน่วยงานรัฐ
และเอกชนเข้าหาตัว
บ้านหลังแรกเป็นของหญิงวัยกลางคน ที่รับผ้าโหลมาเย็บที่บ้าน ผัวทิ้งไปนานแล้ว เหลือไว้แต่ลูกสาวสามขวบ
"ป้าติ๋ม เป็นยังไงบ้าง" เอกทักหญิงร่างท้วมที่ออกมายืนรับถุงยังชีพจากเรือกู้ภัย
"ยังพอไหว น้ำยังห่างพื้นเรือนชั้นสองอยู่เกือบคืบ" นางบอกพร้อมกับรับถุงบริจาคจากทีมกู้ภัย
"น้ำดืมไม่ต้อง ยังเหลือเยอะอยู่" นางบอก
"ป้าแน่ใจนะว่าจะไม่ออกไปด้วยกัน" เพื่อนเจ้าเอกถาม
"ไปก็ลำบาก จะอยู่จะกินก็ลำบาก ไหนจะห่วงข้าวห่วงของอีก แถวนี้ขี้ยาเยอะแยะไปหมด" นางบอกปัด
"โธ่ ป้า" เอกได้แต่หัวเราะ "ถ้าขี้ยาที่ไหนจะว่ายน้ามาเอาทีวีตู้เย็นป้าไปฉันว่าก็ให้มันไปเถอะ"
ป้าติ๋มได้แต่มองค้อนก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ทีมกู้ภัยนำของไปแจกบ้านอื่นต่อ
ป้าติ๋ม ก็เหมือนอีกหลายคนที่ไม่ยอมจากบ้านไปไหนแม้น้ำจะท่วมชั้นล่างไปแล้ว แต่ถ้ายังพอเหลือที่ให้อยู่ ลำบากอย่างไรก็ขอลำบาก
ที่บ้านตัวเองดีกว่า
"อยู่ไปได้ยังไงวะ ผู้หญิงกับเด็กสามขวบ" หนึ่งในทีมกู้ภัยบ่น "เอาไปรวมกัน ยังดูแลง่ายกว่า"
ก็จริงอยู่ เอกคิดในใจ แต่ออกไปก็ต้องนอนที่เต็นท์ กันแดดกันฝนได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ฝนตกพื้นก็เปียกหมอน เปียกผ้าห่ม ดีตรงมีกิน
ไม่อดเท่านั้น ยังดีที่แม่ไปอยู่บ้านเพื่อนแม่ที่บ้านเขาดิน น้ำยังท่วมไม่ถึงไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
เอกและทีมกู้ภัย นำของบริจาคไปแจกชาวบ้านอีกหลายหลัง แต่ละหลังแม้จะลำบากอย่างไร แต่ก็มีรอยยิ้มให้กับทีม กู้ภัยเสมอ
นี่สินะเมืองไทย เมืองยิ้ม เอกคิด ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครอดตายในเมืองไทย ลำบากข้นแค้นกันอย่างไร
ก็ไม่มีใครปล่อยให้ใครอดตาย ถึงจะอดมือกินมื้อก็ต้องแบ่งกันกิน น้ำใจคนไทยมันงามยิ่งนัก
กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าเพื่อมันยื่นถุงที่บรรจุเม็ดสีน้ำตาลขนาดเท่านิ้วก้อยไว้เต็มถุงมาให้
"อะไรวะ" เอกถาม
"ของบ้านข้างหน้านู่น" เพื่อนบอก
"อาหารปลาเหรอ" คนถามทำหน้างงๆ เคยเห็นเจ้าเม็ดหน้าตาแบบนี้ที่ร้านเจ้าเพียว จำได้ว่าเป็นอาหารปลา
"หมาโว้ย" คนยื่นตอบพร้อมกับชี้มือไปบ้านหลังซ้ายมือที่มีหมาสีดำสามสี่ตัวเห่ากันขรมอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง
"อาหารหมาก็มีคนบริจาคด้วยเหรอ" เอกทำหน้าทึ่ง
"เออ หน้าที่เอ็งเลยนะ" พูดจบก็ถอยกรูดไปท้ายเรือ ได้ยินเสียงแว่วๆจากทีมกู้ภัยว่าถ้าเจ้าตัวดำกระโดดลงเรือคงขอสละเรือเป็นแน่
โชคดีที่เจ้าของเอาเจ้าหมาสี่ตัวนั้นไปผูกไว้ในบ้าน ทำให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
"เอก พร่งนี้ถ้ามาเช้ารับพี่ด้วยได้ไหมจ๊ะ" พี่ทิพย์ หญิงวัยกลางคนเจ้าของหมาบอก
"ขอติดเรือออกไปทำงานหน่อย ค่าเรือจ้างแพงเหลือเกิน ขาละสามร้อย ไปกลับก็หกร้อย " เธอบ่น
"โห เจ้ นี่ได้ค่าแรงวันละสามร้อยเท่าพวกผมก็ขาดทุนเท่านั้นเอง " หนึ่งในทีมกู้ภัยบอก
"ก็ขาดทุนน่ะสิ เจ้ก็ได้สามร้อยนั่นละ แต่ยังไงก็ต้องไป ไม่งั้นเขาก็เลิกจ้าง นี่กำลังจะขอไปอยู่ห้องเช่ากับเพื่อน เพื่อนก็อยู่กับผัวอีก
ไอ้เราก็เกรงใจ "
"นี่ได้ข่าวว่าน้ำเข้าไปในนิคมบางส่วนไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าต้องหยุดงานกันหรือเปล่า" เธอเล่าต่อ
"อ้าวหมาล่ะเจ้ " เอกถาม
"ว่าจะเอาไปฝากหลวงพ่อวัดนพ" คนที่ถูกเรียกว่าเจ้ตอบ
"เจ้ หลวงพ่อเพิ่งจะพายเรือกลับจากบิณฑบาตไปเมื่อกี้นี่เองนา วัดก็โดนน้ำท่วมแล้ว " เพื่อนเจ้าเอกตอบ
"ไม่รู้ละ ยังไงวัดก็ต้องมีที่ให้มันอยู่บ้างละ กุฏิไหนก็ได้สักกุฏินึง" เธอสรุปง่ายๆ วัดก็ยังคงเป็นที่พึ่งพิงของคนยากอยู่เสมอ
ของบริจาคบนเรือหมดไปแล้ว ก่อนที่ทีมกู้ภัยจะหันหัวเรือกลับ เอกรีบบอกเจ้าหน้าที่ให้ตรงไปอีกหน่อยเพื่อดูบ้านอีกหลัง
ที่ท้ายหมู่บ้าน
"ไปดูอะไรวะ อย่าบอกนะว่าไปดูบ้านยายเพิ้ง" เจ้าเพื่อนถาม
"ฮื่อ" เอกส่งเสียงในลำคอ
ยายเพิ้ง หญิงชราที่ท้ายหมู่บ้าน อาศัยอยู่บ้านไม้สองชั้น ไม่ค่อยจะมีใครสนใจจะคบแกนัก ด้วยเป็นคนปากร้าย ใจแคบ เคยปล่อย
เงินกู้มาก่อนผู้ใหญ่หมัน และยึดที่นาลูกหนี้ไปหลายราย ก่อนจะโดนลูกเขยและลูกสาวแท้ๆหลอกให้โอนทรัพย์สินไปจนเกือบหมด
เหลืออยู่แต่เพียงบ้านที่ซุกหัวนอน แต่ก็ยังไม่เลิกนิสัยปากร้ายอยู่เช่นเดิม
"อ้าว เฮ้ย นั้นยายเพิ้งนี่หว่า ที่นั่งอยู่บนหลังคาน่ะ" เจ้าเพื่อนชี้ให้ดูหญิงชราที่นั่งอยู่บนหลังคาสั่งกะสีที่จมน้ำไปแล้วบางส่วน
"เอก เอ็งมีตาทิพย์หรือไงวะ รู้ได้ยังไงว่ายายเพิ้งยังไม่ตาย" เจ้าเพื่อนถาม
"อ้าว" เอกมองหน้าเพื่อน
"ก็ข้ากับทีมกู้ภัยมาถามเมื่อวันก่อน นอกจากจะไม่ยอมไปแล้วยังมาด่าข้าอีก ว่าไม่ยอมขนของในบ้านขึ้นเรือออกไป ขนได้ที่ไหน
เรือลำเท่านี้ สุดท้ายแกก็ไม่ยอมไป ดูสิว่าวันนี้จะไปมั้ย"
"ไม่ไปได้ด้วยรึ เหลือแต่หลังคาแล้ว ไม่ยอมก็คงต้องจับมัดกันออกไปล่ะ " ทีมกู้ภัยพูดขำๆ
ทีมกู้ภัยนำเรือเข้าไปเทียบ ยายเพิ่งกำลังนั่งตัวสั่นหลับตาปี๋ อ้อมแขนยังคงกอดกรอบรูปขนาดเท่าศอกเอาไว้แน่น
"ยายๆ พวกเรามารับแล้ว" เอกเรียก ก่อนจะก้าวลงไปยืนบนหลังคาและพยุงย้ายเพิ่งลงเรือ
"ทำไมพวกเอ็งมาช้านัก"
ยายเพิ่งบ่นทันทีที่ขึ้นเรือได้ ทำให้เอกและทีมกู้ภัยได้เห็นชัดว่ารูปที่ยายเพิ้งกอดไว้แน่น นั้นคือรูปในหลวง ทำเอาเอกและทีมกู้ภัย
อึ้งไปพักใหญ่ สมบัติอย่างอื่นแกไม่นำติดตัวมาเลย หยิบมาเพียงแต่รูปนี้เท่านั้น เออนะ ยายเพิ้งก็ยังห่วงและรักในหลวง
" ฉันมาถามยายเมื่อวันก่อนยายยังด่าพวกฉันอยู่เลยนา ว่าจะปล่อยให้ตายไปแล้วเนี่ย" เจ้าเพื่อนพูดประชด ยายเพิ้งได้แต่ค้อน
"ก็วันก่อนเอ็งไม่ยอมขนของข้าขึ้นเรือนี่หว่า" ยายเพิ้งไม่ยอมแพ้
"ข้าก็โทรหาลูกสาวที่กรุงเทพ มันบอกมันจะลงมาเอาเรือมารับข้าด้วย ขนของด้วย"
"แล้วไงยาย เรือยังมาไม่ถึงเรอะ" เจ้าเพื่อนถาม เอกได้แต่สะกิดให้หยุดเพราะรู้คำตอบ
"โทรไปหามันอีก มันบอกว่ามาไม่ได้ งานยุ่ง จะให้คนโน้นคนนี้มา สุดท้ายน้ำมันขึ้น ข้ารอไม่ไหวเลยปีนขึ้นหลังคามาก่อน"
"แล้วไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย มีแต่รูปในหลวงกับราชินี ยายทำข้าแปลกใจเลยนะนั้น คุ้มครองรูปในหลวงอย่างดี"
เจ้าเพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ
"โอ้ย ข้าจะมีปัญญาอะไรไปคุ้มครองท่าน" ยายเพิ้งตวาด
"อ้าว แล้วยายเอารูปท่านมาทำอะไร" เอกถามด้วยความสงสัย
"ก็ให้ท่านคุ้มครองข้าสิวะ ขอให้มีคนมารับข้า พวกเอ็งก็มาช้าจนข้าคิดว่าต้องตายเสียแล้ว"
"โธ่ ยาย ความดีสักนิดน่ะ เคยทำมั้ย แล้วยังมาขอให่ท่านคุ้มครองอีก" เพื่อนเจ้าเอกพูดขำๆ
"เอ็งนี่ ในหลวงท่านไม่เลือกหรอก ประชาชนของท่าน บารมีท่านคุ้มครองหมดแหละ มีแต่พวกเอ็งนี้ล่ะ เลือกช่วยแต่เด็กสาวๆ "
ยายเพิ้งพูดไปเรื่อยๆ ทำเอาทีมกู้ภัยทั้งขำทั้งอ่อนใจ
เอกมองเห็นเต้นท์ของศูนย์บรรเทาทุกข์อยู่บนฝั่งข้างหน้า มีคนมากมายที่เขาไม่รู้จักมารวมอยู่ด้วยกัน ทั้งคนเดือดร้อน
และคนมาช่วยเหลือหลายคนก็จัดว่าลำบาก แต่ก็มีคนที่ลำบากกว่าที่เขายังพอที่จะช่วยได้ นี่ล่ะน้ำใจของคนไทย
วันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ข่าวว่าพายุจะมาอีกลูก ข่าวว่าคันกั้นน้ำพัง น้ำกำลังจะมาเพิ่มอิก แต่เขาก็จะผ่านมันไปให้ได้
ทีละวัน ทีละวัน ตราบใดที่น้ำใจของคนไทย ยังไม่เหือดแห้งไปไหน เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน ....
ทะเลใจ
เขาเคยจำเส้นทางและ ต้นไม้ใหญ่เกือบทุกต้นในบริเวณนี้ได้ แต่ตอนนี้แทบจดจำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อหลายวันก่อน ข่าวว่าน้ำท่วมที่กบินทร์บุรี เขาเองก็คิดว่าน้ำคงจะลงมาศรีมหาโพธิบ้าง แต่ไม่นึกว่าจะมากมาย ขนาดนี้
ศรีมหาโพธิ ปกติก็มีน้ำท่วมอยู่บ้างเกือบจะทุกปี กันกระสอบทรายสองสามชั้นก็ " เอาอยู่ " แต่ปีนี้ น้ำท่วมหนักที่สุด ตั้งแต่เขาจำความได้
มายี่สิบกว่าปี เรือกสวนไร่นาจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด
"จริงๆเอ็งไม่ต้องมาก็ได้ ข้าบอกเอ็งแล้ว" เพื่อนในหน่วยกู้ภัยบอกเมื่อเห็นเอกเงียบไปนาน
"ไม่เป็นไร ข้าอยู่เฉยๆแล้วฟุ้งซ่าน" เอกบอกเพื่อนในขณะที่กำลังเพ่งสายตาไปยังหลังคาบ้านหลังหนึ่งซึ่งปริ่มน้ำอยู่
บ้านของเขาเอง ! ที่จำได้เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาเพิ่งจะปีนขึ้นไปอุดรอยรั่วบนหลังคา
"บ้านเอ็ง" เจ้าเพื่อนบอก
เอกพยักหน้ารับ น้ำตารื้นขอบตา นอกจากบ้านแล้ว นาข้าวที่กำลังตั้งท้อง อีกไม่กี่วันก็จะได้เกี่ยว ตอนนี้จมหายไปใต้สายน้ำ
ความหวังที่จะซื้อทองไปขอเจ้าเพียว ลูกพ่อผัน หลังหน้านาต้องมีอันจบไป เหลือไว้แต่หนี้ ค่าปุ๋ย ค่ายา ที่ไม่รู้ว่าจะหาทางไหนไปจ่าย
"เอ็งได้คุยกับเพียวหรือยัง"
เพื่อนถามด้วยรู้อยู่ ว่าเจ้าเอกกับเจ้าเพียวมันรักชอบกันอยู่ ติดอยู่กับพ่อผัน พ่อเจ้าเพียวที่คิดดูถูกคนทำนาทำไร่อย่างเจ้าเอก
และชื่นชมเจ้ามิ่ง ลูกผู้ใหญ่หมัน เจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ในพื้นที่ รวมถึงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของพ่อผันด้วย
เอกถอนหายใจและส่ายหน้า
"ข้าจะเอาอะไรไปคุย เอ็งก็เห็น นาข้าอยู่ใต้น้ำนี่" เอกตอบ
" ข้าก็ไม่เข้าใจเอ็ง ที่นาหลายไร่อย่างเอ็ง ติดถนนดำด้วย ถ้าขายป่านนี้เอ็งมีเป็นสิบล้าน มากกว่าผู้ใหญ่หมันอีก" ไอ้เพื่อนเปรย
"ขายแล้วข้าจะไปอยู่ไหน จะทำอะไร ข้าทำนาเป็นอย่างเดียว แม่ข้าอีก" ไอ้เอกบอกเพื่อน
"เอ็งกลัวไม่เข้าเรื่อง มีเงินสิบล้าน เอ็งไม่ทำอะไรก็อยู่สบายได้จนตาย แต่งอีเพียวอีกกี่คนก็ได้"
เอกได้แต่เงียบ ความจริงเขากับเพียวได้คุยกันมาก่อนแล้ว น้ำท่วมตลาดท่าประชุม ร้านโชห่วยของเพียวกับพ่อผันก็ต้องปิด ดอกเบี้ยเงินกู้
ของผู้ใหญ่หมันก็เบ่งบานไม่มีวันหยุด เจ้ามิ่งร่ำๆว่าจะมาขอเจ้าเพียวเป็นการขัดดอก ครั้นจะปฏิเสธก็เคยเห็นฤทธิ์ของพวกหมวกกันน๊อคที่
ไปตบแม่ค้าลูกหนี้พร้อมกับพังแผงลอยกลางตลาดมาแล้ว
หลังน้ำนี้เขาอาจต้องขายที่นาผืนนี้แล้วจริงๆก็ได้ ใช้หนี้ แต่งเจ้าเพียว แล้วค่อยคิดกันต่อไปว่าจะทำอะไร
"ข้าว่า... " เจ้าเพื่อนทำท่าจะถามต่อ
"เอ็งเลิกชวนข้าคุยเรื่องนี้เถอะ เข้าเขตบ้านทามแล้ว" เอกบอกกับเพื่อน ก่อนจะดึงถุงอาหารแห้งที่รับบริจาคมาจากทั้งหน่วยงานรัฐ
และเอกชนเข้าหาตัว
บ้านหลังแรกเป็นของหญิงวัยกลางคน ที่รับผ้าโหลมาเย็บที่บ้าน ผัวทิ้งไปนานแล้ว เหลือไว้แต่ลูกสาวสามขวบ
"ป้าติ๋ม เป็นยังไงบ้าง" เอกทักหญิงร่างท้วมที่ออกมายืนรับถุงยังชีพจากเรือกู้ภัย
"ยังพอไหว น้ำยังห่างพื้นเรือนชั้นสองอยู่เกือบคืบ" นางบอกพร้อมกับรับถุงบริจาคจากทีมกู้ภัย
"น้ำดืมไม่ต้อง ยังเหลือเยอะอยู่" นางบอก
"ป้าแน่ใจนะว่าจะไม่ออกไปด้วยกัน" เพื่อนเจ้าเอกถาม
"ไปก็ลำบาก จะอยู่จะกินก็ลำบาก ไหนจะห่วงข้าวห่วงของอีก แถวนี้ขี้ยาเยอะแยะไปหมด" นางบอกปัด
"โธ่ ป้า" เอกได้แต่หัวเราะ "ถ้าขี้ยาที่ไหนจะว่ายน้ามาเอาทีวีตู้เย็นป้าไปฉันว่าก็ให้มันไปเถอะ"
ป้าติ๋มได้แต่มองค้อนก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ทีมกู้ภัยนำของไปแจกบ้านอื่นต่อ
ป้าติ๋ม ก็เหมือนอีกหลายคนที่ไม่ยอมจากบ้านไปไหนแม้น้ำจะท่วมชั้นล่างไปแล้ว แต่ถ้ายังพอเหลือที่ให้อยู่ ลำบากอย่างไรก็ขอลำบาก
ที่บ้านตัวเองดีกว่า
"อยู่ไปได้ยังไงวะ ผู้หญิงกับเด็กสามขวบ" หนึ่งในทีมกู้ภัยบ่น "เอาไปรวมกัน ยังดูแลง่ายกว่า"
ก็จริงอยู่ เอกคิดในใจ แต่ออกไปก็ต้องนอนที่เต็นท์ กันแดดกันฝนได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ฝนตกพื้นก็เปียกหมอน เปียกผ้าห่ม ดีตรงมีกิน
ไม่อดเท่านั้น ยังดีที่แม่ไปอยู่บ้านเพื่อนแม่ที่บ้านเขาดิน น้ำยังท่วมไม่ถึงไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
เอกและทีมกู้ภัย นำของบริจาคไปแจกชาวบ้านอีกหลายหลัง แต่ละหลังแม้จะลำบากอย่างไร แต่ก็มีรอยยิ้มให้กับทีม กู้ภัยเสมอ
นี่สินะเมืองไทย เมืองยิ้ม เอกคิด ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครอดตายในเมืองไทย ลำบากข้นแค้นกันอย่างไร
ก็ไม่มีใครปล่อยให้ใครอดตาย ถึงจะอดมือกินมื้อก็ต้องแบ่งกันกิน น้ำใจคนไทยมันงามยิ่งนัก
กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าเพื่อมันยื่นถุงที่บรรจุเม็ดสีน้ำตาลขนาดเท่านิ้วก้อยไว้เต็มถุงมาให้
"อะไรวะ" เอกถาม
"ของบ้านข้างหน้านู่น" เพื่อนบอก
"อาหารปลาเหรอ" คนถามทำหน้างงๆ เคยเห็นเจ้าเม็ดหน้าตาแบบนี้ที่ร้านเจ้าเพียว จำได้ว่าเป็นอาหารปลา
"หมาโว้ย" คนยื่นตอบพร้อมกับชี้มือไปบ้านหลังซ้ายมือที่มีหมาสีดำสามสี่ตัวเห่ากันขรมอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง
"อาหารหมาก็มีคนบริจาคด้วยเหรอ" เอกทำหน้าทึ่ง
"เออ หน้าที่เอ็งเลยนะ" พูดจบก็ถอยกรูดไปท้ายเรือ ได้ยินเสียงแว่วๆจากทีมกู้ภัยว่าถ้าเจ้าตัวดำกระโดดลงเรือคงขอสละเรือเป็นแน่
โชคดีที่เจ้าของเอาเจ้าหมาสี่ตัวนั้นไปผูกไว้ในบ้าน ทำให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
"เอก พร่งนี้ถ้ามาเช้ารับพี่ด้วยได้ไหมจ๊ะ" พี่ทิพย์ หญิงวัยกลางคนเจ้าของหมาบอก
"ขอติดเรือออกไปทำงานหน่อย ค่าเรือจ้างแพงเหลือเกิน ขาละสามร้อย ไปกลับก็หกร้อย " เธอบ่น
"โห เจ้ นี่ได้ค่าแรงวันละสามร้อยเท่าพวกผมก็ขาดทุนเท่านั้นเอง " หนึ่งในทีมกู้ภัยบอก
"ก็ขาดทุนน่ะสิ เจ้ก็ได้สามร้อยนั่นละ แต่ยังไงก็ต้องไป ไม่งั้นเขาก็เลิกจ้าง นี่กำลังจะขอไปอยู่ห้องเช่ากับเพื่อน เพื่อนก็อยู่กับผัวอีก
ไอ้เราก็เกรงใจ "
"นี่ได้ข่าวว่าน้ำเข้าไปในนิคมบางส่วนไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าต้องหยุดงานกันหรือเปล่า" เธอเล่าต่อ
"อ้าวหมาล่ะเจ้ " เอกถาม
"ว่าจะเอาไปฝากหลวงพ่อวัดนพ" คนที่ถูกเรียกว่าเจ้ตอบ
"เจ้ หลวงพ่อเพิ่งจะพายเรือกลับจากบิณฑบาตไปเมื่อกี้นี่เองนา วัดก็โดนน้ำท่วมแล้ว " เพื่อนเจ้าเอกตอบ
"ไม่รู้ละ ยังไงวัดก็ต้องมีที่ให้มันอยู่บ้างละ กุฏิไหนก็ได้สักกุฏินึง" เธอสรุปง่ายๆ วัดก็ยังคงเป็นที่พึ่งพิงของคนยากอยู่เสมอ
ของบริจาคบนเรือหมดไปแล้ว ก่อนที่ทีมกู้ภัยจะหันหัวเรือกลับ เอกรีบบอกเจ้าหน้าที่ให้ตรงไปอีกหน่อยเพื่อดูบ้านอีกหลัง
ที่ท้ายหมู่บ้าน
"ไปดูอะไรวะ อย่าบอกนะว่าไปดูบ้านยายเพิ้ง" เจ้าเพื่อนถาม
"ฮื่อ" เอกส่งเสียงในลำคอ
ยายเพิ้ง หญิงชราที่ท้ายหมู่บ้าน อาศัยอยู่บ้านไม้สองชั้น ไม่ค่อยจะมีใครสนใจจะคบแกนัก ด้วยเป็นคนปากร้าย ใจแคบ เคยปล่อย
เงินกู้มาก่อนผู้ใหญ่หมัน และยึดที่นาลูกหนี้ไปหลายราย ก่อนจะโดนลูกเขยและลูกสาวแท้ๆหลอกให้โอนทรัพย์สินไปจนเกือบหมด
เหลืออยู่แต่เพียงบ้านที่ซุกหัวนอน แต่ก็ยังไม่เลิกนิสัยปากร้ายอยู่เช่นเดิม
"อ้าว เฮ้ย นั้นยายเพิ้งนี่หว่า ที่นั่งอยู่บนหลังคาน่ะ" เจ้าเพื่อนชี้ให้ดูหญิงชราที่นั่งอยู่บนหลังคาสั่งกะสีที่จมน้ำไปแล้วบางส่วน
"เอก เอ็งมีตาทิพย์หรือไงวะ รู้ได้ยังไงว่ายายเพิ้งยังไม่ตาย" เจ้าเพื่อนถาม
"อ้าว" เอกมองหน้าเพื่อน
"ก็ข้ากับทีมกู้ภัยมาถามเมื่อวันก่อน นอกจากจะไม่ยอมไปแล้วยังมาด่าข้าอีก ว่าไม่ยอมขนของในบ้านขึ้นเรือออกไป ขนได้ที่ไหน
เรือลำเท่านี้ สุดท้ายแกก็ไม่ยอมไป ดูสิว่าวันนี้จะไปมั้ย"
"ไม่ไปได้ด้วยรึ เหลือแต่หลังคาแล้ว ไม่ยอมก็คงต้องจับมัดกันออกไปล่ะ " ทีมกู้ภัยพูดขำๆ
ทีมกู้ภัยนำเรือเข้าไปเทียบ ยายเพิ่งกำลังนั่งตัวสั่นหลับตาปี๋ อ้อมแขนยังคงกอดกรอบรูปขนาดเท่าศอกเอาไว้แน่น
"ยายๆ พวกเรามารับแล้ว" เอกเรียก ก่อนจะก้าวลงไปยืนบนหลังคาและพยุงย้ายเพิ่งลงเรือ
"ทำไมพวกเอ็งมาช้านัก"
ยายเพิ่งบ่นทันทีที่ขึ้นเรือได้ ทำให้เอกและทีมกู้ภัยได้เห็นชัดว่ารูปที่ยายเพิ้งกอดไว้แน่น นั้นคือรูปในหลวง ทำเอาเอกและทีมกู้ภัย
อึ้งไปพักใหญ่ สมบัติอย่างอื่นแกไม่นำติดตัวมาเลย หยิบมาเพียงแต่รูปนี้เท่านั้น เออนะ ยายเพิ้งก็ยังห่วงและรักในหลวง
" ฉันมาถามยายเมื่อวันก่อนยายยังด่าพวกฉันอยู่เลยนา ว่าจะปล่อยให้ตายไปแล้วเนี่ย" เจ้าเพื่อนพูดประชด ยายเพิ้งได้แต่ค้อน
"ก็วันก่อนเอ็งไม่ยอมขนของข้าขึ้นเรือนี่หว่า" ยายเพิ้งไม่ยอมแพ้
"ข้าก็โทรหาลูกสาวที่กรุงเทพ มันบอกมันจะลงมาเอาเรือมารับข้าด้วย ขนของด้วย"
"แล้วไงยาย เรือยังมาไม่ถึงเรอะ" เจ้าเพื่อนถาม เอกได้แต่สะกิดให้หยุดเพราะรู้คำตอบ
"โทรไปหามันอีก มันบอกว่ามาไม่ได้ งานยุ่ง จะให้คนโน้นคนนี้มา สุดท้ายน้ำมันขึ้น ข้ารอไม่ไหวเลยปีนขึ้นหลังคามาก่อน"
"แล้วไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย มีแต่รูปในหลวงกับราชินี ยายทำข้าแปลกใจเลยนะนั้น คุ้มครองรูปในหลวงอย่างดี"
เจ้าเพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ
"โอ้ย ข้าจะมีปัญญาอะไรไปคุ้มครองท่าน" ยายเพิ้งตวาด
"อ้าว แล้วยายเอารูปท่านมาทำอะไร" เอกถามด้วยความสงสัย
"ก็ให้ท่านคุ้มครองข้าสิวะ ขอให้มีคนมารับข้า พวกเอ็งก็มาช้าจนข้าคิดว่าต้องตายเสียแล้ว"
"โธ่ ยาย ความดีสักนิดน่ะ เคยทำมั้ย แล้วยังมาขอให่ท่านคุ้มครองอีก" เพื่อนเจ้าเอกพูดขำๆ
"เอ็งนี่ ในหลวงท่านไม่เลือกหรอก ประชาชนของท่าน บารมีท่านคุ้มครองหมดแหละ มีแต่พวกเอ็งนี้ล่ะ เลือกช่วยแต่เด็กสาวๆ "
ยายเพิ้งพูดไปเรื่อยๆ ทำเอาทีมกู้ภัยทั้งขำทั้งอ่อนใจ
เอกมองเห็นเต้นท์ของศูนย์บรรเทาทุกข์อยู่บนฝั่งข้างหน้า มีคนมากมายที่เขาไม่รู้จักมารวมอยู่ด้วยกัน ทั้งคนเดือดร้อน
และคนมาช่วยเหลือหลายคนก็จัดว่าลำบาก แต่ก็มีคนที่ลำบากกว่าที่เขายังพอที่จะช่วยได้ นี่ล่ะน้ำใจของคนไทย
วันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ข่าวว่าพายุจะมาอีกลูก ข่าวว่าคันกั้นน้ำพัง น้ำกำลังจะมาเพิ่มอิก แต่เขาก็จะผ่านมันไปให้ได้
ทีละวัน ทีละวัน ตราบใดที่น้ำใจของคนไทย ยังไม่เหือดแห้งไปไหน เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน ....