ขอบคุณทุกๆ คนที่มาอ่านนะคะ
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, น้องนุ้ย ณวลี, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณสมาชิกหมายเลข 1399661 (เพียงเธอ ขอเวลาอ่านทวนอีกสักรอบนะคะ โพสต์วันอาทิตย์ค่ะ เป็นวันจันทร์ที่เมืองไทยนะคะ)
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙
หลวงอุดมโอสถตกอกตกใจมิใช่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะเห็นลูกเลี้ยงของเจ้าของบ้านอย่างบังเอิญถึงขนาดนี้ ถ้าตัดสินใจกลับบ้านเช่าก่อนหน้านี้เพียงอึดใจเดียว ก็คงคลาดกันแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องเสียหาย จึงตัดสินใจเดินเข้ามาหาในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ทางเดินกลับไปที่ประตูรั้วต้องผ่านบริเวณซึ่งสาวน้อยยืนอยู่แล้ว
อนงค์กำลังจะกลับเข้าห้อง เห็นคุณหลวงหนุ่มใหญ่หยุดชะงักเมื่อครู่ ก็ให้สงสัย จึงชะโงกหน้าจากระเบียงมาดู พอเห็นว่าใครหยุดยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนก็ใจหาย แม้ความมืดจะทำให้มองออกยากว่าเป็นใครแน่ แต่กะประมาณไว้แล้วว่าไอรีนควรกลับในเวลานี้ แน่ใจว่าต้องใช่ จึงรีบตามลงมา
"คุณหลวง"
ลูกสาวคนรองของพระพินิจกระพุ่มมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยกว่า เอ่ยทักก่อนเมื่ออยู่ในระยะที่พอพูดกันได้ยินโดยไม่ต้องตะโกน
"มานานแล้วหรือคะ"
"ก็ไม่นานดอก มีเรื่องมาพูดกับแม่อนงค์เขา"
น้ำเสียงผู้เช่าบ้านหนุ่มใหญ่ไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจสักเท่าไรนัก คาดเดาไม่ได้ว่าสาวน้อยกำลังคิดอะไร เวลากลางวันก็ตั้งยาวนาน นานพอที่จะมา 'พูดกับแม่อนงค์เขา' ได้โดยไม่กลายเป็นข้อครหานินทา ทำไมจึงต้องมาเอาค่ำมืดดึกดื่นในเวลาที่ฝนตกพรำๆ เช่นนี้
ความเป็นคนไม่ช่างพูดทำให้ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร คิดว่าควรปล่อยให้อนงค์เป็นผู้จัดการเรื่องนั้นแทน
"กำลังจะกลับ" ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แล้วเดินลิ่วไปทางประตูรั้วพู่ระหง
ไอรีนเหลียวมองตามหลังอย่างงุนงง จนอนงค์เข้ามาแตะที่แขน
"คุณเปียกหมดแล้ว ขึ้นเรือนไปเปลี่ยนเสื้อเถอะค่ะ ดิฉันมีเรื่องจะบอกคุณด้วย" ประโยคหลังเบาเสียจนคนฟังแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลย
แม้สงสัย แต่ไอรีนก็รู้จักมารดาเลี้ยงดีพอว่าคงไม่ทำสิ่งใดซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหาย แต่การที่ผู้ชายเข้ามาพูดคุยกันถึงหน้าห้องนอนสองต่อสองในเวลาค่ำคืนอย่างนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่งามไปเสียทั้งสิ้น
"คงไม่อาบน้ำแล้วล่ะค่ะ แม่อนงค์ หนาวออกอย่างนี้" บอกแล้วเดินนำอ้อมตัวเรือนไปด้านหน้า เร่งฝีเท้าเมื่อเห็นบันไดอยู่ไม่ไกล
อนงค์ตามติด ปากก็ถามไปด้วย...เพื่อไม่ให้สาวน้อยคิดว่าตัวมีกังวลที่ถูกจับได้
"สนุกไหมคะ"
คนถูกถามตอบได้ทันควัน
"สนุกค่ะ คุณรามพาไปดูโคมประทีบหลายแห่งเลย" พยายามอย่างเต็มที่ที่จะคงน้ำเสียงซึ่งเอ่ยชื่อ 'คุณราม' ให้เป็นปกติที่สุด ทั้งรู้ว่าขณะนี้ไม่ง่ายเสียแล้วที่จะทำเช่นนั้น
"ขบวนเวียนเทียนที่วัดพระแก้วสวยค่ะ แม่อนงค์น่าจะไปด้วย ไปกันหลายคนคงสนุกกว่านี้"
ด้วยมีชะนักปักหลัง อนงค์เงียบไปทันที นี่เด็กสาวจะคิดหรือเปล่าว่าที่อ้างเรื่องเจ็บป่วยเมื่อบ่ายนี้มิใช่เพื่อเปิดโอกาสให้หลวงอุดมโอสถลอบเข้ามาพูดคุยด้วยได้โดยสะดวก แต่เพราะอยากให้ไอรีนและรามได้อยู่กันตามลำพังและทำความรู้จักกันให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ต่างหาก
ความคุ้นเคยกับสถานที่ช่วยให้ทั้งคู่มาถึงบันไดขึ้นเรือนได้ไม่ยากแม้จะมืดเพียงไรก็ตาม
สาวน้อยเปียกโชกเมื่อขึ้นเรือนมาถึงห้องนอนทางด้านหลังของชั้นบน ร่างบอบบางสั่นไปทั้งตัวด้วยความหนาวเหน็บ รีบค้นเสื้อที่ใช้ใส่นอนและผ้านุ่งจากหีบข้างเตียง แล้วหายเข้าไปหลังฉากไม้ เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว พอกลับออกมาอีกครั้ง เห็นอนงค์ยืนสงบอยู่กลางห้อง จึงแตะมือเป็นเชิงบอกให้นั่งลงด้วยกันบนพื้นหน้าเตียง
"คุณพระคงพาไปหลายแห่งซีนะคะ" คนสูงวัยกว่าเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน ยังไม่กล้าเข้าเรื่องที่ต้องการ 'บอก' ในทันที
"หลายแห่งเลยค่ะ ไปดูโคมไฟเสียเกือบทั่วพระนครเลย"
“ไปเวียนเทียนกันที่ไหนคะ”
“วัดที่ไหนก็ไม่ทราบค่ะ ไม่เคยไปแถวนั้นเลย รู้แต่ว่าออกไปนอกๆ เมือง”
อนงค์นั่งมองลูกเลี้ยงแก้ผมเปียซึ่งถักไว้เสียแน่น แล้วใช้ผ้าที่ถือติดมือมาด้วยเช็ดลวกๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยถึงเรื่องซึ่งค้างคาอยู่ในใจ
“คุณคะ บางทีคุณกลับบ้านคราวหน้า ดิฉันอาจไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
มือซึ่งกำลังเช็ดผมถึงกับชะงัก
“ทำไมละคะ แม่อนงค์จะไปไหน"
อนงค์ก้มหน้าจ้องพื้นห้องแน่วนิ่ง ตัดสินใจสารภาพตามตรง
“ดิ…ดิฉัน...จะย้ายไปอยู่กับหลวงอุดมค่ะ”
สาวน้อยละมือจากผม ไม่เข้าใจคำบอกเล่าสั้นๆ นั้นในทันที
"หมายความว่าอย่างไรคะ ไปอยู่กับหลวงอุดม ไปอยู่แบบไหนคะ ไปอยู่ที่บ้านเช่านี่หรือคะ” ร่างน้อยขยับเข้าใกล้มารดาเลี้ยงขึ้นอีกนิด
อีกฝ่ายอึกอัก
"ก็แบบ...แบบ...ที่ดิฉันอยู่กับคุณท่านนี่แหละค่ะ แต่จะไม่อยู่กันที่บ้านนั้น คุณหลวงกำลังหาบ้านเช่าที่อื่นค่ะ"
ไอรีนพยายามทำความเข้าใจอย่างลำบากยากเย็น พอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร แต่ยังไม่เข้าใจในแง่ที่ว่าทำไมมารดาเลี้ยงจึงทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนี้ นี่หมายถึงหล่อนจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่อย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เติบโตขึ้นมาก็ถูกตักเตือนนักหนาว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
อนงค์ดึงมือเล็กๆ ของลูกเลี้ยงมากุมไว้
“คุณคงตำหนิดิฉัน”
แม้จะยังหยั่งไม่ถึงความหมายของทั้งหมดที่ได้ยินดีนัก แต่สาวน้อยก็ส่ายหน้าแข็งขัน
“ไม่ค่ะ...ไม่เลย ถ้าแม่อนงค์จะทำอย่างนั้น ก็แสดงว่าต้องมีเหตุผล”
"ดิฉันไม่มีทางอื่นแล้วค่ะ คุณหลวงเป็นคนดี พอแกชวนดิฉันไปอยู่ด้วย ดิฉันมาคิดดู เห็นว่านนท์ก็โตขึ้นทุกวัน ตอนนี้ยังเล็กพอที่จะยอมรับคุณหลวงได้ไม่ยาก ถ้าโตกว่านี้คงลำบาก..."
"หมายความว่าคุณหลวงจะเป็น...เป็น...เหมือนพ่อของนนท์อย่างนั้นหรือคะ คุณหลวงจะแทนคุณพ่อหรือคะ" ยังคงพยายามทำความเข้าใจทีละขั้นทีละตอน
"ค่ะ ดิฉันทำเพื่อลูก นนท์จะได้มีพ่อ มีคนคอยปกป้องดูแล ดิฉันเป็นคนอ่อนแอค่ะคุณ จะดูแลลูกคนเดียวก็ลำบาก" ภรรยารองพระพินิจโทษตัวเองเสีย "คุณหลวงเต็มใจจะเลี้ยงแกอย่างลูกค่ะ” ประโยคหลังหนักแน่น
ไอรีนมองเห็นความจริงข้อนั้นเช่นกัน เด็กผู้ชายควรมีพ่อ เธอเชื่อว่าอย่างนั้น ใจจริงแล้วไม่คิดจะปรักปรำมารดาเลี้ยงแต่อย่างใด ถ้าหล่อนตัดสินใจจะทำอะไร ก็เชื่อว่าได้คิดตรึกตรองดีแล้ว
“คุณหลวงบอกนานแล้วด้วยค่ะ...ว่าพึงใจในตัวดิฉัน" กระดากเกินกว่าจะใช้คำว่า ‘รัก’
"แล้วแม่อนงค์รักคุณหลวงด้วยหรือเปล่าคะ"
คนถูกถามยิ้ม เป็นยิ้มซึ่งดูยากว่าสะท้อนความรู้สึกเช่นใด...โล่งอกที่อีกฝ่ายเข้าใจ มีความสุขเมื่อคิดว่ามีใครคนหนึ่งหลงรักตัว หรือปลงกับชีวิตเสียแล้ว
"ไม่หรอกค่ะ ดิฉันคงพ้นวัยนั้นแล้ว วัยขนาดนี้ ดิฉันไม่ฝันหวานไปกับความรักแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ดิฉันต้องการเพียงความมั่นคงให้กับลูก" หล่อนสารภาพอย่างเปิดอก กับอีกเพียงคนเดียวที่รู้ว่าจะอยู่ข้างหล่อนเสมอ
"แต่คุณอย่าคิดอย่างดิฉันนะคะ คุณยังอายุน้อย คุณยังฝันได้ คุณยังเลือกได้"
ไอรีนขัดขึ้นทันควัน "ผู้หญิงเรามีทางเลือกด้วยหรือคะ"
อนงค์ยิ้มอย่างเอ็นดู
"มีสิคะ มีแน่ อย่างคุณ มีทางเลือกแน่ๆ ค่ะ ถ้าคุณจะแต่งงานกับใคร เลือกคนที่คุณรักนะคะ ผู้หญิงเรา ถ้าลงว่ารักแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราทนได้เสมอ เราทำทุกอย่างเพื่อเขาได้เสมอ แล้วให้แน่ใจด้วยนะคะว่าเขารักคุณ ถ้าเขามาสู่ขอคุณ ถามเขาให้รู้แน่เสียก่อนว่าเขารักคุณจริง...นะคะ"
สาวน้อยได้แต่ยิ้ม จริงๆ แล้วยังไม่มีความคิดในเรื่องนั้น แต่น่าแปลก พอพูดถึงเรื่องของหนุ่มสาว…เรื่องของความรัก…ใบหน้าของคนซึ่งเพิ่งมาส่งหน้าประตูรั้วหลังบ้านเมื่อครู่ปรากฎแจ่มชัดในห้วงคำนึง นั่นชวนให้ขัดเขินขึ้นมาได้อย่างประหลาด
"แม่อนงค์บอกคุณแม่ใหญ่หรือยังคะ" เธอเปลี่ยนแง่มุมของเรื่องที่กำลังคุยเสีย
"ยังเลยค่ะคุณ แต่ถึงดิฉันจะอยู่ที่นี่หรือจะไม่อยู่ คุณนายก็คงไม่สนใจหรอกค่ะ ยิ่งตอนนี้ไม่มีคุณท่านเสียแล้ว ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็เหมือนอาศัยคุณนายอยู่ไปวันๆ ดิฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ ถ้าจะกลับไปอยู่บ้าน ก็เหมือนกลับไปเป็นเด็กที่ต้องให้พ่อแม่ดูแล ดีไม่ดีท่านยกดิฉันให้ใครเสียอีก แบบนั้นไม่เอาแล้วล่ะค่ะ ดิฉันก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แหละค่ะคุณ อยากมีเรือนเป็นของตัวเองกับเขาบ้าง"
"แต่ถ้าแม่อนงค์ไม่ได้รักคุณหลวง แล้วแม่อนงค์จะมีความสุขหรือคะ" คำถามนั้นแผ่วหวิวด้วยไม่แน่ใจว่าเหมาะสมหรือไม่
"คุณขา ดิฉันคงเลยวัยนั้นแล้วกระมัง ตอนนี้ดิฉันคิดเพียงว่าอาจจะยังไม่รักคุณหลวงในเวลานี้ แต่ต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ อยู่กันไปนานๆ ดิฉันอาจรักเป็นขึ้นมาอีกนะคะ"
"แม่อนงค์เคยรักใครมาก่อนอย่างนั้นหรือคะ"
มารดาเลี้ยงวัยยังสาวยิ้มเมื่อหวนคิดไปถึงความหลัง
"เคยสิคะ ตอนที่ดิฉันยังเป็นสาวรุ่นอย่างคุณนี่แหละ"
"เล่าให้ฟังได้ไหมคะ"
"เขาชื่อวิฑูรค่ะ บ้านเราอยู่ติดกัน เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้เขาคงมีลูกมีเมียไปแล้ว" เสียงพูดบ่งชัดว่าเรื่องนั้นไม่มีอะไรตกค้างอยู่ในใจอีกแล้ว
"แม่อนงค์ยังคิดถึงเขาอยู่อีกหรือเปล่าคะ"
"ก็เป็นบางครั้งค่ะ"
"ทำไมแม่อนงค์ไม่แต่งงานกับเขาละคะ"
"พ่อแม่ดิฉันบอกว่าเขาเป็นแค่เสมียนรถไฟ ถ้าดิฉันแต่งงานอยู่กินกับเขาแล้วจะลำบาก พอดิฉันมาอยู่กับคุณท่าน ก็รู้ว่าเขาย้ายไปประจำที่หัวเมืองไหนก็ไม่รู้"
"แล้วคุณพ่อละคะ แม่อนงค์รักคุณพ่อบ้างหรือเปล่า"
อนงค์เลี่ยงที่จะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
"คุณท่านมีพระคุณกับดิฉัน ท่านให้ความมั่นคง ท่านดูแลดิฉันดี ถ้าตอนนั้นท่านไม่รับมาอยู่ด้วย พ่อแม่ดิฉันก็จะยกดิฉันให้คุณหลวงแก่ๆ อีกคน"
เล่าแล้วหัวเราะ แต่คนฟังไม่เห็นขันไปด้วย
"ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ ทำเหมือนแม่อนงค์เป็นสิ่งของอย่างนั้นแหละ"
แต่คนเล่าก็ไม่คิดจะปรักปรำผู้ที่ตัวเอ่ยถึง
"ดิฉันพยายามคิดว่าพ่อแม่หวังดี ท่านอยากให้ดิฉันได้คนที่มีฐานะหน่อย มีหน้าที่การงานมั่นคง จะได้ปกป้องดูแลดิฉันได้ ผู้หญิงเราต้องการอะไรมากกว่านี้อีกละคะ ดิฉันอยู่บ้านนี้ก็มีความสุขดีนะคะคุณ แต่คุณอย่าคิดอย่างดิฉันนะคะ คุณเพิ่งเต็มสาว ยังเลือกได้ ความรู้ก็มี คุณต้องเลือกทั้งความรักและความมั่นคง อย่าให้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งเชียวนะคะ"
...มิช้ามินาน คำพูดของมารดาเลี้ยงจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของไอรีนอย่างที่คนพูดเองก็คิดไปไม่ถึง
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๙)
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, น้องนุ้ย ณวลี, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณสมาชิกหมายเลข 1399661 (เพียงเธอ ขอเวลาอ่านทวนอีกสักรอบนะคะ โพสต์วันอาทิตย์ค่ะ เป็นวันจันทร์ที่เมืองไทยนะคะ)
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/35400069
หลวงอุดมโอสถตกอกตกใจมิใช่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะเห็นลูกเลี้ยงของเจ้าของบ้านอย่างบังเอิญถึงขนาดนี้ ถ้าตัดสินใจกลับบ้านเช่าก่อนหน้านี้เพียงอึดใจเดียว ก็คงคลาดกันแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องเสียหาย จึงตัดสินใจเดินเข้ามาหาในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ทางเดินกลับไปที่ประตูรั้วต้องผ่านบริเวณซึ่งสาวน้อยยืนอยู่แล้ว
อนงค์กำลังจะกลับเข้าห้อง เห็นคุณหลวงหนุ่มใหญ่หยุดชะงักเมื่อครู่ ก็ให้สงสัย จึงชะโงกหน้าจากระเบียงมาดู พอเห็นว่าใครหยุดยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนก็ใจหาย แม้ความมืดจะทำให้มองออกยากว่าเป็นใครแน่ แต่กะประมาณไว้แล้วว่าไอรีนควรกลับในเวลานี้ แน่ใจว่าต้องใช่ จึงรีบตามลงมา
"คุณหลวง"
ลูกสาวคนรองของพระพินิจกระพุ่มมือขึ้นไหว้ผู้สูงวัยกว่า เอ่ยทักก่อนเมื่ออยู่ในระยะที่พอพูดกันได้ยินโดยไม่ต้องตะโกน
"มานานแล้วหรือคะ"
"ก็ไม่นานดอก มีเรื่องมาพูดกับแม่อนงค์เขา"
น้ำเสียงผู้เช่าบ้านหนุ่มใหญ่ไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจสักเท่าไรนัก คาดเดาไม่ได้ว่าสาวน้อยกำลังคิดอะไร เวลากลางวันก็ตั้งยาวนาน นานพอที่จะมา 'พูดกับแม่อนงค์เขา' ได้โดยไม่กลายเป็นข้อครหานินทา ทำไมจึงต้องมาเอาค่ำมืดดึกดื่นในเวลาที่ฝนตกพรำๆ เช่นนี้
ความเป็นคนไม่ช่างพูดทำให้ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร คิดว่าควรปล่อยให้อนงค์เป็นผู้จัดการเรื่องนั้นแทน
"กำลังจะกลับ" ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แล้วเดินลิ่วไปทางประตูรั้วพู่ระหง
ไอรีนเหลียวมองตามหลังอย่างงุนงง จนอนงค์เข้ามาแตะที่แขน
"คุณเปียกหมดแล้ว ขึ้นเรือนไปเปลี่ยนเสื้อเถอะค่ะ ดิฉันมีเรื่องจะบอกคุณด้วย" ประโยคหลังเบาเสียจนคนฟังแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลย
แม้สงสัย แต่ไอรีนก็รู้จักมารดาเลี้ยงดีพอว่าคงไม่ทำสิ่งใดซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหาย แต่การที่ผู้ชายเข้ามาพูดคุยกันถึงหน้าห้องนอนสองต่อสองในเวลาค่ำคืนอย่างนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่งามไปเสียทั้งสิ้น
"คงไม่อาบน้ำแล้วล่ะค่ะ แม่อนงค์ หนาวออกอย่างนี้" บอกแล้วเดินนำอ้อมตัวเรือนไปด้านหน้า เร่งฝีเท้าเมื่อเห็นบันไดอยู่ไม่ไกล
อนงค์ตามติด ปากก็ถามไปด้วย...เพื่อไม่ให้สาวน้อยคิดว่าตัวมีกังวลที่ถูกจับได้
"สนุกไหมคะ"
คนถูกถามตอบได้ทันควัน
"สนุกค่ะ คุณรามพาไปดูโคมประทีบหลายแห่งเลย" พยายามอย่างเต็มที่ที่จะคงน้ำเสียงซึ่งเอ่ยชื่อ 'คุณราม' ให้เป็นปกติที่สุด ทั้งรู้ว่าขณะนี้ไม่ง่ายเสียแล้วที่จะทำเช่นนั้น
"ขบวนเวียนเทียนที่วัดพระแก้วสวยค่ะ แม่อนงค์น่าจะไปด้วย ไปกันหลายคนคงสนุกกว่านี้"
ด้วยมีชะนักปักหลัง อนงค์เงียบไปทันที นี่เด็กสาวจะคิดหรือเปล่าว่าที่อ้างเรื่องเจ็บป่วยเมื่อบ่ายนี้มิใช่เพื่อเปิดโอกาสให้หลวงอุดมโอสถลอบเข้ามาพูดคุยด้วยได้โดยสะดวก แต่เพราะอยากให้ไอรีนและรามได้อยู่กันตามลำพังและทำความรู้จักกันให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ต่างหาก
ความคุ้นเคยกับสถานที่ช่วยให้ทั้งคู่มาถึงบันไดขึ้นเรือนได้ไม่ยากแม้จะมืดเพียงไรก็ตาม
สาวน้อยเปียกโชกเมื่อขึ้นเรือนมาถึงห้องนอนทางด้านหลังของชั้นบน ร่างบอบบางสั่นไปทั้งตัวด้วยความหนาวเหน็บ รีบค้นเสื้อที่ใช้ใส่นอนและผ้านุ่งจากหีบข้างเตียง แล้วหายเข้าไปหลังฉากไม้ เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว พอกลับออกมาอีกครั้ง เห็นอนงค์ยืนสงบอยู่กลางห้อง จึงแตะมือเป็นเชิงบอกให้นั่งลงด้วยกันบนพื้นหน้าเตียง
"คุณพระคงพาไปหลายแห่งซีนะคะ" คนสูงวัยกว่าเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน ยังไม่กล้าเข้าเรื่องที่ต้องการ 'บอก' ในทันที
"หลายแห่งเลยค่ะ ไปดูโคมไฟเสียเกือบทั่วพระนครเลย"
“ไปเวียนเทียนกันที่ไหนคะ”
“วัดที่ไหนก็ไม่ทราบค่ะ ไม่เคยไปแถวนั้นเลย รู้แต่ว่าออกไปนอกๆ เมือง”
อนงค์นั่งมองลูกเลี้ยงแก้ผมเปียซึ่งถักไว้เสียแน่น แล้วใช้ผ้าที่ถือติดมือมาด้วยเช็ดลวกๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยถึงเรื่องซึ่งค้างคาอยู่ในใจ
“คุณคะ บางทีคุณกลับบ้านคราวหน้า ดิฉันอาจไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
มือซึ่งกำลังเช็ดผมถึงกับชะงัก
“ทำไมละคะ แม่อนงค์จะไปไหน"
อนงค์ก้มหน้าจ้องพื้นห้องแน่วนิ่ง ตัดสินใจสารภาพตามตรง
“ดิ…ดิฉัน...จะย้ายไปอยู่กับหลวงอุดมค่ะ”
สาวน้อยละมือจากผม ไม่เข้าใจคำบอกเล่าสั้นๆ นั้นในทันที
"หมายความว่าอย่างไรคะ ไปอยู่กับหลวงอุดม ไปอยู่แบบไหนคะ ไปอยู่ที่บ้านเช่านี่หรือคะ” ร่างน้อยขยับเข้าใกล้มารดาเลี้ยงขึ้นอีกนิด
อีกฝ่ายอึกอัก
"ก็แบบ...แบบ...ที่ดิฉันอยู่กับคุณท่านนี่แหละค่ะ แต่จะไม่อยู่กันที่บ้านนั้น คุณหลวงกำลังหาบ้านเช่าที่อื่นค่ะ"
ไอรีนพยายามทำความเข้าใจอย่างลำบากยากเย็น พอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร แต่ยังไม่เข้าใจในแง่ที่ว่าทำไมมารดาเลี้ยงจึงทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนี้ นี่หมายถึงหล่อนจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่อย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เติบโตขึ้นมาก็ถูกตักเตือนนักหนาว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
อนงค์ดึงมือเล็กๆ ของลูกเลี้ยงมากุมไว้
“คุณคงตำหนิดิฉัน”
แม้จะยังหยั่งไม่ถึงความหมายของทั้งหมดที่ได้ยินดีนัก แต่สาวน้อยก็ส่ายหน้าแข็งขัน
“ไม่ค่ะ...ไม่เลย ถ้าแม่อนงค์จะทำอย่างนั้น ก็แสดงว่าต้องมีเหตุผล”
"ดิฉันไม่มีทางอื่นแล้วค่ะ คุณหลวงเป็นคนดี พอแกชวนดิฉันไปอยู่ด้วย ดิฉันมาคิดดู เห็นว่านนท์ก็โตขึ้นทุกวัน ตอนนี้ยังเล็กพอที่จะยอมรับคุณหลวงได้ไม่ยาก ถ้าโตกว่านี้คงลำบาก..."
"หมายความว่าคุณหลวงจะเป็น...เป็น...เหมือนพ่อของนนท์อย่างนั้นหรือคะ คุณหลวงจะแทนคุณพ่อหรือคะ" ยังคงพยายามทำความเข้าใจทีละขั้นทีละตอน
"ค่ะ ดิฉันทำเพื่อลูก นนท์จะได้มีพ่อ มีคนคอยปกป้องดูแล ดิฉันเป็นคนอ่อนแอค่ะคุณ จะดูแลลูกคนเดียวก็ลำบาก" ภรรยารองพระพินิจโทษตัวเองเสีย "คุณหลวงเต็มใจจะเลี้ยงแกอย่างลูกค่ะ” ประโยคหลังหนักแน่น
ไอรีนมองเห็นความจริงข้อนั้นเช่นกัน เด็กผู้ชายควรมีพ่อ เธอเชื่อว่าอย่างนั้น ใจจริงแล้วไม่คิดจะปรักปรำมารดาเลี้ยงแต่อย่างใด ถ้าหล่อนตัดสินใจจะทำอะไร ก็เชื่อว่าได้คิดตรึกตรองดีแล้ว
“คุณหลวงบอกนานแล้วด้วยค่ะ...ว่าพึงใจในตัวดิฉัน" กระดากเกินกว่าจะใช้คำว่า ‘รัก’
"แล้วแม่อนงค์รักคุณหลวงด้วยหรือเปล่าคะ"
คนถูกถามยิ้ม เป็นยิ้มซึ่งดูยากว่าสะท้อนความรู้สึกเช่นใด...โล่งอกที่อีกฝ่ายเข้าใจ มีความสุขเมื่อคิดว่ามีใครคนหนึ่งหลงรักตัว หรือปลงกับชีวิตเสียแล้ว
"ไม่หรอกค่ะ ดิฉันคงพ้นวัยนั้นแล้ว วัยขนาดนี้ ดิฉันไม่ฝันหวานไปกับความรักแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ดิฉันต้องการเพียงความมั่นคงให้กับลูก" หล่อนสารภาพอย่างเปิดอก กับอีกเพียงคนเดียวที่รู้ว่าจะอยู่ข้างหล่อนเสมอ
"แต่คุณอย่าคิดอย่างดิฉันนะคะ คุณยังอายุน้อย คุณยังฝันได้ คุณยังเลือกได้"
ไอรีนขัดขึ้นทันควัน "ผู้หญิงเรามีทางเลือกด้วยหรือคะ"
อนงค์ยิ้มอย่างเอ็นดู
"มีสิคะ มีแน่ อย่างคุณ มีทางเลือกแน่ๆ ค่ะ ถ้าคุณจะแต่งงานกับใคร เลือกคนที่คุณรักนะคะ ผู้หญิงเรา ถ้าลงว่ารักแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราทนได้เสมอ เราทำทุกอย่างเพื่อเขาได้เสมอ แล้วให้แน่ใจด้วยนะคะว่าเขารักคุณ ถ้าเขามาสู่ขอคุณ ถามเขาให้รู้แน่เสียก่อนว่าเขารักคุณจริง...นะคะ"
สาวน้อยได้แต่ยิ้ม จริงๆ แล้วยังไม่มีความคิดในเรื่องนั้น แต่น่าแปลก พอพูดถึงเรื่องของหนุ่มสาว…เรื่องของความรัก…ใบหน้าของคนซึ่งเพิ่งมาส่งหน้าประตูรั้วหลังบ้านเมื่อครู่ปรากฎแจ่มชัดในห้วงคำนึง นั่นชวนให้ขัดเขินขึ้นมาได้อย่างประหลาด
"แม่อนงค์บอกคุณแม่ใหญ่หรือยังคะ" เธอเปลี่ยนแง่มุมของเรื่องที่กำลังคุยเสีย
"ยังเลยค่ะคุณ แต่ถึงดิฉันจะอยู่ที่นี่หรือจะไม่อยู่ คุณนายก็คงไม่สนใจหรอกค่ะ ยิ่งตอนนี้ไม่มีคุณท่านเสียแล้ว ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็เหมือนอาศัยคุณนายอยู่ไปวันๆ ดิฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ ถ้าจะกลับไปอยู่บ้าน ก็เหมือนกลับไปเป็นเด็กที่ต้องให้พ่อแม่ดูแล ดีไม่ดีท่านยกดิฉันให้ใครเสียอีก แบบนั้นไม่เอาแล้วล่ะค่ะ ดิฉันก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แหละค่ะคุณ อยากมีเรือนเป็นของตัวเองกับเขาบ้าง"
"แต่ถ้าแม่อนงค์ไม่ได้รักคุณหลวง แล้วแม่อนงค์จะมีความสุขหรือคะ" คำถามนั้นแผ่วหวิวด้วยไม่แน่ใจว่าเหมาะสมหรือไม่
"คุณขา ดิฉันคงเลยวัยนั้นแล้วกระมัง ตอนนี้ดิฉันคิดเพียงว่าอาจจะยังไม่รักคุณหลวงในเวลานี้ แต่ต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ อยู่กันไปนานๆ ดิฉันอาจรักเป็นขึ้นมาอีกนะคะ"
"แม่อนงค์เคยรักใครมาก่อนอย่างนั้นหรือคะ"
มารดาเลี้ยงวัยยังสาวยิ้มเมื่อหวนคิดไปถึงความหลัง
"เคยสิคะ ตอนที่ดิฉันยังเป็นสาวรุ่นอย่างคุณนี่แหละ"
"เล่าให้ฟังได้ไหมคะ"
"เขาชื่อวิฑูรค่ะ บ้านเราอยู่ติดกัน เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้เขาคงมีลูกมีเมียไปแล้ว" เสียงพูดบ่งชัดว่าเรื่องนั้นไม่มีอะไรตกค้างอยู่ในใจอีกแล้ว
"แม่อนงค์ยังคิดถึงเขาอยู่อีกหรือเปล่าคะ"
"ก็เป็นบางครั้งค่ะ"
"ทำไมแม่อนงค์ไม่แต่งงานกับเขาละคะ"
"พ่อแม่ดิฉันบอกว่าเขาเป็นแค่เสมียนรถไฟ ถ้าดิฉันแต่งงานอยู่กินกับเขาแล้วจะลำบาก พอดิฉันมาอยู่กับคุณท่าน ก็รู้ว่าเขาย้ายไปประจำที่หัวเมืองไหนก็ไม่รู้"
"แล้วคุณพ่อละคะ แม่อนงค์รักคุณพ่อบ้างหรือเปล่า"
อนงค์เลี่ยงที่จะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
"คุณท่านมีพระคุณกับดิฉัน ท่านให้ความมั่นคง ท่านดูแลดิฉันดี ถ้าตอนนั้นท่านไม่รับมาอยู่ด้วย พ่อแม่ดิฉันก็จะยกดิฉันให้คุณหลวงแก่ๆ อีกคน"
เล่าแล้วหัวเราะ แต่คนฟังไม่เห็นขันไปด้วย
"ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ ทำเหมือนแม่อนงค์เป็นสิ่งของอย่างนั้นแหละ"
แต่คนเล่าก็ไม่คิดจะปรักปรำผู้ที่ตัวเอ่ยถึง
"ดิฉันพยายามคิดว่าพ่อแม่หวังดี ท่านอยากให้ดิฉันได้คนที่มีฐานะหน่อย มีหน้าที่การงานมั่นคง จะได้ปกป้องดูแลดิฉันได้ ผู้หญิงเราต้องการอะไรมากกว่านี้อีกละคะ ดิฉันอยู่บ้านนี้ก็มีความสุขดีนะคะคุณ แต่คุณอย่าคิดอย่างดิฉันนะคะ คุณเพิ่งเต็มสาว ยังเลือกได้ ความรู้ก็มี คุณต้องเลือกทั้งความรักและความมั่นคง อย่าให้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งเชียวนะคะ"
...มิช้ามินาน คำพูดของมารดาเลี้ยงจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของไอรีนอย่างที่คนพูดเองก็คิดไปไม่ถึง