I Am Zlatan เรียบเรียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของซลาตันจากหนังสืออัตชีวประวัติ

**ปกติสิงอยู่แถวห้องเฉลิมไทยค่ะ ทำเพจหนัง แต่พอดีเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนไปสอยหนังสือ I Am Zlatan มา แล้วอ่านจบเร็วมากเพราะสนุก (ฮาา) โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กนี่ฮามาก เด็กแสบของจริง

เลยตั้งใจเรียบเรียงมาให้อ่าน เรื่องที่คาดว่าคนทั่วไปไม่ค่อยน่าจะรู้-เช่น ซลาตันบอกว่า จริงๆ ผมเก่งวิชาคณิตนะ 55 เป็นต้นค่ะ

ไม่ได้แปลทั้งเล่มนะคะ เอาตอนที่ จขกท. ชอบแล้วตัดๆ ต่อๆ เรียบเรียงใหม่มาล่ะ ในหนังสือซลาตันแทนตัวเองว่าผมนะคะ แต่เราเรียบเรียงอีกที มีหลายตอนสนุกนะคะ ยิ้ม**




////////////////////////////////

ตอนยังเด็ก เด็กชายซลาตันได้จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์จากพี่ชาย และตั้งชื่อมันว่า ไฟโด ดิโด ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนหัวแหลมๆ ที่ซลาตันคิดว่าเจ๋งโคตรๆ เสมอมา

แต่แล้วจักรยานเจ้ากรรมที่ว่าก็ถูกขโมยที่นอกสระว่ายน้ำในโรเซ็นการ์ด

เซฟิก-พ่อของซลาตันดิ่งมาหาเหมือนพายุ เสื้อเชิ้ตไม่ติดกระดุม แขนเสื้อถูกพับขึ้น ซลาตันอธิบายว่า เซฟิกเป็นคนประเภทที่ว่า-อย่าได้มีไอ้หน้าไหนมาแตะต้องลูกของกูเชียว! แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้สิ่งที่ต้องการเสมอ แม้แต่ชายผู้ดุดันอย่างเซฟิกก็จัดการกับเรื่องนี้ไม่ได้

ไฟโด ดิโดจากไปแล้ว ส่วนเด็กชายซลาตันก็ใจสลายอย่างรุนแรง (T T)

และนั่นแหละที่เป็นจุดเริ่มต้นตำนานนักโด้จักรยานของซลาตัน เขาบอกว่าเขาสะเดาะกลอนได้ดีและเชี่ยวชาญเสียด้วย แป๊ปเดียวเท่านั้นจักรยานของชาวบ้านก็เป็นของเขาแล้ว ถึงขั้นเคยบุกไปขโมยจักรยานของกองทัพมา และโดนจับได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราวตามวาระ

มีครั้งหนึ่งที่ซลาตันเขียนบอกว่ามันน่าอายเอามากๆ คือเขากับเพื่อนเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้า ในชุดเสื้อโค้ทกันหนาวตัวใหญ่ยังกะชุดหมี มันไม่เป็นอะไรหรอกถ้าอีเด็กสองคนนี้ไม่ใส่ในกลางฤดูร้อน และขนเอาไม้ปิงปองสี่อัน กับของกระจุกกระจิกอีกนิดหน่อย

ผลคือโดนรวบได้โดยยามหน้าห้างสรรพสินค้า "พวกแกวางแผนจะจ่ายไอ้ของพวกนี้ทั้งหมดยังไง" ยามตะคอกถาม

ซลาตันยืดอก หยิบเงินออกมา 10 Ore.-ประมาณสักห้าเพนนี น้อยยิ่งกว่าน้อยออกมาแล้วยื่นให้ยาม

"มีแค่เนี้ย"

ซลาตันบอกว่าน่าเสียดายที่ยามไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย (แน่สิวะ) แต่อย่างไรก็ตาม ซลาตันระบุว่าเขามีทักษะในการโจรกรรมในระดับ "ดี" ทีเดียว

////

ก่อนจะสูงใหญ่ถึง 195 เซนติเมตร ซลาตันระบุว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็ก จมูกโต พูดไม่ชัด และต้องไปเข้าเรียนการฝึกออกเสียงที่ถูกต้อง โดยจะผู้หญิงมาที่โรงเรียนและสอนให้เด็กชายซลาตันออกเสียงตัว "S" ซึ่งซลาตันแล้วนั่นคิดว่านั่นช่างเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูสำหรับชีวิตเหลือเกิน

คือการออกเสียงตัว s สำหรับชาวต่างชาติ เท่าที่เข้าใจน่าจะคล้ายๆ การออกเสียงส.เสือของคนไทยนะคะ คือมีคนที่พูดไม่ชัด หรือไม่สามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง อาจจะเป็นเรื่องการห่อลิ้นหรือการออกเสียงก็ตาม-และแน่นอน ซลาตันประสบปัญหานั้นจังเบอร์ เลยต้องมานั่งออกเสียงตัว s ตามที่เล่าในหนังสือ

พร้อมๆ กันนั้น อย่างที่เคยได้ยินเสียงลือเล่าอ้างกันมา พี่ตั้นก็เป็นเด็กไฮเปอร์สุดขีด สุดขีดแค่ไหนคือมันนั่งเฉยๆ ไม่เป็นแม้แต่วินาทีเดียว เอาแต่วิ่งเล่นไปรอบๆ

"ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับผมตราบเท่าที่ผมวิ่งเร็วพอ" เขาระบุเช่นนั้นในหนังสือ ก่อนขยายความว่า เขาอาศัยอยู่ในโรเซ็นการ์ด, นอกเขตมัลโม ทางใต้ของสวีเดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธ์เพราะมีทั้งชาวโซมาเลีย, เติร์ก, ชาวยูโกสลาเวีย, ชาวโปแลนด์, ผู้อพยพ และชาวสวีเดน


และก็อย่างที่หลายคนทราบอีกเช่นกัน ว่าซลาตันโตมาในพื้นที่ที่เป็นสลัม ในครอบครัวของเขาไม่มีวัฒนธรรมที่มีอารยะหรืออ่อนหวาน เขาบอกว่าตั้งแต่โตมานี่ ไม่มีซะหรอกคำถามทำนองว่า "ไงจ๊ะเจ้าหนูซลาตัน วันนี้เป็นไงมั่ง" ทำการบ้านก็ต้องทำคนเดียวเพราะไม่มีผู้ใหญ่มาพะเน้าพะนอช่วย กระทั่งว่าถ้าโดนแกล้ง ก็ไม่มีโอกาสได้งอแงคร่ำครวญ ได้แต่กัดฟันแล้วรอเวลาเอาคืน (...) เลยเป็นเรื่องปกติที่มีการแลกหมัดกันเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ

"มีอยู่วันหนึ่ง ผมพลัดตกลงมาจากหลังคาของศูนย์เด็กเล็ก ตาเขียวปั้ดไปข้างหนึ่งและวิ่งเร็วจี๋กลับไปบ้าน คาดหวังว่าจะได้รับการลูบหัวปลอบใจ หรืออย่างน้อยก็คำพูดอ่อนโยนสักคำสองคำก็ยังดี แต่กลับโดนแม่ดึงหูข้างหนึ่งแทน"

แหงๆ ว่าเจอร์กา-แม่ของซลาตันสติขาดทันทีที่พบว่าลูกชายตาช้ำมาข้างหนึ่ง

"แล้วแกขึ้นไปทำอะไรบนหลังคานั่น"

แต่ถึงอย่างนั้น เท่าที่อ่านเราจะพบว่าซลาตันรักแม่มากๆ เพราะเขาระบุชัดเจนอยู่บ่อยๆ ว่า "แม่ทำงานจนเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อเลี้ยงดูพวกเรา-แม่คือนักสู้ตัวจริง และแม่ก็รับมือกับเรื่องต่างๆ ไม่ได้มากนัก แม่มีช่วงเวลายากลำบาก"

ในชายคาบ้านอิบราฮิโมวิช ไม่มีคำพูดแบบ "ที่รัก ส่งเนยให้ผมหน่อยสิจ๊ะ" แต่จะเป็น "ไปหยิบนมมาหน่อยสิวะไอ้เซ่อ"

แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะรู้ว่าแม่เหนื่อยและดุมาก แต่เด็กชายซลาตันก็ยังหาเรื่องมาให้ได้โดนเอ็ดอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่นับเที่ยวไปโด้จักรยานชาวบ้านแล้วก็เที่ยวเอาก้อนอิฐเอาไข่ปาหน้าต่างบ้านคนอื่นเป็นว่าเล่น และแม่ก็จะทำโทษเขาด้วยการใช้ช้อนไม้ตี ซึ่งบางครั้งช้อนก็หักและก็ต้องเป็นเขาเองนั่นแหละที่ต้องออกไปซื้อคันใหม่มาแทน

มีครั้งหนึ่ง ทำนองว่าทั้งบ้านนี่ไม่เหลือช้อนให้มาตีแล้ว แม่เลยดิ่งมาหาเขาพร้อมไม้นวดแป้ง ดีว่าเขาเผ่นออกมาอย่างไวได้ทัน - -"

///////
เรื่องไม้นวดแป้งนี่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้คนอ่านได้รู้จักซาเนล่า ญาติผู้พี่ (เข้าใจว่าเป็นพี่สาวคนละแม่) อายุมากกว่าซลาตันสองปี

"จะบ้ารึไงวะ ใจคอแม่จะหวดเราเข้าที่หัวด้วยไอ้ไม้นวดแป้งนั่นน่ะเรอะ บ้าชะมัด"

สองพี่น้องเลยดิ่งไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและซื้อช้อนไม้กลับมาสามคันในราคา 10 โครนา และให้มันเป็นของขวัญแม่ในวันคริสมาสต์ (โถ...)

ครั้งหนึ่ง แม่ถูกจับในฐานะรับของโจร คนรู้จักของเจอร์กาบอกเธอว่า "ช่วยดูแลสร้อยเส้นนี้หน่อยนะ" แล้วหล่อนก็รับมาดูแล ก่อนจะพบว่าตำรวจบุกมาที่บ้านและรวบเจ้าหล่อนไว้ ซลาตันบอกว่า ความทรงจำต่อเรื่องนี้ของเขาคลุมเครือมาก อาจเพราะยังเด็กอยู่มากๆ จำได้แต่ความรู้สึกเหมือนกับว่า แม่อยู่ไหนนะ ทำไมแม่ต้องไปด้วย

ซลาตันจำเป็นต้องแยกห่างจากแม่เอาก็ตอนปี 1990 เมื่อกรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการตรวจสอบแล้วพบว่าบ้านของเจอร์กาไม่เหมาะสมสำหรับให้เด็กอยู่อาศัย และเซฟิกผู้เป็นพ่อได้สิทธิ์ดูแลทั้งซลาตันและซาเนล่า

ซลาตันอธิบายละเอียดว่าไม่ได้เป็นเพราะแม่หรอก และแม้ว่าแม่จะตีเขาและพี่น้องด้วยช้อนไม้ บ้องหูและไม่ยอมฟังลูกๆ พูด แต่แม่ก็รักลูกของแม่มาก

เขาเองไม่ได้เข้าใจเรื่องราวระหว่างพ่อกับแม่ดีทั้งหมดนักแม้กระทั่งตอนโต และบอกไว้ในหนังสือว่า ตามที่เขารู้ การแต่งงานของพ่อกับแม่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เพราะถ้าแต่งงาน เซฟิกจะได้ใบอนุญาตให้อยู่อาศัยที่นี่ และนั่นเป็นสาเหตุให้เขาและพี่น้องต้องเติบโตมากับแม่

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่สถานสงเคราะห์ยื่นข้อเรียกร้องให้ซาเนล่าและซลาตันมาอยู่กับเซฟิกแล้ว เซฟิกก็ไปหาเจอร์กาในบ่ายนั้น เพื่อบอกหล่อนว่า

"ฉันไม่ได้อยากให้เธอเสียพวกเขาไปเลยนะ เจอร์กา"
/////

กับเซฟิกผู้เป็นพ่อ ก็ไม่ปรากฏว่าซลาตันโกรธหรือเกลียด ตรงข้ามคือเขารักและเทิดทูนพ่อมากๆ เพราะสำหรับเขาแล้วพ่อเจ๋งและมีเรื่องสนุกๆ มาให้ทำเสมอ เป็นต้นว่าพาเขาและซาเนล่าไปเที่ยว เลี้ยงเบอร์เกอร์และไอศกรีม ซื้อรองเท้าไนกี้ แอร์ แม็กซ์ให้ ซึ่งซลาตันบอกว่า ทำเป็นเล่นไปเฮ้ย ตอนนั้นไม่มีเด็กในสลัมโรเซ็นการ์ดคนไหนมีรองเท้าแบบนี้นะเว้ย แล้วเลยรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งมากๆ เพราะมีรองเท้าคู่นี้ ยิ้ม

"ตอนอยู่กับพ่อ อะไรก็ดีทั้งนั้น เราได้เงิน 50 โครเนอร์สำหรับไปซื้อพิซซ่าและโค้กด้วย"

ซลาตันอธิบายว่า พ่อของเขาเป็นเหมือนสิงโต ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกๆ พ่อจะเป็นดุแบบบ้าไปเลย

////
แต่กับเรื่องบอล ซลาตันไม่ได้เป็นเด็กมีแววอะไรนักหนา คืออาจจะตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันในเวลานั้นด้วย (แม้ว่าพอโตมา มันจะยืดจนเกือบสองเมตรก็ตามอะนะ แต่เขาก็ย้ำหลายๆ ครั้งว่าเชื่อเถอะครับ ผมเป็นเด็กตัวเล็กมาทั้งชีวิตแหละ มายืดเอาตอนโตแล้วโน่น)

เขาเล่าว่ากับฟุตบอล เขาไม่ได้เป็นเด็กที่เก่งหรือมีแววอะไร-เป็นแค่ไอ้เด็กขี้มูกย้อยคนหนึ่งที่เตะบอล หรือที่จริงแย่กว่านั้นอีก เพราะเด็กชายซลาตันอารมณ์ร้อน วู่วามและอาละวาดใส่คนอื่นเสมอ ขนาดว่าตัวน้อยเดียวแค่นั้นก็หัดเฮดบัดใส่ชาวบ้านไปเรื่อย (ได้ข่าวว่าตอนนี้ก็ยังทำ)


ตอนนี้แปลแค่นี้ก่อนค่ะ คือถ้าอ่านแล้วชอบบอกนะคะจะได้เรียบเรียงแบบขำๆ มาให้อ่านอีก ผิดๆ ถูกๆ บ้างขอโทษด้วยนะคะ ยิ้ม

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
ป.ล.เป็นคนชอบดูหนังแต่ก็ดูบอลด้วยง่ะ ใครที่ชอบดูหนัง กดไลก์ได้นะคะ ยิ้ม

Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่