I Am Zlatan เรียบเรียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของซลาตันจากหนังสืออัตชีวประวัติ (3)

**ปกติสิงอยู่แถวห้องเฉลิมไทยค่ะ ทำเพจหนัง แต่พอดีเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนไปสอยหนังสือ I Am Zlatan มา แล้วอ่านจบเร็วมากเพราะสนุก (ฮาา) โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กนี่ฮามาก เด็กแสบของจริง

เลยตั้งใจเรียบเรียงมาให้อ่าน เรื่องที่คาดว่าคนทั่วไปไม่ค่อยน่าจะรู้-เช่น ซลาตันบอกว่า จริงๆ ผมเก่งวิชาคณิตนะ 55 เป็นต้นค่ะ

ไม่ได้แปลทั้งเล่มนะคะ เอาตอนที่ จขกท. ชอบแล้วตัดๆ ต่อๆ เรียบเรียงใหม่มาล่ะ ในหนังสือซลาตันแทนตัวเองว่าผมนะคะ แต่เราเรียบเรียงอีกที มีหลายตอนสนุกนะคะ**

อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่ https://storylog.co/ManOnFilm/book/5795ec0a2cdc0f14451df500




ซลาตันเป็นที่รู้จักดีในฐานะเป้าหน้าร่างสูงใหญ่ที่มาพร้อมความเร็วและแม่นยำ แข็งแกร่งและทนต่อแรงปะทะ พร้อมกันนั้น ชื่อเสียงเรื่องความก้าวร้าวหรือปากจัดก็ไม่เคยเปลี่ยน สองสิ่งนี้ในตัวเขาเติบโตขึ้นพร้อมๆ กัน เขาอธิบายว่า ไม่ว่าจะเด็กหรือโต เขาก็ไม่เคยเป็นนักบุญของใคร ไม่เคยทำตัวสุภาพกับเพื่อนหรือคนในทีม เป็นมนุษย์ผู้ก้าวร้าวที่พร้อมจะงัดกับคนทั้งโลกถ้าเขาไม่เห็นด้วย

"แต่ผมก็เป็นคนป่าเถื่อนผู้มีวินัยดีเชียวล่ะ มันเป็นปรัชญาประจำตัวผม"

โลกอาจจะบอกว่าเขาคือนักเตะปากดี (ยิ่งกับกรณีล่าสุดที่สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าของแมนเชสเตอร์ หลายคนก็รักขณะที่อีกหลายคนก็เกลียดกับวลีนี้) แต่ซลาตันก็ไม่ได้หวาดหวั่นไปกับสายตาเหล่านั้น "ผมทำในสิ่งที่ผมพูด มันก็แค่นั้น ไม่ได้อวดดีทำนองว่า 'กูเจ๋งนะเว้ย ว่าแต่มึ-เป็นใครวะ' อะไรแบบนั้น ผมแค่ไม่ใช่คนถ่อมตัวทำเป็นสุภาพแบบนักเตะสวีดิช"

"ผมแค่อยากเป็นนักเตะที่เก่งและปากดีไปด้วยก็เท่านั้น"

กับด้านอ่อนไหว นอกจากความกราดเกรี้ยวอันดูเหมือนจะเป็นอารมณ์พื้นฐานของเขาแล้ว ซลาตันแทบไม่ปรากฏความรู้สึกอื่นใดอะไรง่ายๆ จะมีแต่เพียงเรื่องครอบครัวเท่านั้นที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของเขามากที่สุด

อย่างที่เคยเล่าไปว่า น้องสาวคนหนึ่งของซลาตันติดยาและหายสาบสูญไปจากครอบครัว และอีก 15 ปีต่อมา ลูกชายของเธอโทรศัพท์มาหาเจอร์กา-ผู้ซึ่งในวันนั้นอยู่ในฐานะยายของเด็กหนุ่ม

"ไงครับ ยาย"
"ขอโทษทีเถอะนะ" เจอร์กากรอกเสียงตอบกลับไป เป็นประโยคเดียวและประโยคสุดท้าย ก่อนจะวางสายใส่หลานชาย

ซลาตันมาได้ยินเรื่องนี้ภายหลังและพบว่ามันส่งผลต่อเขามากทีเดียว มากจนเขาอธิบายไม่ถูกนักว่าแท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดในช่องท้องที่เกิดขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนั้นคืออะไร มาจากไหน-แม่ผู้ซึ่งแบกศักดิ์ศรีและเกียรติยศไว้มากเหลือเกินของเขาไม่ควรทำแบบนั้น

"เราแบกเกียรติยศพวกนี้ไว้มากมายในครอบครัว และก็ลงเอยที่ความภาคภูมิเหล่านี้ทำลายเราลงจนสิ้น"

/////

กลับมาที่ซลาตันในวัยเด็ก เขาไม่ได้ไปโรงเรียนบ่อยนักเพราะเป็นเด็กตื่นสาย (เขาบอกเพิ่มเติมว่าจนตอนนี้การตื่นเช้าก็เป็นเรื่องยากในชีวิตอยู่) และเล่นกีฬาอยู่บ่อยๆ แต่เด็กชายซลาตันก็ทำการบ้านอย่างสม่ำเสมอ-ก็อย่างที่พูดว่าเป็นคนมีวินัยดี อาจจะไม่ขยันในห้องเรียนนักแต่เขาก็ลากกองการบ้านกลับมาทำจนเสร็จและส่งทันเวลาทุกครั้งไป

ปัญหาคือไม่มีใคร-แม้แต่ตัวเขาเองอธิบายได้ว่า ก็ในเมื่อไม่เข้าเรียนแล้วทำการบ้านได้ยังไง กระทั่งว่าเอาอะไรไปสอบจนผ่าน

"วิชาคณิตเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมากๆ แว้บเดียวผมก็รู้คำตอบแล้วว่าคืออะไร คล้ายๆ ฟุตบอลนั่นแหละ ภาพจำและทางออกวาบขึ้นมาในหัว แล้วก็แค่ตอบลงไป"

"ก่อนสอบ ผมก็อ่าน ยัดเข้าหัวให้เยอะๆ สอบเสร็จแล้วก็ลืมมันทั้งหมดที่อ่านนั่นแหละ"

แน่นอนว่าเขาก็คงพยายามอธิบายกับครูถึงคำตอบที่กรอกลงในกระดาษแบบนี้ แต่คุณครูกลับไม่ยอมเชื่อเพราะซลาตันอธิบายวิธีทำไม่ได้ ผลคือเขาถูกสงสัยว่าลอกข้อสอบหรือลอกการบ้านเพื่อนมาแน่ๆ เพราะไม่ใช่เด็กที่จะถูกคุณครูคาดหวังว่าคะแนนสอบของเธอต้องออกมาดีแน่ๆ เลยจ้ะเด็กชายซลาตัน เปล่า สำหรับครูแล้ว ซลาตันคือเด็กที่ถูกไล่ออกไปนอกห้องเรียนบ่อยที่สุด

ซลาตันยืนยันหนักแน่นว่าผมไม่ได้เป็นเด็กเลวอะไร "ผมแค่ทนนั่งนิ่งๆ ไม่ได้ เอาแต่โยนยางลบเล่น แล้วก็ขยุกขยิกตัวอยู่ตลอดยังกะมีมดสักรังซุกอยู่ในกางเกง"

////
พ้นจากเรื่องเรียน ซลาตันก็จะวิ่งหิ้วลูกฟุตบอลลงสนาม และเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเกลียดความพ่ายแพ้และทำทุกทางที่จะทำให้ทีมตัวเองเป็นฝ่ายชนะ จุดสำคัญที่เขาจับได้เป็นเรื่องแรกคือการเคลื่อนไหวเป็นเรื่องจำเป็นในการทำแต้มถล่มอีกฝ่าย และไม่มีทางลัดอื่นใดนอกจากซ้อมเช้าซ้อมเย็นเพื่อให้วิ่งได้เร็วที่สุด อ่านตำแหน่งได้ดีที่สุดในทีม ยิ่งเฉพาะเมื่อเป็นสนามสำหรับเด็กซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสนามจริงหลายเท่า นักกีฬาตัวน้อยจำเป็นต้องวิ่งให้เร็วและสมองต้องแล่นให้ไวเพื่อซัดอีกฝ่ายให้ตุงตาข่าย-ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กชายซลาตันที่ตัวเล็กกว่าใคร ขี้โรคกว่าใครและอ่อนแอกว่าใครในทีม เพราะเขามักเป็นบ่อน้ำมันให้อีกทีมพุ่งมาแท็กเกิลจนหัวพุ่งใส่พื้นเสมอ

แต่ซลาตันเป็นเด็กเรียนรู้เร็ว วันนี้เขาโดนเพื่อนชนหัวทิ่มเพราะช้า วันต่อมาเขาจะเร็วขึ้น อ่านตำแหน่งไวขึ้น เขากินนอนกับลูกฟุตบอล กอดมันไว้ใต้ผ้าห่มบนเตียงเล็กๆ และคิดอยู่ในหัวตลอดว่าวันต่อไปจะใช้ทริกอะไรในเกมดี พวกเขามักจะขลุกอยู่ในสนามจนเย็นย่ำ และบรรดาแม่ๆ ต้องโผล่หัวออกมาจากหน้าต่าง ตะเบ็งเสียงเรียกลูกชายเข้าไปกินมื้อเย็น

"นี่มันสายมากแล้วนะ อาหารเย็นพร้อมแล้ว เข้าบ้านซะที"
"อีกนาทีนึง" แล้วพวกเขาก็จะเล่นจนฟ้ามืด ฝนตก น้ำเจิ่งไปทั่วสนาม-แต่ก็ยังจะประคองลูกบอลไว้กับเท้าอยู่เช่นนั้น

////
เอ็มบีไอ (MBI) คือคลับแรกที่ซลาตันเข้าร่วม เขาเพิ่งจะหกขวบและต้องปั่นจักรยาน-ที่แน่นอนว่าไปขโมยของใครไม่รู้มา-ไปซ้อม เขาไม่ใช่เด็กขยันส่งบอลเท่าไรนักและเพื่อนร่วมทีมก็สรรเสริญเขาด้วยการตะโกนใส่ว่า "ส่งบอลสิวะ! ซลาตัน!" ซึ่งทำให้เขารำคาญใจเอามากๆ

อย่างไรก็ดี คลับนี้เต็มไปด้วยเด็กจากครอบครัวผู้อพยพจึงเต็มไปด้วยความหลากหลายมาก เหล่านั้นปะปนด้วยเด็กผมทองตาฟ้าและครอบครัวที่เป็นชาวสวีดิชแท้ๆ พ่อแม่เด็กสวีดิชหลายคนไม่พอใจนักที่พบเด็กต่างชาติในคลับ ซึ่งมาจากปัญหาเรื่องการที่พวกเขาคิดว่าผู้อพยพเหล่านี้ใช้กลโกงหรือช่องโหว่ทางกฎหมายเข้ามาในสวีเดนนั่นเอง

"ไปตายซะไอ้เบื๊อก" เด็กชายซลาตันวัยหกขวบตอบผู้ใหญ่ไปเช่นนั้นทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีใครบ่นเขาและครอบครัวเรื่องการเข้ามาอยู่ในสวีเดน

///
ซลาตันย้ายไปอยู่เอฟบีเค บอลข่าน คลับ ซึ่งเถื่อนกว่าเอ็มบีไออยู่โข ในคลับเดิม พ่อแม่ของเด็กๆ จะปรบมือเอาใจช่วยอยู่ข้างสนามและป้องปากตะโกน "เก่งมากจ้ะลูกรัก" ขณะที่ในบอลข่านคลับนั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์แล้วก็มักจะมีประโยคทำนองว่า "เดี๋ยวกูจะเอาตูดแม่ให้ดู" เต็มไปหมด และแน่นอนว่าซลาตันปลื้มใจเอามากๆ

"เยี่ยม ค่อยรู้สึกเหมือนอยู่บ้านขึ้นมาหน่อย"

ในบอลข่านคลับ ซลาตันเป็นโกลอยู่บ้างเพราะพุ่งไปหาโกลคนเก่าด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วไปแหกปากใส่ชาวบ้านว่ากู-ซลาตันทำได้ดีกว่านี้อีกเว้ย ออกมาเดี๋ยวเป็นโกลเอง

และก็เช่นเดียวกับโกลหลายๆ คนแหละ ที่บางวี่บางวัน เจ้าหนูซลาตันก็ปล่อยให้ทีมตรงข้ามซัดซะตุงตาข่ายตั้งเยอะ ซึ่งแทนที่จะโทษตัวเอง ซลาตันกลับเอาแต่ตะโกนด่าว่าทุกคนแม่-ห่วย ฟุตบอลแม่-ห่วย โลกนี้แม่-ก็ห่วย เขาจะไปเล่นฮอกกี้แทนแล้ว

"ฮ็อกกี้แม่-เจ๋งกว่าเว้ยไอ้พวกหน้าโง่! ฉันจะไปเป็นนักกีฬาอาชีพฮ็อกกี้ รอไว้เลย!"

แต่สุดท้ายไม่ได้เป็น ชุดเยอะ อุปกรณ์การเล่นแพง เด็กชายซลาตันเลยกลับมาเตะบอลต่อ ซึ่งเขาทำได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าประทับใจและกลายเป็นกำลังหลักของทีมอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรก็ดี มีอยู่แมชต์หนึ่งที่โค้ชสั่งให้เขานั่งเป็นตัวสำรองอยู่ข้างสนาม และด้วยความสุภาพ ซลาตันถามโค้ชอย่างนอบน้อม

"คุณโง่รึไงวะ"
"ใจเย็นไอ้หนู เดี๋ยวนายก็ได้ออกไปเล่นน่า" ซึ่งสุดท้าย เขาสั่งให้ซลาตันลงในครึ่งหลังและเด็กชายทำได้แปดประตูเน้นๆ และเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็นไอ้เด็กตัวเล็กขี้มูกยืดที่ยังคุมอารมณ์ไม่เป็น เที่ยวอาละวาดใส่เพื่อนร่วมทีมและกรรมการ นำมาสู่การย้ายคลับกลับไปกลับมาอยู่บ่อยๆ


(ต่อคอมเม้นท์ 1)
///
ตอนนี้แปลแค่นี้ก่อนค่ะ คือถ้าอ่านแล้วชอบบอกนะคะจะได้เรียบเรียงแบบขำๆ มาให้อ่านอีก ผิดๆ ถูกๆ บ้างขอโทษด้วยนะคะ

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
ป.ล.เป็นคนชอบดูหนังแต่ก็ดูบอลด้วยง่ะ ใครที่ชอบดูหนัง กดไลก์ได้นะคะ

Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่