พิษสวาท (กึ่งวิพากษ์) : ด้วยใจใฝ่รักเกินพักตรา จึงมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์

นับร้อยปีที่เธอต้องทำหน้าที่ นับร้อยปีที่ได้แต่เพียงเฝ้าดูวัฏจักร กิเลส ความโลภ ความืดดำในใจของมนุษย์ นับร้อยปีที่วิญญาณถูกล่ามโซ่ตรึงตรวน รับหน้าที่เข่นฆ่าไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามาหยิบฉวยสมบัติของแผ่นดิน กี่ชาติกี่ภพล่วงไป มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่มีวันหลุดพ้น ด้วยกฤติยามนต์ ด้วยสัตย์สาบาน ที่เขาผู้นั้นล่วงล่อหลอกเธอให้เอื้อนเอ่ยวาจา คมดาบที่บั่นลำคอเรียวระหงอย่างไม่ใยดี กล้ามเนื้อที่เต้นระริก ริมฝีปากที่ยังอยากจะเอื้อนเอ่ยคำถาม หากหมดสิ้นโอกาสเสียแล้วไม่ว่าในชาตินี้ หรือ ชาติไหน เพราะคำสาปและตรวนโซ่จะล่ามเธออย่างนี้ทุกชาติไป จนกว่าใครผู้มีบุญญาธิการจะมาถ่ายโอนสมบัติที่เธอเฝ้าดูแล ใต้โลกมืดแห่งนี้ ไม่เห็นแสงเดือนไม่ได้สัมผัสแสงตะวัน วิญญาณที่มือเปื้อนเลือดอยู่ชั่วนาตาปี ความเชื่อใจที่ถูกย่ำเหยียบ ศรัทธาที่พังทลาย สิ่งนี้คือสิ่งที่เธอควรได้รับเช่นนั้นหรือ ?

ยาวนานนักหนาแล้วที่เขาคนนั้นได้เวียนว่ายตายเกิดเยี่ยงมนุษย์ปุถุชน
มีแต่หญิงนามอุบลคนนี้อยู่กับหน้าที่ที่ถูกสาป ในดินแดนแห่งอนธกาล
เธอจึงร้องขอเจ้าแห่งโลกวิญญาณเพื่อทวงคืนความยุติธรรม
ผู้ใดทำกับเธอ ผู้นั้นควรได้รับสิ่งสนองคืน .... ดุจเดียวกัน


นางรำหลวงนามอุบลพบกับคุณพระอรรคครั้งแรกหลังการแสดงรำฉลองชัยยามบ้านเมืองยังวิกฤต ด้วยความระลึกในบุญคุณของคุณพระขุนศึกเอกแห่งกรุงศรีฯ หญิงสาวจึงมอบมาลัยที่กรองอย่างงดงามให้เป็นเครื่องเคารพที่คุณพระกระทำหน้าที่อย่างชายชาติทหารซึ่งตรงกับหลักยึดของเธอเช่นกัน แม้นจะเป็นหญิงและเป็นนางรำไม่เคยคุ้นเรื่องการศึก แต่การร่ายรำของเธอในงานพิธีไม่ว่าเพื่อบวงสรวงหรือฉลองชัย สำหรับอุบลแล้วเป็นทั้งชีวิตเป็นทั้งหน้าที่ เธอไม่เคยถอยหนีหากรู้เหตุผลที่ต้องกระทำ แม้นข้าศึกจะตรึงเมือง ลูกปืนใหญ่ลอยระฟ้า เสียงตูมตามโครมครามจนคนตระหนกตกตื่น หากนางรำอย่างอุบลก็ตั้งปณิธานแล้วว่าจะทำหน้าที่แห่งตนจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย เช่นเดียวกับคุณพระอรรคที่ไม่ยอมถอยทัพแม้แต่เพียงก้าวเดียวเช่นกัน

รอยยิ้มมุมปากแม้เพียงน้อยนิดคงบอกอะไรได้หลายอย่าง
พึงใจในรูปโฉม ถูกใจในความคิด หญิงใดในอโยธยาหาญกล้ามอบมาลัยแก่ขุนศึก
หญิงใดหาญกล้าเปิดใจคุยเรื่องการศึกมีสำนึกถึงบ้านชาติแผ่นดินไม่ผิดชาย


ด้วยเหตุนี้รางวัลที่คุณพระอรรคฯ ขอประทานหลังการศึก ... ซึ่งไม่แปลกเลยเมื่อสมัยอยุธยาคือการขอ "เมีย" เมียพระราชทานคือคุณอุบลนางรำหลวงตัวโปรดของเสด็จฯ ชีวิตหวานชื่นเยี่ยงผัวเมียกินเวลาน้อยนิดท่ามกลางบ้านเมืองที่วุ่นวายด้วยการศึก แม้นจะถูกทิ้งให้รอคอยอยู่คนเดียวที่เรือนคุณอุบลก็ไม่หวั่นไหวอันใดด้วยรู้ว่าสามีต้องกระทำการตามหน้าที่ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอติดตามเข้าวังนำข้าวปลาอาหารเสื้อผ้ามาให้คุณพระเปลี่ยน เธอได้พบกับความจริงบางอย่าง ... คุณพระมีความลับกับเธอ น้องทิพย์ลูกสาวท่านขุนพิจารณ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่คุณพระสั่งนักหนาว่าห้ามใครมายุ่มย่ามเวลาทำงานเป็นอันขาด หากในความเป็นเมียเป็นผู้หญิงก็ได้แต่เก็บทุกสิ่งเอาไว้ในใจ ความเชื่อใจและศรัทธาก็ยังมีให้ แม้นกระทั่งเขาคว้ามือน้องทิพย์ลงเรือนไป และ บอกให้เธอรอ เธอก็รออย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ และดีใจอย่างสุดแสนเมื่อคุณพระมารับเธอลงจากเรือน

แต่อนิจจา ... ความรัก ความศรัทธา ความเชื่อมั่นทั้งหลายที่เธอมีให้แก่เขา
สิ่งที่ได้รับตอบแทนคือเลือดเนื้อ น้ำตา ความตาย และ คำสาป


เอือมระอา ทรมาน กับสิ่งที่ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ มือที่ไม่อยากเปื้อนเลือดแต่ก็ต้องเปื้อน คนชั่วต้องได้รับกรรม หากเธอก็ไม่อยากเข่นฆ่าใคร ระอาในวัฏจักรความโลภของมนุษย์ที่มีแต่เธอเท่านั้นที่แบกรับมันอยู่ตอนนี้ เพราะความรักความเชื่อมั่นความศรัทธาไม่ใช่หรือเล่าที่ทำให้เธออยู่ในสภาวะเช่นนี้ สัตย์สาบานที่ให้ไว้ด้วยตัวเองเพราะหลงกลผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี สามีที่เธอทำทุกสิ่งอย่างที่เมียคนหนึ่งควรทำ เธอเก็บกดอดกลั้น น้อยคำไม่ให้ระคาย ไว้ใจทิ้งสิ้นซึ่งความระแวง แต่เขากลับทิ้งทอดเข่นฆ่า และ ยิ่งไปกว่านั้นจองจำเธอในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน สาปแช่งให้เธอต้องทำบาปตลอดสองร้อยกว่าปีมานี้ไม่รู้ว่าจะชดใช้หมดสิ้นได้อีกเมื่อใด

เพราะรักเพราะเชื่อใจยิ่งกว่ารักตัวเอง
จึงได้พบพานแต่เพียงเวทนาเช่นนี้


ยาวนานไปแล้วกับความอยุติธรรมในครั้งนี้
ผู้หญิงชื่ออุบลมาถึงจุดที่สุดแห่งความแค้นและการทวงถาม
เธอสูญเสียมามากพอและยาวนาน จนไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป


ต่อจากนี้ไม่ใช่เพียงการเอาคืนหรือทวงถาม
แต่เป็นการส่งคืนสิ่งที่เขาควรได้รับกลับคืนไป
รอก่อนเถิด "อัคนี"


ในครานี้ผู้ที่"เวทนาเป็นเนืองนิตย์"จะไม่ใช่ "อุบล" อีกต่อไป


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่