ว่าด้วยเรื่องการกินเพื่อลดน้ำหนัก ไดเอทแบบไหนดีที่สุด : กินวันละ 1000 cal VS hclf vegan VS fruitarian VS นับสารอาหาร

หลายคนสงสัยว่าหากต้องการมีรูปร่างที่ดี สมส่วน เราควรจะเลือกกินอย่างไร ยิ่งบางคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนก็จะยิ่งพยายามขวนขวายหาสูตรต่างๆ ที่จะทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลงไปให้เร็วมากที่สุด โดยบางทีก็ลืมนึกไปว่าสูตรทั้งหลายแบบนั้น ในท้ายที่สุดมันจะดีต่อสุขภาพของเราในระยะยาวหรือไม่

ก่อนอื่นทุกคนต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หุ่นที่ดีกับน้ำหนักตัวมันไม่ได้สัมพันธ์กันซะทีเดียว เนื่องจากน้ำหนักของร่างกายนั้นประกอบไปด้วย น้ำ ไขมัน กล้ามเนื้อ และอื่นๆ ดังนั้นการที่น้ำหนักลด นั่นอาจไม่ได้หมายความว่าไขมันของเรากำลังลดลง สิ่งที่หายไปอาจเป็นน้ำ หรือที่เลวร้ายก็คือกล้ามเนื้อแสนสำคัญหายไปนั่นเอง

คราวนี้ถามว่า "กล้ามเนื้อสำคัญอย่างไร?" พูดเป็นนามธรรมก็คือกล้ามเนื้อมันหนักกว่าไขมัน เป็นที่สะสมของแป้งและน้ำ แต่ถ้าให้พูดเป็นรูปธรรมง่ายๆ ก็คือมันจะทำให้ร่างกายเฟิร์ม! ดูไม่ย้วย ไม่หย่อนยาน ทำให้ร่างกายแข็งแรง และที่สำคัญคือคนที่มีกล้ามเนื้อมากจะมีระบบเผาผลาญที่ดีกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อย เพราะกล้ามเนื้อเป็นส่วนที่กินแคลอรี่ตลอดทั้งวันนั่นเอง!!

ดังนั้นการที่เราจะสักแต่ว่าลดน้ำหนัก แล้วดูแค่ "น้ำหนัก" ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดี เราต้องรักษากล้ามเนื้อ และเน้นที่การลดไขมันในร่างกาย จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ้ม

ร่ายมานาน คราวนี้เรามาเปรียบเทียบวิธีการไดเอท เริ่มที่แบบแรกกันเลย วิธีที่ส่วนมากสาวๆ จะฮิตกันที่สุด นั่นก็คือ "การกินวันละ 1000 แคลอรี่หรือน้อยกว่า"



วิธีการนี้คือส่วนย่อยของการกินแบบ "นับแคลอรี่" แต่จะพยายามรวมแคลอรี่ทั้งวันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างเลวร้ายบางคนก็กินแค่ 500 แคล ซึ่งนั่นยิ่งเป็นการทำร้ายร่างกายเข้าไปใหญ่ เนื่องจากหากได้รับพลังงานที่น้อยเกินไปร่างกายอาจเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานคือไม่ยอมเผาผลาญอาหารได้ ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือสำหรับผู้หญิงอาจประจำเดือนไม่มา ร่างกายอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง ผมร่วง ผิวหนังหยาบกร้าน และสำหรับผู้ชายคือไม่มีอารมณ์ทางเพศ ไร้เรี่ยวแรง ผมร่วงง่าย สูญเสียกล้ามเนื้อ

เชื่อว่าอ่านถึงตรงนี้บางคนอาจแย้งขึ้นว่า ไม่จริงอะ! เราลองแล้วยังน้ำหนักลดลงเลย... ใช่ค่ะ เริ่มต้นไม่ว่าใครก็ต้องน้ำหนักลดทั้งนั้น เพราะกินน้อย ไม่เพียงพอต่อที่ร่างกายต้องการ แต่น้ำหนักที่ลดอาจเป็นแค่น้ำ หรือซ้ำร้ายก็สูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปด้วย และยิ่งลองทำแบบนี้ไปซักพัก ร่างกายจะเริ่มอยู่ตัว ไม่ยอมเผาผลาญ น้ำหนักก็จะไม่ยอมลดต่อ แล้วพอนานๆ เข้า อยากกลับมากินตามปกติ จากที่ร่างกายไม่ยอมเผาผลาญอยู่แล้ว มากินเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้ร่างกายเก็บสารอาหารนั้นไว้ คราวนี้ก็ยิ่งอ้วนขึ้นแบบเท่าทวี ที่หลายๆคนเรียกว่า yoyo effect นั่นเอง

แต่การกินแบบนับแคลอรี่ก็มีวิธีการกินที่ถูกต้องอยู่เช่นกัน คือในหนึ่งวันเราต้องกินให้มากกว่าหรือเท่ากับค่า BMR เป็นค่าพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายต้องการเพื่อมีชีวิต แต่ถ้าไม่อยากอ้วนขึ้นก็อย่ากินเกินค่า TDEE ซึ่งคือปริมาณที่ร่างกายเผาผลาญรวมการทำกิจกรรมของเราในแต่ละวัน (หาคำนวณได้จากในเนต เป็นค่าคร่าวๆ นะคะ)


วิธีที่ 2 ที่หลายคนต่างก็เคลือบแคลงใจ "high carb low fat diet" หรือการกินแบบเน้นคาร์โบไฮเดรต ไขมันต่ำ โปรตีนต่ำ แบ่งเป็น คาร์บ:โปรตีน:ไขมัน = 80:10:10 (อาจรู้จักในหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น rawtill4 , raw vegan , plantbased , starch solution) โดยไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ส่วนมากจะกินผักผลไม้ ถั่วต่างๆ มันต่างๆ กินเยอะน้ำหนักก็สามารถลดลงได้ อันนี้คอนเฟิร์มว่ายิ่งเริ่มจากน้ำหนักเยอะก็จะยิ่งลดลงเร็ว อ่านเพิ่มเติมที่เอมเคยเขียนไว้ละเอียดๆ ได้ที่ http://ppantip.com/topic/34309172/



มื้อเช้าอาจเริ่มด้วยกล้วยซัก 8-10 ลูก นำมาปั่นหรือกินสดก็แล้วแต่ หรือจะเป็น ผลไม้ทั้งลูกอย่างแตงโม แคนตาลูป มะละกอ
มื้อเที่ยง กินผลไม้ ผักต่างๆ อันนี้แล้วแต่ กินเยอะได้
ส่วนมื้อเย็นกินอาหารที่ผ่านความร้อนได้ พวกมัน เผือก มันเทศ ข้าว ควินัว พาสต้า ได้หมด แต่ไม่มีเนื้อสัตว์

หลายคนไม่เชื่อว่ากินแบบนี้แล้วน้ำหนักลง เอมเองก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะลองกับตัวเองแล้วว่าได้ผลจริง กินเยอะ แล้วน้ำหนักลด?? แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน และคือสาเหตุที่ทำให้เอมเลิกกิน hclf vegan ไปเลย เพราะการกินโปรตีนน้อย (เราได้โปรตีนจากผลไม้ ผัก และถั่วก็จริง แต่นั่นไม่เพียงพอ) ทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ สิ่งที่เราทุกคนควรจะหวงแหนเอาไว้ ตามเหตุผลที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

วิธีที่ 3 "fruitarian" ไดเอทด้วยการกินแต่ผลไม้ วิธีนี้ออกตัวก่อนเลยว่าเอมเคยลองแค่ 1 อาทิตย์ จิตใจไม่เข้มแข็งพอค่ะ คือกินกล้วยตลอดทั้งอาทิตย์เลย 5555 ฝรั่งเรียกกันว่า banana island เปรียบเหมือนเราติดเกาะที่มีแต่กล้วย ก็กินวันละประมาณ 20-30 ลูก กินเรื่อยๆ ก็อิ่มนะ แต่รู้สึกเนือยๆ แบบมันโหย อยากกินอย่างอื่น ก็อาจเกิดจากความเบื่อนั่นเอง ดังนั้นเอมเลยรีวิวมากไม่ได้ ไปดูวีดีโอของทาง fitjunctions เพิ่มนะคะ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


โดยเอมคิดว่าลักษณะการกินแบบนี้ก็จะคล้ายกับแบบที่ 2 แค่กินแต่ผลไม้ คือน้ำหนักลดลงได้เพราะร่างกายเผาผลาญแต่คาร์บที่มาจากธรรมชาติ ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี และไม่ใช่ว่าแคลอรี่ทั้งหมดถูกดูดซึม จึงทำให้น้ำหนักลด แต่ก็เช่นเคยนะคะ โปรตีนอาจไม่พอและส่งผลให้เสียกล้ามเนื้อได้

วิธีที่ 4 "การนับสารอาหาร" จะเป็นวิธีที่สืบเนื่องมาจากการนับแคลอรี่แต่ใช้ชีวิตง่ายกว่า คือเน้นโปรตีนให้เพียงพอ (ประมาณ 1 เท่าของน้ำหนักตัวในหน่วย กก. สำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าอยากเพิ่มกล้ามก็ 1.5-2.0 เท่า) กินไขมันไม่มากเกินไปเพราะพลังงานสูง และที่เหลือคือกินแป้งเท่ากับหรือมากกว่าโปรตีนเล็กน้อย ต้องคำนวณแต่ก็ไม่เคร่งเท่าการนับแคล



วิธีที่เอมแนะนำก็คือการนำวิธีนับแคลกับนับสารอาหารมารวมกัน เป็นการกินแคลอรี่ให้ไม่เกินแต่ไม่เคร่งมากและกินโปรตีนให้ถึง เอมว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดจากทั้งหมดที่กล่าวมา ยกตัวอย่างอย่างเช่นเอมเอง หนัก 50 กิโลกรัม สูง 163 โดยประมาณ เอมจะกินวันละ 1500 - 1800 แคลอรี่ (เอมเล่นเวทและคาร์ดิโอ 3-4 วันต่อสัปดาห์) และกินโปรตีนมากกว่า 80 กรัม/วัน

กินแบบนี้น้ำหนักอาจจะลดช้า แต่ได้กินอิ่มทุกมื้อ ร่างกายพัฒนา มีกล้ามเนื้อมากขึ้น และแข็งแรงอย่างยั่งยืน


แต่เนื่องจากตอนนี้เอมค่อนข้างพอใจกับรูปร่างตัวเองแล้ว ก็เลยอยากกลับมากินเจ กินมัง ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ เพราะชอบความรู้สึกตอนกิน vegan มากๆ ดังนั้นจากประสบการณ์ที่เคยเสียกล้ามแต่ตอนนี้ไม่อยากเสียกล้ามเนื้อไปด้วย เลยต้องพยายามกินโปรตีนเสริมจากถั่วเหลืองช่วยอยู่ค่ะ เริ่มมาได้ 2 อาทิตย์แล้ว กล้ามเนื้อยังไม่หายไปไหน ก็เลยยังอุ่นใจอยู่ ถ้าใครที่กินเจและกำลังเพิ่มกล้ามเนื้ออยู่ด้วย แนะนำเอมหน่อยนะคะ ยิ้ม ขอบคุณมากค่ะ

ตอนนี้กินแบบนี้ค่า




สรุป!!!
1. กินแบบแคลอรี่ต่ำ ไม่เกิน 1000 แคลอรี่
ข้อดี : น้ำหนักลด (น้ำและกล้ามเนื้อ)
ข้อเสีย : ผ่านไปซักระยะน้ำหนักจะคงที่และเริ่มเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ + เสียกล้ามเนื้อ + สุขภาพจิตเสียเนื่องจากทานได้น้อย + โอกาสตบะแตกมีสูง + ส่งผลให้เกิด yoyo effect + เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

2. hclf vegan และ fruitarian diet
ข้อดี : สุขภาพจิตดี + น้ำหนักลดทั้งที่กินได้เยอะ + ได้บุญ
ข้อเสีย : อดกินเนื้อสัตว์ (กับบางคนอาจเป็นข้อดี) + เสียมวลกล้ามเนื้อ

3. นับสารอาหาร
ข้อดี : สุขภาพแข็งแรงในระยะยาว
ข้อเสีย : หากนับเฉพาะสารอาหารอาจแคลอรี่เกินและน้ำหนักขึ้น

4. นับสารอาหาร + คุมแคลอรี่
ข้อดี : น้ำหนักลดอย่างยั่งยืน + สุขภาพแข็งแรงในระยะยาว + เพิ่มกล้ามเนื้อได้
ข้อเสีย : กินได้ไม่ตามใจ (อันนี้ก็ปกติสำหรับคนอยากหุ่นดีนะคะ)

จบแล้วน้า สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ก็สู้ๆ นะคะ ยิ้ม




เม้าท์มอย สอบถาม และแนะนำเอมได้ที่
ig : aim.healthygirl

FB : Female Fit
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่