[CR] ไม่ได้บ้า....แค่แบกเป้ขึ้นบ่า เที่ยว SRI LANKA คนเดียว | Kandy | A Remarkable Journey



นั่งอยู่บนรถไฟ มองดูไร่ชาเขียวสุดลูกหูลูกตาสองข้างทาง ข้างๆคือคนแปลกหน้าในตาแขก
คิดถึงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนตัดสินใจออกเดินทางมาที่นี่...

เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวที่ไม่รอใคร และเราก็ควบคุมมันไม่ได้ดั่งใจเสียด้วย นี่คือความคิด ณ ตอนนั้น
ดังนั้นมีเวลาก็ต้องรีบใช้ให้คุ้มค่า มีเวลาว่างแค่ 3-4 วัน ต้องสอดส่องหาที่ไป จะไปใกล้ไปไกลอีกเรื่องนึง

“แล้วทำไมไปศรีลังกา?” คำถามจากปากเพื่อนร่วมงาน
“แกบ้าไปแล้ว” อีกประโยคพร้อมน้ำเสียงตกใจ หลังจากที่บอกว่า หยุด 4 วันนี้จะไปเที่ยวนะ
“ไปด้วยดิ” อีกหลายคนเอื้อนเอ่ยขอติดตาม แต่พอบอกว่า “จองตั๋วเลยแก ตอนนี้มีโปร” ก็ไม่มีใครมือลั่นกดจองซักคน
สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจไปศรีลังกา เพียงเพราะดูรีวิวจากเว็บไซต์หนึ่ง แล้วรูปที่เจ้าของกระทู้เอามาลงนั้น สวยมาก บรรยากาศมันดูสด มีชีวิต เหมือนตัวคนในภาพออกมาวิ่งเล่นข้างนอก แววตาของคนในภาพดึงดูดให้เรามองอย่างไม่รู้เบื่อ....ศรีลังกาน่าค้นหาขึ้นมาหลายเท่าตัว

และเพราะกระทู้เดียวนั้น ทำให้ตัดสินใจจองตั๋วแบบเร่งรีบ พร้อมทำวีซ่าเสร็จภายใน 2 วัน

พอถึงวันเดินทาง ออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าใบเก่ง มานั่งทำงานพร้อมประชุมเครียด
กว่าจะออกจากที่ทำงานได้ ก็ลุ้นสุดๆ แบกกระเป๋ารีบวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้า ต่อ airport link  ด้วยท่าทางท่าทางกระหืดกระหอบ กว่าจะมาถึงสถานีฝนก็ทำท่าจะตก ฟ้าครึ้มมาพร้อมเมฆก้อนทะมึน
รถไฟเคลื่อนที่เข้าจอดพร้อมฝนห่าใหญ่ ให้ความชุ่มชื้นก่อนเดินทาง ช่วงเดือนธันวาคม ที่ไม่ใช่หน้าฝนวันนี้นึกครึ้มอะไรไม่รู้ ตกลงมาจนได้ นึกดีใจทื่เลือกใช้รถไฟเพราะยังไงก็ไปตรงเวลา ฝ่าพายุฝนมาส่งถึงสนามบินแบบปลอดภัยไรกังวล  แต่ทริปนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ วันถัดไปคือของจริง ขอให้เจอการต้อนรับที่อบอุ่นจาก Sri Lanka สาธุ

เกือบเที่ยงคืนแล้ว เสียงกัปตันประกาศกำลังจะนำเครื่องลงในไม่ช้า เป็นเสียงที่คนกำลังหลับดีๆไม่อยากได้ยิน เพราะนั่นหมายความว่า เวลาในการนอนกำลังจะหมดลง ชีวิตต้องเผชิญต่อ











ลงจากเครื่องตอน 0:10 กว่าจะผ่านตม.ออกมารับกระเป๋าก็เกือบตี1  เดินออกมาเพื่อหาที่นั่งข้างนอก โชคดีเจอแม่ชีท่านหนึ่ง ท่านมาเรียนต่อที่ศรีลังกา ท่านช่วยแนะนำให้แลกตังค์ ซื้อซิมมือถือสำหรับทริปนี้เพราะอยากติดต่อกับโลก สนนราคา 400 บาทได้มา 5G แถมcall ได้อีก 200 รูปี



ระหว่างรอเวลาก็แอบงีบแต่ไม่กล้าหลับ ทั้งๆที่คนก็เยอะมาก สุดท้ายพอหลับไม่ลงก็ตัดสินใจหาข้อมูลรถบัสไป Kandyดีกว่า บ้างก็บอกต้องไปขึ้นที่สถานีรถบัส  บ้างก็บอกต้องไปขึ้นที่ Colombo เลย ถามเข้าหน้าที่ที่ Tourist Information ก็บอกมาแบบงงๆ งงจริงนะ เค้าให้ชื่อสถานีมาไม่ตรงกับคนอื่นๆ สุดท้าย ถามซัก 4-5คน แล้วตัดสินใจ เดินออกไปดูลาดเลาตามคำบอกตอนตี 5 ถามทางไปเรื่อยๆจนเจอคุณตำรวจ
“อ๋อ ว่ามีรถมานะ ผ่านหน้าสนามบินนี้เลย มายืนรอได้เดี๋ยวรถก็มา” มีคุณตำรวจยืนรอเป็นเพื่อนก็อุ่นใจ และรอไม่นานรถบัสที่ต้องการขึ้นก็มาถึง







Local Bus มุ่งหน้าสู่เมือง Kandy รถเป็นบัสเก่าๆ เก่าพอๆกับรถโดนสารฟรีบ้านเรา หรืออาจจะเก่ากว่า ขนาดเล็กแต่ยังใช้งานได้ดี เราเลือกที่นั่งด้านหน้าสุดแบบเหมาะเจอะ เปิดหน้าต่างรับแอร์ธรรมชาติ เย็นสบาย ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่าง แต่ก็ยังไม่กล้าหลับ เพราะว่าเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวในรถ ตัดสินใจนั่งตาค้างไปพักใหญ่ ดูลาดเลาก่อน (ผู้หญิงเดินทางคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นบ้านเราเอง หรือประเทศไหนๆ เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ) จนมองเห็นด้านนอกลางๆ  ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว

รถบัสสายนี้มีคนขึ้นตลอดสาย แน่นแบบเรียกว่าหัวชนกัน เบียดยิ่งกว่าปลากระป๋อง สงสารคนที่ยืนต้องพิงกันเองเพื่อไม่ให้ล้ม ส่วนคนที่จะลงก็แทยแทรกตัวออกไปจากรถไม่ได้ ความแน่นขนัดแบบนี้ กลับไม่ได้ทำให้เราอึดอัดเท่าไหร่นัก อาจเพราะว่ามีที่นั่งเป็นของตัวเอง เลยอาสาช่วยถือของหนักๆให้กับคนที่ยืนอยู่

















สี่ชั่วโมงกว่าๆบนถนน ในที่สุดก็เดินทางมาถึง Kandy เมืองมรดกโลกและเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายที่ปกครองด้วยตนเอง
เมืองที่มีเป้าหมายสำคัญอย่างเดียวคือ กราบนมัสการพระเขี้ยวแก้วเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ประเทศไทยอันเชิญมาให้ชาวไทยนัมสการบ่อยมาก แต่ไม่มีโอกาสได้ไปนมัสการจริงซักหน





ลงจากรถปีบสิ่งแรกที่ต้องทำคือ แบบเป้เดินไปที่สถานีรถไฟ ซื้อตั๋วสำหรับไป Nuwera Eliya พรุ่งนี้ แต่ต้องผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าตั๋วหมดแล้ว ต้องมาลุ้นอีกทีพรุ่งนี้
เศร้าเล็กๆ เพราะไม่คิดว่าแผนการที่วางจะพลาด...การนั่งรถไฟสายนี้ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของทริปเลยทีเดียวแต่เมื่อทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ก็ควรเที่ยวให้เต็มที่แล้วค่อยว่ากันใหม่











หลังจากเข้าที่พักแล้ว ก็ออกมาเดินดูเมือง กะว่าจะหาอะไรทานรองท้อง
เดินออกจากประตูที่พักปุ๊บ ตัวแสบ...เพราะแดดเผาแรงมาก ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มาจากเมืองร้อนมากๆอย่างเรายังแทบจะทนไม่ไหว โชคดีที่ติดผ้าพันคอออกมาด้วย เลยได้ใช้คลุมตัวลดความร้อนไปได้เยอะ
สวนทางกับสาวๆศรีลังกาที่เดินกางร่มกันทุกคน ฝนไม่ได้ตก แต่กางร่มกันแดดต่างหาก

ว่าแต่นอกจากพระเขี้ยวแก้วแล้ว อะไรที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่....?
ถ้าไปเดินถามหลายๆคนอาจจะได้คำตอบที่ไม่เหมือน
แต่สำหรับฉัน มันคือ “วิถีชีวิต”







การเดินผ่านตรอกซอกซอยเล็กๆข้างที่พัก ออกไปถนนใหญ่ ผ่านตลาดสด ย่านขายของ ย่านขนถ่ายสินค้า ผ่านเข้าไปในเมืองสู่ทะเลสาบกลางเมืองข้างๆวัดที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว
เราจะเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ดำเนินไปทุกวัน แบบไม่สนใจว่ามีใครจับจ้องอยู่ รถตุ๊กๆคันเล็กหลากสีสรรวิ่งให้ขวัก ในขณะที่คนทำงานก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เสร็จ ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน



























เดินอยู่พักใหญ่ หาอะไรทานไม่ได้ เพราะเป็นคนกินยาก และไม่อยากมีปัญหาท้องเสียในวันแรก สุดท้ายทนความหิวไม่ไหว เลยฝากท้องไว้กับ KFC รสชาติมาตรฐาน กินอิ่ม ก็ตัดสินใจเข้าวัดตอนประมาณบ่ายสองครึ่ง แดดร้อนมากแต่พอเข้ามาด้านในวัดเย็นสบาย
แต่เราไม่สามารถเข้าไปนมัสการองค์จริงใกล้ๆได้ เพราะประตูปิดหมด กระนั้นผู้คนยังเข้ามาไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่บอกว่า สามารถกลับมาดูได้อีกตอน 18:30 เป็นเวลาที่มีพิธีบวงสรวงรอบสุดท้ายของวัน เข้าได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วอีก รอบนี้เลยเดินดูบรรยากาศรอบๆไปก่อน





































ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ให้ชมกันด้วย สำหรับที่ชื่นชอบ ที่สำคัญถ้ามีไกด์ท้องถิ่นมาเสนอตัวพาเดิน ก็เลยต้องให้สินน้ำใจเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
ออกจากวัดแล้วเดินต่อไปด้านทะเลสาบ ว่าจะเดินขึ้นไปชม View point ของที่นี่ แต่ฝนฟ้าไม่เป็น เพราะเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ฟ้าคลึ้มแล้วมีฝนปรอย เลยตัดสินใจกลับไปตายรังที่เตียงนอนดีกว่า
ชื่อสินค้า:   Kandy, Sri Lanka
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่