ไม่ได้บ้า....แค่แบกเป้ขึ้นบ่า เที่ยว SRI LANKA คนเดียว
ตอน Nuwara Eliya บุกไร่ชา ตามหาเสือดาว
ติดตามตอนแรกได้ที่นี่:
ไม่ได้บ้า....แค่แบกเป้ขึ้นบ่า เที่ยว SRI LANKA คนเดียว | Kandy | A Remarkable Journey: http://ppantip.com/topic/35365917
ผจญภัยบนรถไฟศรีลังกา
เสียงล้อเหล็กกระทบรางเป็นจังหวะ ลมเย็นพัดเข้าหน้า ละอองของความสดชื่นปลิวทั่วไปหมด
ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที มือที่กำตั๋วรถไฟขนาดจิ๋วยังสั่น แถมยังกระหืดกระหอบเพราะลุ้นว่าจะได้ตั๋วเที่ยวเช้าวันนั้นไหม
เจ้าหน้าที่บอกว่าตั่ว1st Class ถูกจองเต็มหมดเลย ตอนนี้เหลือแต่ตั๋ว 2nd Class เหลืออยู่เท่านั้น
แน่นอน....ฉันรีบจ่ายตังค์เพื่อจะฉกตั๋วใบนั้นมาให้เร็วที่สุด สอบถามราคาได้ยินว่า 1600 Rupee (~380 บาท) ตะขิดตะขวงใจคิดว่าฟังผิด แต่ในใจก็นึกว่าเมื่อเทียบกับการนั่ง 4 ชั่วโมงก็ถือว่าคุ้มนะ ที่สำคัญไม่อยากพลาดรถขบวนนี้
แต่เอ๊ะ!!!! ก่อนจ่ายตังค์ลองถามใหม่อีกซักที เลยถึงบางอ้อ.....
ราคาตั๋วคือ 160 Rupee (~38 บาท) ตัดศูนย์ออกไปตัวนึง เรื่องพลิกกลับว่าเป็นว่าเราฟังผิดเอง
เฮ้ย!! ทำไมตั๋วมันถูกขนาดนี้ เค้าจะเอากำไรที่ไหนมาปรับปรุงรถไฟหว่า แต่คิดได้แป๊บเดียวเท่านั้น ก็เลิกสนใจเพราปัญหาที่ใหญ่กว่าของเราคือ การไปยืนรอที่ชานชาลาที่ถูกต้องต่างหาก
ตอนนั้นต้องระวังอย่างหนัก เพราะกลัวขึ้นผิดขบวน ทั้งๆที่มีชานชาลาแค่ 5 ชานชาลาเท่านั้น แต่เพราะป้ายมันมี2ฝั่ง (มารู้ทีหลังว่าขึ้นได้ทั้งสองข้าง มิน่าละที่นั่งถึงถูกจับจองอย่างรวดเร็ว)
แผนของวันนี้ก็การนั่งรถไฟ 4 ชั่วโมงจาก Kandy เพียงเพื่อมาสูดอากาศเย็นและดูการเก็บชาที่ Nuwara Eliya รอไม่นาน รถไฟขบวนที่นั่งไปวันนี้ก็มาถึง แต่พอรถไฟเข้าชานชาลาเท่านั้น ผู้โดยสารกรูกันขึ้นแบบไม่ขาดสาย ช็อคไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบวิ่งไปต่อคิวที่หน้าประตู แต่ที่ไม่ได้นึกถึงเลยก็คือ ผู้โดยสารสามารถขึ้นได้จากสองฝั่งซ้ายขวา กลายเป็นว่าสุดท้ายขึ้นมาออกันในโบกี้ แล้วที่หวังว่าจะมีที่นั่งสบายๆก็อดไปตามระเบียบ
จัดการเก็บสัมภาระใบใหญ่ไว้ด้านบนแล้วก็ต้องยืนไปตลอดทาง
การยืนนานๆไม่ใช่ปัญหาของฉัน เพราะสมัยทำงานใหม่ๆต้องไปยืนดูขั้นตอนการทำงานของพนักงานในโรงงานตั้ง 8 ชั่วโมงแล้วนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น แต่ก็แหม!!! ถ้าได้นั่งมันก็คงจะดีกว่าในสถานการณ์แบบนี้
รถไฟออกจากชานชาลาไปไม่เท่าไหร่ ก็เกิดความครื้นเครงขึ้น
แก๊งค์หนุ่มๆชาวศรีลังกาวิ่งมารวมตัวกันที่โบกี้ แล้วเริ่มสร้างบรรยากาศด้วยการร้องเพลง ทั้งปรบมือ ทั้งเคาะผนังให้เข้าจังหวะ ร้องประสานเสียง นักท่องเที่ยวถ่ายวีดีโอกันใหญ่ ครึกครื้นกันได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มาห้ามปราม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศเสียไปเท่าไรนัก ขอโทษขอโพยกันไป และแล้วเสียงเพลงก็ดำเนินต่ออย่างต่อเนื่อง แค่ไม่มีเคาะผนังตู้รถไฟเปลี่ยนมาเป็นเสียงปรบมือแทน นักท่องเที่ยวทั้งชาวศรีลังกาก็พลอยสนุกสนานไปด้วย
วินาทีนั้นเหมือนฟ้ามาโปรด คุณลุงจะสละที่นั่งให้เราด้วยความเอ็นดูหรือสงสารก็ไม่รู้ได้ แต่ผู้ใหญ่ให้ของเราไม่ควรจะปฎิเสธ เลยยกมือไหว้ขอบคุณแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย พร้อมขอถ่ายรูปกับคุณลุง1ภาพด่วนๆ ก่อนจากกัน (ตอนหลังผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณลุงก็ลงจากรถไฟไป)
วินาทีนั้น บอกเลยว่า คนศรีลังกาน่ารักมากจริงๆ
ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ตอนแรก
ระหว่างทางมีของมาขายเยอะ พอๆกับบ้านเราไหมอันนี้ตอบไม่ได้ เพราะฉันไม่ค่อยใช้บริการรถไฟไทย ล่าสุดไปเชียงใหม่ รถไฟตู้นอนทำเอาขยาดไปเลย นอนไม่หลับ หนาวและสั่น(หมายถึงเตียงสั่นทั้งคืน นอนไป ตัวก็เหวี่ยงซ้ายขวาตามจังหวะรถไฟขับเคลื่อน) จบทริปเชียงใหม่ ยอมแพ้รถไฟตู้นอนของบ้านเรา
ตัดกลับมาที่รถไฟศรีลังกา
ของขายบนรถไฟที่เห็นก็มี ถั่วคั่วกับเนยและพริกแห้งและใบอะไรไม่รู้ น่ากินเชียว คุ๊กกี้เครื่องเทศ ขนมคล้ายกะหรี่ปั๊บและอีกหลายอย่าง
คนที่นี่เค้าซื้อทีแล้วพยายามแบ่งให้นักท่องเที่ยวทั้งขบวน แบ่งปันน้ำใจกัน เจี๊ยบพยายามไม่กินเยอะกลัวหิวน้ำ เพราะเท่าที่ส่องมองหา ไม่เห็นมีห้องน้ำแฮะ ที่สำคัญไม่มีใครลุกจากที่นั่งไปเข้าห้องน้ำเลย
เวลาอีก 4 ชมบนรถไฟ เลยต้องรอบคอบเป็นพิเศษ มาคนเดียว ลุกก็เสียม้าเลยด้วยนะ
สถานีต่อสถานี ผู้คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อยๆแล้วแต่เป้าหมายการเดินทาง ระหว่างนั้นมีครอบครัวใหญ่มาที่ตู้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องนั่งเบียดกับคุณยายฝั่งตรงข้าม แต่ที่นั่งฝั่งฉันนั่งกันแค่2คน คุณป้าที่นั่งข้างๆเลยอาสาให้เด็กนั่งตักจนเด็กหลับตลอดทาง
ลูกหลานหรือก็ไม่ใช่ แต่เป็นความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ คุณป้าได้ใจเราไปเต็มๆ
ศรีลังกาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องชา และส่งออกไปหลายประเทศมาหลายร้อยปีมาแล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ระหว่างทางที่นั่งมาบนรถไฟ ผ่านไร่ชามาหลายหมู่บ้าน ผ่านมาไม่รู้กี่หุบเขา ปลูกชากันทั้งเทือก เหมือนคนแถวนี้จะทำอาชีพเดียวทั้งจังหวัด(จริงๆน่าจะหลายจังหวัด) เพราะอากาศเย็นๆและความสวยของวิวทั้งสองข้าง ทำให้เวลา 4 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อีกไม่กี่นาทีจะถึงที่หมาย ทุกคนต่างเตรียมตัวเตรียมกระเป๋า ยิ้มให้กันเป็นการบอกลา คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่สายตาและรอบยิ้ม เป็นร่องรอยแห่งมิตรภาพที่เข้าใจกันได้ไม่ยาก
เก็บความประทับใจไว้ แล้วเดินทางต่อ
แล้วเจอกันใหม่ รถไฟศรีลังกา
.......................................................................................................................................
อ่านมาว่าจากสถานีรถไฟจะมีรถรับส่งเข้าเมืองได้ แต่ก่อนอื่นต้องหาดูตั๋วรถไฟเพื่อกลับไปColombo แล้วก็พบว่าตารางรถไฟออกเช้าตรู่มากๆ หมายถึงเวลาที่จะอยู่ที่ Nuwara Eliya นั้นจะเหลือน้อยลง ตัดสินใจว่าค่อยไปหารถบัสในเมืองดูดีกว่า ดังนั้นพอลงรถไฟปุ๊บ ก็จับรถตู้เข้าเมืองเลย
Paul เป็นPaulและคนขับรถในคราวเดียวกัน เค้าไม่ได้เดินเข้าหานักท่องเที่ยวเหมือนคนอื่น แต่เป็นฉันเองที่เดินไปถามทาง หาที่ขึ้นรถเข้าเมือง เค้าเลยเสนอตัวไปส่ง บอกราคาจากสถานีรถไฟมาส่งในเมือง 100รูปี(25บาท) แต่พอคุยกันถูกคอเลยเปลี่ยนใจให้พาทัวร์ซะเลย
Paul เป็นPaulที่เชี่ยวชาญมาก ถามถึงแผนการว่าเราอยากเที่ยวที่ไหนบ้าง ได้คำแนะนำว่าควรแวะไปเที่ยวไร่ชาซะก่อนเลยแล้วค่อยเข้าที่พัก
ปกติไม่ใช่คนที่จะไปตามคำบอกของคนขับง่ายๆ แต่วันนี้ไม่รู้นึกยังไง ตกลงไปอย่างง่ายดาย แถมยังคุยถึงแผนการวันอื่นๆด้วย อาจเป็นเพราะการคุยที่สนุกสนานและเหมือนไม่ได้คิดเอาเปรียบเราจนเกินไปนัก ก็เลยตกลงที่จะใช้บริการเค้าจนถึงวันสุดท้าย โดยให้ขับรถกลับไปส่งที่สนามบินเลย เปลี่ยนใจไม่ไปรถบัสหรือรถไฟแล้ว เพราะว่าจะต้องเสียเวลาเดินทางไปเยอะมากโดยไม่ได้เที่ยวเลย
บางที การยอมจ่ายเพิ่ม...เพื่อเพิ่มเวลาการเที่ยวหรือเพื่อความสะดวกสบายหลายๆประการในตอนที่เรามีเวลาจำกัด ก็เป็นเรื่องที่รับได้
รถตู้คันใหญ่มีคนขับ 1 คนและผู้โดยสาร 1 คนถ้วน ออกเดินทางสู่ไร่ชาชื่อดังทันที
ไต่เขาเก็บใบชา แวะจิบชาอุ่นๆ
ระหว่างทางเห็นคนเก็บชาอยู่เป็นหย่อมๆ แต่เพราะเค้าอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเข้าไปหาได้ เลยต้องตัดใจขับเลยไป แต่ไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่ทำอุตหากรรมชาเป็นหลัก ดังนั้นทุกวัน เราจะเห็นคนเก็บชาแน่นอน....คนขับบอกอย่างนั้น
เพียงแค่อึดใจ..เราก็เจอคนเก็บชากลุ่มหนึ่งกำลังเก็บใบชาอย่างขะมักขะเม้นอยู่ที่ริมทาง ส่วนอีกกลุ่มนั่งพักทานของว่าและน้ำชาที่เตรียมมาจากบ้าน
เดินเมียงมองคนเก็บชาอยู่นาน ขอทดลองเก็บใบชาบ้างแล้วพบว่าไม่ง่าย จะดึงให้ออกมา3ใบพร้อมก้านด้วย ต้องใช้ความสามารถสุดๆ ลองเด็ดไปไม่ถึง10 ครั้งก็ขอยอมแพ้ เพราะชาเค้าพังไปหลายหย่อม เปลี่ยนมาถ่ายรูปดีกว่า
เวลาไปเที่ยว ทุกคนอยากเก็บภาพสวยๆกลับมา อยากมีภาพตัวเองกับวิวสวยๆใช่ไหมคะ
ไปเที่ยวไร่ชารอบนี้เลยก็ขอเค้าถ่ายรูปเยอะเลย ขณะเดียวกัน Paul ก็พยายามให้คุณป้าคนเก็บชาถ่ายรูปให้ ป้าบอกว่า "ถ่ายไม่เป็นนะ" Paul เลยเข้าไปสอนวิธีและลองทำให้ดู พร้อมจัดการจัดฉากถ่ายรูปเสร็จสรรพตลอดงาน
คุณป้าดูเขินอายในครั้งแรก แต่ก็กดภาพจากมือถือรัวๆ บอกเลยว่าภาพที่ได้มาเป็นหนึ่งในหลายภาพที่ชอบที่สุด เป็นภาพที่หัวขาดไปครึ่งนึง แต่ที่ชอบเพราะมันมาจากความตั้งใจของคนถ่ายภาพ ที่อาจไม่เคยถ่ายภาพใครมาก่อนเลยในชีวิต
คุณป้ายิ้มหลังจากถ่ายเสร็จ เราก็ถ่ายรูปคุณป้าอีกหลายภาพ
[CR] บุกไร่ชา ตามหาเสือดาวที่ Nuwela Eliya, Sri LanKa | A Remarkable Journey
ติดตามตอนแรกได้ที่นี่:
ไม่ได้บ้า....แค่แบกเป้ขึ้นบ่า เที่ยว SRI LANKA คนเดียว | Kandy | A Remarkable Journey: http://ppantip.com/topic/35365917
เสียงล้อเหล็กกระทบรางเป็นจังหวะ ลมเย็นพัดเข้าหน้า ละอองของความสดชื่นปลิวทั่วไปหมด
ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที มือที่กำตั๋วรถไฟขนาดจิ๋วยังสั่น แถมยังกระหืดกระหอบเพราะลุ้นว่าจะได้ตั๋วเที่ยวเช้าวันนั้นไหม
เจ้าหน้าที่บอกว่าตั่ว1st Class ถูกจองเต็มหมดเลย ตอนนี้เหลือแต่ตั๋ว 2nd Class เหลืออยู่เท่านั้น
แน่นอน....ฉันรีบจ่ายตังค์เพื่อจะฉกตั๋วใบนั้นมาให้เร็วที่สุด สอบถามราคาได้ยินว่า 1600 Rupee (~380 บาท) ตะขิดตะขวงใจคิดว่าฟังผิด แต่ในใจก็นึกว่าเมื่อเทียบกับการนั่ง 4 ชั่วโมงก็ถือว่าคุ้มนะ ที่สำคัญไม่อยากพลาดรถขบวนนี้
แต่เอ๊ะ!!!! ก่อนจ่ายตังค์ลองถามใหม่อีกซักที เลยถึงบางอ้อ.....
ราคาตั๋วคือ 160 Rupee (~38 บาท) ตัดศูนย์ออกไปตัวนึง เรื่องพลิกกลับว่าเป็นว่าเราฟังผิดเอง
เฮ้ย!! ทำไมตั๋วมันถูกขนาดนี้ เค้าจะเอากำไรที่ไหนมาปรับปรุงรถไฟหว่า แต่คิดได้แป๊บเดียวเท่านั้น ก็เลิกสนใจเพราปัญหาที่ใหญ่กว่าของเราคือ การไปยืนรอที่ชานชาลาที่ถูกต้องต่างหาก
ตอนนั้นต้องระวังอย่างหนัก เพราะกลัวขึ้นผิดขบวน ทั้งๆที่มีชานชาลาแค่ 5 ชานชาลาเท่านั้น แต่เพราะป้ายมันมี2ฝั่ง (มารู้ทีหลังว่าขึ้นได้ทั้งสองข้าง มิน่าละที่นั่งถึงถูกจับจองอย่างรวดเร็ว)
แผนของวันนี้ก็การนั่งรถไฟ 4 ชั่วโมงจาก Kandy เพียงเพื่อมาสูดอากาศเย็นและดูการเก็บชาที่ Nuwara Eliya รอไม่นาน รถไฟขบวนที่นั่งไปวันนี้ก็มาถึง แต่พอรถไฟเข้าชานชาลาเท่านั้น ผู้โดยสารกรูกันขึ้นแบบไม่ขาดสาย ช็อคไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบวิ่งไปต่อคิวที่หน้าประตู แต่ที่ไม่ได้นึกถึงเลยก็คือ ผู้โดยสารสามารถขึ้นได้จากสองฝั่งซ้ายขวา กลายเป็นว่าสุดท้ายขึ้นมาออกันในโบกี้ แล้วที่หวังว่าจะมีที่นั่งสบายๆก็อดไปตามระเบียบ
จัดการเก็บสัมภาระใบใหญ่ไว้ด้านบนแล้วก็ต้องยืนไปตลอดทาง
การยืนนานๆไม่ใช่ปัญหาของฉัน เพราะสมัยทำงานใหม่ๆต้องไปยืนดูขั้นตอนการทำงานของพนักงานในโรงงานตั้ง 8 ชั่วโมงแล้วนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น แต่ก็แหม!!! ถ้าได้นั่งมันก็คงจะดีกว่าในสถานการณ์แบบนี้
รถไฟออกจากชานชาลาไปไม่เท่าไหร่ ก็เกิดความครื้นเครงขึ้น
แก๊งค์หนุ่มๆชาวศรีลังกาวิ่งมารวมตัวกันที่โบกี้ แล้วเริ่มสร้างบรรยากาศด้วยการร้องเพลง ทั้งปรบมือ ทั้งเคาะผนังให้เข้าจังหวะ ร้องประสานเสียง นักท่องเที่ยวถ่ายวีดีโอกันใหญ่ ครึกครื้นกันได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มาห้ามปราม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศเสียไปเท่าไรนัก ขอโทษขอโพยกันไป และแล้วเสียงเพลงก็ดำเนินต่ออย่างต่อเนื่อง แค่ไม่มีเคาะผนังตู้รถไฟเปลี่ยนมาเป็นเสียงปรบมือแทน นักท่องเที่ยวทั้งชาวศรีลังกาก็พลอยสนุกสนานไปด้วย
วินาทีนั้นเหมือนฟ้ามาโปรด คุณลุงจะสละที่นั่งให้เราด้วยความเอ็นดูหรือสงสารก็ไม่รู้ได้ แต่ผู้ใหญ่ให้ของเราไม่ควรจะปฎิเสธ เลยยกมือไหว้ขอบคุณแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย พร้อมขอถ่ายรูปกับคุณลุง1ภาพด่วนๆ ก่อนจากกัน (ตอนหลังผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณลุงก็ลงจากรถไฟไป)
วินาทีนั้น บอกเลยว่า คนศรีลังกาน่ารักมากจริงๆ
ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ตอนแรก
ระหว่างทางมีของมาขายเยอะ พอๆกับบ้านเราไหมอันนี้ตอบไม่ได้ เพราะฉันไม่ค่อยใช้บริการรถไฟไทย ล่าสุดไปเชียงใหม่ รถไฟตู้นอนทำเอาขยาดไปเลย นอนไม่หลับ หนาวและสั่น(หมายถึงเตียงสั่นทั้งคืน นอนไป ตัวก็เหวี่ยงซ้ายขวาตามจังหวะรถไฟขับเคลื่อน) จบทริปเชียงใหม่ ยอมแพ้รถไฟตู้นอนของบ้านเรา
ตัดกลับมาที่รถไฟศรีลังกา
ของขายบนรถไฟที่เห็นก็มี ถั่วคั่วกับเนยและพริกแห้งและใบอะไรไม่รู้ น่ากินเชียว คุ๊กกี้เครื่องเทศ ขนมคล้ายกะหรี่ปั๊บและอีกหลายอย่าง
คนที่นี่เค้าซื้อทีแล้วพยายามแบ่งให้นักท่องเที่ยวทั้งขบวน แบ่งปันน้ำใจกัน เจี๊ยบพยายามไม่กินเยอะกลัวหิวน้ำ เพราะเท่าที่ส่องมองหา ไม่เห็นมีห้องน้ำแฮะ ที่สำคัญไม่มีใครลุกจากที่นั่งไปเข้าห้องน้ำเลย
เวลาอีก 4 ชมบนรถไฟ เลยต้องรอบคอบเป็นพิเศษ มาคนเดียว ลุกก็เสียม้าเลยด้วยนะ
สถานีต่อสถานี ผู้คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อยๆแล้วแต่เป้าหมายการเดินทาง ระหว่างนั้นมีครอบครัวใหญ่มาที่ตู้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องนั่งเบียดกับคุณยายฝั่งตรงข้าม แต่ที่นั่งฝั่งฉันนั่งกันแค่2คน คุณป้าที่นั่งข้างๆเลยอาสาให้เด็กนั่งตักจนเด็กหลับตลอดทาง
ลูกหลานหรือก็ไม่ใช่ แต่เป็นความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ คุณป้าได้ใจเราไปเต็มๆ
ศรีลังกาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องชา และส่งออกไปหลายประเทศมาหลายร้อยปีมาแล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ระหว่างทางที่นั่งมาบนรถไฟ ผ่านไร่ชามาหลายหมู่บ้าน ผ่านมาไม่รู้กี่หุบเขา ปลูกชากันทั้งเทือก เหมือนคนแถวนี้จะทำอาชีพเดียวทั้งจังหวัด(จริงๆน่าจะหลายจังหวัด) เพราะอากาศเย็นๆและความสวยของวิวทั้งสองข้าง ทำให้เวลา 4 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อีกไม่กี่นาทีจะถึงที่หมาย ทุกคนต่างเตรียมตัวเตรียมกระเป๋า ยิ้มให้กันเป็นการบอกลา คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่สายตาและรอบยิ้ม เป็นร่องรอยแห่งมิตรภาพที่เข้าใจกันได้ไม่ยาก
เก็บความประทับใจไว้ แล้วเดินทางต่อ
แล้วเจอกันใหม่ รถไฟศรีลังกา
อ่านมาว่าจากสถานีรถไฟจะมีรถรับส่งเข้าเมืองได้ แต่ก่อนอื่นต้องหาดูตั๋วรถไฟเพื่อกลับไปColombo แล้วก็พบว่าตารางรถไฟออกเช้าตรู่มากๆ หมายถึงเวลาที่จะอยู่ที่ Nuwara Eliya นั้นจะเหลือน้อยลง ตัดสินใจว่าค่อยไปหารถบัสในเมืองดูดีกว่า ดังนั้นพอลงรถไฟปุ๊บ ก็จับรถตู้เข้าเมืองเลย
Paul เป็นPaulและคนขับรถในคราวเดียวกัน เค้าไม่ได้เดินเข้าหานักท่องเที่ยวเหมือนคนอื่น แต่เป็นฉันเองที่เดินไปถามทาง หาที่ขึ้นรถเข้าเมือง เค้าเลยเสนอตัวไปส่ง บอกราคาจากสถานีรถไฟมาส่งในเมือง 100รูปี(25บาท) แต่พอคุยกันถูกคอเลยเปลี่ยนใจให้พาทัวร์ซะเลย
Paul เป็นPaulที่เชี่ยวชาญมาก ถามถึงแผนการว่าเราอยากเที่ยวที่ไหนบ้าง ได้คำแนะนำว่าควรแวะไปเที่ยวไร่ชาซะก่อนเลยแล้วค่อยเข้าที่พัก
ปกติไม่ใช่คนที่จะไปตามคำบอกของคนขับง่ายๆ แต่วันนี้ไม่รู้นึกยังไง ตกลงไปอย่างง่ายดาย แถมยังคุยถึงแผนการวันอื่นๆด้วย อาจเป็นเพราะการคุยที่สนุกสนานและเหมือนไม่ได้คิดเอาเปรียบเราจนเกินไปนัก ก็เลยตกลงที่จะใช้บริการเค้าจนถึงวันสุดท้าย โดยให้ขับรถกลับไปส่งที่สนามบินเลย เปลี่ยนใจไม่ไปรถบัสหรือรถไฟแล้ว เพราะว่าจะต้องเสียเวลาเดินทางไปเยอะมากโดยไม่ได้เที่ยวเลย
บางที การยอมจ่ายเพิ่ม...เพื่อเพิ่มเวลาการเที่ยวหรือเพื่อความสะดวกสบายหลายๆประการในตอนที่เรามีเวลาจำกัด ก็เป็นเรื่องที่รับได้
รถตู้คันใหญ่มีคนขับ 1 คนและผู้โดยสาร 1 คนถ้วน ออกเดินทางสู่ไร่ชาชื่อดังทันที
ระหว่างทางเห็นคนเก็บชาอยู่เป็นหย่อมๆ แต่เพราะเค้าอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเข้าไปหาได้ เลยต้องตัดใจขับเลยไป แต่ไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่ทำอุตหากรรมชาเป็นหลัก ดังนั้นทุกวัน เราจะเห็นคนเก็บชาแน่นอน....คนขับบอกอย่างนั้น
เพียงแค่อึดใจ..เราก็เจอคนเก็บชากลุ่มหนึ่งกำลังเก็บใบชาอย่างขะมักขะเม้นอยู่ที่ริมทาง ส่วนอีกกลุ่มนั่งพักทานของว่าและน้ำชาที่เตรียมมาจากบ้าน
เดินเมียงมองคนเก็บชาอยู่นาน ขอทดลองเก็บใบชาบ้างแล้วพบว่าไม่ง่าย จะดึงให้ออกมา3ใบพร้อมก้านด้วย ต้องใช้ความสามารถสุดๆ ลองเด็ดไปไม่ถึง10 ครั้งก็ขอยอมแพ้ เพราะชาเค้าพังไปหลายหย่อม เปลี่ยนมาถ่ายรูปดีกว่า
เวลาไปเที่ยว ทุกคนอยากเก็บภาพสวยๆกลับมา อยากมีภาพตัวเองกับวิวสวยๆใช่ไหมคะ
ไปเที่ยวไร่ชารอบนี้เลยก็ขอเค้าถ่ายรูปเยอะเลย ขณะเดียวกัน Paul ก็พยายามให้คุณป้าคนเก็บชาถ่ายรูปให้ ป้าบอกว่า "ถ่ายไม่เป็นนะ" Paul เลยเข้าไปสอนวิธีและลองทำให้ดู พร้อมจัดการจัดฉากถ่ายรูปเสร็จสรรพตลอดงาน
คุณป้าดูเขินอายในครั้งแรก แต่ก็กดภาพจากมือถือรัวๆ บอกเลยว่าภาพที่ได้มาเป็นหนึ่งในหลายภาพที่ชอบที่สุด เป็นภาพที่หัวขาดไปครึ่งนึง แต่ที่ชอบเพราะมันมาจากความตั้งใจของคนถ่ายภาพ ที่อาจไม่เคยถ่ายภาพใครมาก่อนเลยในชีวิต
คุณป้ายิ้มหลังจากถ่ายเสร็จ เราก็ถ่ายรูปคุณป้าอีกหลายภาพ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น